TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “iPhone” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
"iPhone 13 - iPhone 14" เช็กราคาล่าสุดหลังเปิดตัว iPhone 15 รุ่นไหนเลิกขาย?
เช็กราคาล่าสุด iPhone 13 - iPhone 14 หลัง Apple เปิดตัวสินค้าใหม่ iPhone 15 รุ่นไหนบ้างที่ประกาศเลิกจำหน่าย?หลังจาก Apple ได้ทำการเปิดตัวสินค้าหลายรุ่น นั่นก็คือ ไอโฟน 15 ( iPhone 15 ) โดยจะเปิดให้สั่งจองล่วงหน้าตั้งแต่วันศุกร์ที่ 15 กันยายน เวลา 19.00น. เป็นต้นไป ตามเวลาในประเทศไทย เริ่มส่งมอบสินค้าตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2566เปิดราคา iPhone 15 แต่ละรุ่นiPhone 15 เริ่มต้น 128GB 32,900 บาท, 256GB 36,900 บาท และ 512GB 45,900 บาทiPhone 15 Plus เริ่มต้น 128GB 37,900 บาท, 256GB 41,900 บาท และ 512GB 50,900 บาทiPhone 15 Pro เริ่มต้น 128GB 41,900 บาท, 256GB 45,900 บาท, 512GB 54,900 บาท และ 1TB 63,900 บาทiPhone 15 Pro Max เริ่มต้น 256GB 48,900 บาท, 512GB 57,900 บาท และ 1TB 66,900 บาททั้งนี้แน่นอนว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่จะทำให้มี iPhone ตกรุ่น และมีการเปลี่ยนแปลงการวางขาย iPhone รุ่นเก่า โดยมีรุ่นที่ปรับลดราคาลงคือ iPhone 13 และ iPhone 14เช็กราคา iPhone 13 และ iPhone 14- iPhone 13 128GB ราคา 24,900 บาท- iPhone 13 256GB ราคา 28,900 บาท- iPhone 13 512GB ราคา 37,900 บาท- iPhone 14 128GB ราคา 29,900 บาท- iPhone 14 256GB ราคา 33,900 บาท- iPhone 14 512GB ราคา 42,900 บาท- iPhone 14 Plus 128GB ราคา 32,900 บาท- iPhone 14 Plus 256GB ราคา 36,900 บาท- iPhone 14 Plus 512GB ราคา 45,900 บาทiPhone รุ่นเก่าที่เลิกจำหน่าย-iPhone 12-iPhone 13 mini-iPhone 14 Pro-iPhone 14 Pro Maxข้อมูลจาก : Appleภาพจาก Apple
TNN ช่อง16 • 13 ก.ย. 66
อ่าน
เปรียบเทียบสเปกรุ่นใหม่และรุ่นเก่า iPhone 16 Pro Max, iPhone 17 Pro Max และ iPhone Air
แอปเปิลยังคงพัฒนาสมาร์ตโฟนอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้มีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่หลากหลาย ทั้ง iPhone 17 Pro และ iPhone Air ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงด้านดีไซน์และประสิทธิภาพหน้าจอiPhone 16 Pro Max จอ OLED ขนาด 6.9 นิ้วiPhone 17 Pro จอ Super Retina XDR ขนาด 6.9 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz ความสว่างสูงสุด 3,000 nitsiPhone Air จอ ProMotion ขนาด 6.5 นิ้ว รองรับ 120Hz ความสว่าง 3,000 nitsชิปประมวลผลiPhone 16 Pro Max ใช้ A18 ProiPhone 17 Pro และ iPhone Air ใช้ A19 Pro ซึ่งมาพร้อมระบบจัดการความร้อน Vapor Chamber สำหรับรุ่น Proกล้องiPhone 16 Pro Maxกล้องหลัง 48MP, กล้องหน้า 12MPiPhone 17 Proกล้องหลัง 48MP Fusion 3 ตัว ซูมออปติคัล 8 เท่า, กล้องหน้า 18MP Center StageiPhone Air กล้องหลัง 48MP, กล้องหน้า 18MP Center Stage + Dual Captureแบตเตอรี่iPhone 16 Pro Max ใช้งานวิดีโอได้สูงสุด 33 ชั่วโมงiPhone 17 Proใช้งานวิดีโอได้สูงสุด 39 ชั่วโมงiPhone Air ใช้งานวิดีโอได้ 27 ชั่วโมง (เพิ่มเป็น 40 ชั่วโมงเมื่อใช้ MagSafe pack)ขนาดและน้ำหนักiPhone 16 Pro Max หนา 8.3 มม. น้ำหนัก 227 กรัมiPhone 17 Pro หนา 8.8 มม. น้ำหนัก 231 กรัมiPhone Air บางที่สุด เพียง 5.64 มม. และเบาที่สุดเพียง 165 กรัมราคาเปิดตัวiPhone 16 Pro Max ฿48,900iPhone 17 Pro ฿43,900iPhone Air ฿39,900สำหรับผู้ที่มองหาสมาร์ตโฟนรุ่นท็อปที่มาพร้อมกล้องและดีไซน์ระดับโปร สามารถเลือกได้ทั้ง iPhone 16 Pro Max และ iPhone 17 Proขณะที่ผู้ที่ต้องการมือถือบาง เบา ราคาย่อมเยา แต่ยังคงประสิทธิภาพสูง iPhone Air ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะ iPhone 17 Pro ที่โดดเด่นด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานขึ้น กล้องใหม่ที่ทรงพลัง และชิป A19 Pro รุ่นล่าสุด
TNN ช่อง16 • 10 ก.ย. 68
อ่าน
Geekbench ให้คะแนน iPhone SE ประสิทธิภาพใกล้เคียง iPhone 13 และ iPhone 13 Pro Max
ภายหลังการเปิดตัว iPhone SE รุ่นใหม่ทาง Geekbench โปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดแห่งหนึ่งเปิดเผยผลการทดสอบ iPhone SE ว่ามีประสิทธิภาพใกล้เคียง iPhone 13 Pro Max สมาร์ตโฟนเรือธงของบริษัท Apple เป็นที่น่าสังเกตว่าสมาร์ตโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้มีราคาวางจำหน่ายที่แตกต่างกันมากกว่าเท่าตัว iPhone SE รุ่นใหม่มีราคาประมาณ 15,900 ส่วน iPhone 13 Pro Max มีราคา 42,900 บาทGeekBench ได้ให้คะแนนสมาร์ตโฟน iPhone SESingle-Core 1695 คะแนนMulti-Core 4021 คะแนนสมาร์ตโฟน iPhone 13Single-Core 1672 คะแนนMulti-Core 4481 คะแนนส่วนสมาร์ตโฟน iPhone 13 Pro MaxSingle-Core 1694 คะแนนMulti-Core 4659 คะแนนเมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone SE รุ่นก่อนหน้า iPhone SE รุ่นใหม่มีการประมวลผลกราฟิกที่เร็วขึ้น 1.2 เท่า รวมไปถึงสามารถเล่นวิดีโอได้นาน 15 ชั่วโมง มากกว่า iPhone SE รุ่นก่อนหน้าประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนี้ชิป A15 Bionic ยังถือเป็นทีเด็ดของ iPhone SE รุ่นใหม่นี้โดยสามารถช่วยให้ถ่ายภาพแบบ Smart HDR 4 ได้อย่างยอดเยี่ยมiPhone SE รุ่นใหม่มีความน่าสนใจและประสิทธิภาพการใช้งานเพิ่มมากขึ้นแม้การออกแบบภายนอกจแทบไม่เปลี่ยนเมื่อเทียบกับ iPhone SE รุ่นก่อน ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้วของ iPhone SE รุ่นใหม่รองรับการแสดงผลที่มีประสิทธิภาพพร้อมปุ่ม Home และ Touch ID ที่กลายสิ่งที่ผู้ใช้งานหลายคนไม่อยากให้นำออกไป สำหรับระบบการเชื่อมต่อสื่อสารรองรับ 5G ที่รับส่งข้อมูลความเร็วสูงข้อมูลจาก macrumors.comภาพจาก Raytheon Technologies
TNN ช่อง16 • 13 มี.ค. 65
อ่าน
iPhone 15 จะมาทรงไหน ? มีอะไรเปลี่ยนไปจาก iPhone 14 บ้าง
ในเที่ยงคืนวันที่ 13 กันยายน ตามเวลาประเทศไทย แอปเปิล (Apple) จะจัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ประจำปี ซึ่งในปีนี้มาภายใต้ชื่อธีม Wonderlust (วัลเดอร์ลัส - ความปราถนาแรงกล้าในการเดินทาง) โดยสื่อต่างชาติคาดการณ์ว่าจุดเด่นในงานนี้จะเป็นไอโฟน 15 ที่เชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อยู่ถึง 7 จุด ด้วยกัน7 ความเปลี่ยนแปลง iPhone 15 เทียบกับ iPhone 14USB-C อาจจะมาใน iPhone 15โดยล่าสุดข่าวลือนั้นระบุไว้ว่า iPhone 15 จะได้พอร์ต USB-C ทุกรุ่น อย่างไรก็ตาม อาจจะมีเฉพาะ iPhone 15 Pro ขึ้นไป ที่ได้ความสามารถในการชาร์จเร็ว (Fast Charging) 35 วัตต์ (W) ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้iPhone 15 อาจใช้โครงไทเทเนียมกับตัวกรอบ (Frame) ของตัวไอโฟน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะทำให้ไอโฟนมีความทนทานมากขึ้น เป็นรอยยากขึ้นตามไปด้วยiPhone 15 อาจมาพร้อมขอบจอโค้ง ซึ่งช่วยให้จับถนัดมือมากขึ้นเทียบกับ iPhone 14 ที่มีขอบตัดเหลี่ยม ทำให้ลื่นมือและไม่กระชับ แต่ก็นับเป็นการย้อนรอยการออกแบบไปที่ iPhone 11 ซึ่งเคยมีการทำขอบจอโค้งเช่นกัน แต่คาดว่าความโค้งในรอบนี้จะไม่ได้มากนักเมื่อเทียบกับในอดีตคาดว่า iPhone 15 จะมีขอบจอบางเพียง 1.5 มิลลิเมตร นับว่าบางที่สุดเท่าที่เคยมีไอโฟนมา ด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบ LIPO (Low-Injection Pressure Over-molding) หรือเทคโนโลยีที่ทำให้ขอบระหว่างตัวเครื่องกับหน้าจอสามารถแนบชิดกันได้มากขึ้น ดังนั้นจะทำให้หน้าจอ iPhone 15 ใหญ่ขึ้นตามไปด้วยปุ่มใหม่ Action Button จะมาแทนที่ปุ่มปิดเสียงเดิมใน iPhone 15 โดยคาดว่าเป็นปุ่มที่สามารถกำหนดให้ทำงานบางอย่างนอกเหนือจากการเปิด-ปิดเสียงได้ เช่น การเข้าสู่โหมดห้ามรบกวน (Do not disturb) เป็นต้น แต่ถ้าผู้ใช้ไม่ต้องการก็จะคงเป็นปุ่มปิดเสียงต่อไป โดยคาดว่าจะมีใน iPhone 15 ProiPhone 15 Pro อาจได้เลนส์กล้องที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งข่าวลือนี้มาพร้อมกับกระแสข่าวลือการเปลี่ยนการจัดวางตำแหน่งเลนส์ รวมถึงการได้เลนส์แบบเพอริสโคป (Periscope) แบบใหม่ที่อาจซูมไกลถึง 6 เท่า แต่ทั้งนี้ในหลายสำนักข่าวที่รายงานตรงกันคือตัวเลนส์กล้องของ iPhone 15 นั้นมีโอกาสเปลี่ยนแปลงอยู่สูงคาด iPhone 15 จะมาพร้อมสีใหม่ ได้แก่สีฟ้าโทนใหม่ (Blue) และสีโทนเทาที่มีข่าวลือว่าชื่อไททัน เกรย์ (Titan Gray) เพื่อให้เข้ากับการเปลี่ยนกรอบโครงเป็นไทเทเนียมอีกด้วยTNN Tech พร้อมเกาะติดความเปลี่ยนแปลงของ iPhone 15 ที่จะมาถึงในวันที่ 13 กันยายนนี้ โดยสามารถติดตามความเปลี่ยนแปลงผ่าน TNN Tech ได้ทุกช่องทางออนไลน์และบนทีวีดิจิทัลด้วยเช่นกัน
TNN ช่อง16 • 11 ก.ย. 66
อ่าน
iPhone 12 mini vs iPhone 11 เลือกรุ่นไหนดี ???
iPhone 12 mini VS iPhone 11 เลือกรุ่นไหนดี ??? ซีรีส์ของ iPhone 12 นั้น ได้เปิดตัวมาในช่วงเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหลักๆก็น่าจะอยู่ที่ ชิปประมวลผลที่แรงขึ้น กล้องที่ดีขึ้น การปรับปรุงทั้งขนาดและชนิดหน้าจอที่ใช้(ของไอโฟนบางรุ่น) ดีไซน์ที่ได้นำดีไซน์ของไอโฟนรุ่นก่อนๆมาใช้คือ ขอบของตัวเครื่องที่เรียบ และการรองรับ 5g ที่สามารถช่วยให้รับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายมือถือได้เร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง โดยการมาของไอโฟน 12 ซีรีส์ ในครั้งนี้ ได้แยกย่อยมาด้วยกันถึง 4 รุ่น ได้แก่ ไอโฟน 12 มินิ / ไอโฟน 12 / ไอโฟน 12 โปร / ไอโฟน 12 โปร แมกซ์ ซึ่งเรียงลำดับจากขนาดเครื่องเล็กสุดไปใหญ่สุด ซึ่งก็เรียงจากราคาถูกที่สุดไปแพงที่สุดเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกันในซีรีส์ไอโฟน 12 ด้วยกันแล้ว แน่นอนว่าไอโฟน 12 มินิ ราคาถูกที่สุด ดังนั้นไอโฟนรุ่นนี้ ควรจะขายดีที่สุดหรือไม่? นับจากเวลาที่ไอโฟน 12 ซีรีส์ได้เปิดตัวจนมาถึงวันนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่า ไอโฟน 12 มินิ น่าจะมียอดขายได้น้อยที่สุด โดยสังเกตจากข่าวต่าง ๆ ว่า ไอโฟน 12 มินิ จะเลิกผลิตเพราะยอดขายน้อย และเมื่อดูรีวิว ไอโฟน 12 มินิ ผู้รีวิวส่วนใหญ่ก็จะให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ถึงแม้จะเป็นชิปเดียวกัน กล้องตัวเดียวกัน ชนิดของจอที่เปลี่ยนเป็น OLED แล้วก็ตาม แต่ด้วยขนาดจอเล็กเกินไปจนใช้ไม่สะดวก แบตเตอรี่น้อยเกินไปทำให้ไม่สามารถใช้ข้ามวันได้ ทำให้นักรีวิวทั้งหลายพูดว่า ถ้ามีเงินเพียงพอ ควรอัพเกรดไปเป็น ไอโฟน 12 เลยจะดีกว่า ดูจากข่าวและรีวิวทั้งหลายแล้วก็เห็นได้ชัดว่าไอโฟน 12 มินินั้น เป็นรุ่นที่ขายไม่ดีจริง ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เห็นได้ชัดกว่านั้นคือ ราคาของ ไอโฟน 12 มินิ ในปัจจุบันนี้ โดยเมื่อตอนเปิดตัวนั้น ไอโฟน 12 มินิ มีราคาเริ่มต้น 64 กิ๊กกะไบท์ อยู่ที่ 25,900 บาท แต่ล่าสุด ในงานคอมมาร์ทที่ผ่านมา มีการเปิดขายไอโฟน 12 มินิ ขนาด 64 กิ๊กกะไบท์ เครื่องเปล่า ในราคาเพียง 19,900 บาทซึ่งไม่เพียงเท่านั้น หลังจากจบงาน เหล่าร้านค้าออนไลน์ ก็นำไอโฟน 12 มินิ มาลดราคา เริ่มต้น 64 กิ๊กกะไบต์ อยู่ที่ 18,800 บาท ซึ่งลดลงจากราคาเปิดตัวมาถึง 7,100 บาท ภายในระยะเวลาเพียง 5 เดือน !!! ซึ่งไม่บ่อยนักที่จะเกิดขึ้นในตระกูลไอโฟนรุ่นที่ผ่าน ๆ มา แต่ราคาดังกล่าว ก็เป็นราคาที่ทางร้ายขายแบบเฟรชเซลล์(จำกัดจำนวนและจำกัดเวลาในการซื้อ) แต่เมื่อหลังจากเฟลชเซลล์ขายหมดแล้ว ราคาของไอโฟน 12 มินิ ก็อยู่ที่ช่วงราคา 20,000 - 24,000 บาท ซึ่งในช่วงราคานี้นั้น ก็ใกล้เคียงกับราคาของไอโฟน 11 ที่ขายยังมีขายอยู่ โดยไอโฟน 11 นั้นมีราคาอย่างเป็นทางการบนหน้าเวปไซต์แอปเปิ้ลคือ ความจุ 64 กิ๊กกะไบท์ อยู่ที่ 22,100 บาท ซึ่งเมื่อดูตามร้านค้าออนไลน์อื่นๆแล้ว ก็จะสามารถได้ราคาที่ถูกลงกว่านี้อีก ซึ่งเมื่อดูจากช่วงราคาแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า ช่วงราคานั้นใกล้เคียงกันมากๆ ทำให้หลายๆคนที่กำลังตัดสินใจจะซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ ที่มีงบประมาณจำกัดอยู่ที่ไม่เกิน 25,000 บาท อาจจะกำลังลังเลอยู่ว่าจะเลือกเป็นตัวไหนดี ดังนั้น ผมจะมาเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย ระหว่าง ไอโฟน 12 มินิ กับ ไอโฟน 11 ให้คุณผู้อ่านได้พิจารณาว่าทั้ง 2 รุ่นนี้ รุ่นไหนจะเหมาะสมกับคุณผู้อ่านมากที่สุดครับ ถ้าจากตารางสรุปด้านบน คุณผู้อ่านยังไม่สามารถตัดสินใจได้ ผมก็ยังมีคำอธิบายเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาตามหัวข้อ ดังนี้5G ณ ปัจจุบัน เราทราบกันดีว่า เริ่มมีเครือข่ายมือถือหลาย ๆ เจ้า ที่มีคลื่น 5G เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับความครอบคลุมนั้น ก็ยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วประเทศอยู่ดี แล้วถ้าใครที่ใช้แพ็คเกจอินเทอร์เน็ตแบบจำกัดความเร็วอยู่ ต่อให้เราใช้ 5G ก็ได้ความเร็วอินเทอร์เน็ตเท่าเดิม แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า การมีสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ก็สามารถตอบโจทย์เราในอนาคตได้ เนื่องจากการที่เราจะลงทุนซื้อสมาร์ทโฟนสักหนึ่งเครื่องนั้น เราอาจจะต้องใช้มันไปเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่คลื่น 5G ได้เข้ามาแทนที่ 4G ในอนาคต การมีสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G ก็ทำให้เราไม่ต้องอัพเกรดเป็นเครื่องใหม่ ดังนั้น คุณผู้อ่านท่านใดที่ใช้เครื่องในระยะยาว ไม่เปลี่ยนมือถือบ่อย ๆ ก็เลือกเป็น ไอโฟน 12 มินิ แต่ถ้าคุณผู้อ่านท่านใด เปลี่ยนมือถือบ่อย ๆ พื้นที่ที่อยู่ยังไม่มีเครือข่าย 5G หรือใช้แพ็คเกจที่จำกัดความเร็ว ก็สามารถเลือกเป็น ไอโฟน 11 ได้ หน้าจอและขนาดตัวเครื่อง ในส่วนของหน้าจอนั้น เป็นองค์ประกอบหลัก ๆ ของสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเมื่อเราใช้สมาร์ทโฟน หน้าจอก็มีหน้าที่แสดงเนื้อหาต่าง ๆให้เราเห็น และยังเป็นพื้นที่ที่เราใช้นิ้วสัมผัสลงไป สำหรับการติดต่อสื่อสารในรูปแบบข้อความ หรือการเล่นเกมต่าง ๆ โดยไอโฟน 12 มินิ จะมีขนาดจอที่เล็กกว่า โดยมีขนาด 5.4 นิ้ว (ไอโฟน 11 ขนาด 6.1 นิ้ว) แต่มีความละเอียดที่มากกว่าที่ Full HD (ไอโฟน 11 ความละเอียด HD) แต่จากการที่มีความละเอียดมากกว่านั้น ก็ส่งผลให้การใช้พลังงานจากแบตเตอรี่มากขึ้น และยังให้ชนิดของจอมาเป็นแบบ OLED (ไอโฟน 11 เป็นแบบ IPS) ซึ่งจอแบบ OLED จะให้สีสันที่สวยงามกว่า และยังทำให้ประหยัดแบตเตอรี่มากกว่าในส่วนการแสดงผลที่เป็นสีดำ เนื่องจากจอ OLED เมื่อแสดงผลสีดำจะเป็นการปิดเม็ดพิกเซลไปเลย แต่จอแบบ IPS จะยังต้องใช้แสงหล่อเลี้ยงเม็ดพิกเซลสีดำอยู่ ดังนั้นในส่วนของหน้าจอ ถ้าคุณผู้อ่านชอบขนาดตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กพกพาสะดวก ก็เลือกเป็นไอโฟน 12 มินิได้เลย แต่ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนชอบมือถือจอใหญ่ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเลือกเป็น ไอโฟน 11 แต่ก็ต้องยอมรับความละเอียดที่น้อยกว่า และจอที่สีสันไม่สดสวยเท่าไอโฟน 12 มินิ กล้อง กล้องก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนในปัจจุบัน เนื่องจากในบางสายงาน อาจจะต้องใช้งานภาพถ่ายหรือวิดีโอในการทำงาน ซึ่งถ้าสมาร์ทโฟนสามารถให้ภาพถ่ายที่สวยงาม งานวิดีโอที่ลื่นไหนและคมชัด ก็จะส่งผลดีต่อเนื้องานที่ทำ หรือแม้แต่ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถ้าเรามีภาพสวย ๆ ลงวิดีโอที่คมชัด ก็สามารถเรียกยอดไลค์ได้ สำหรับทั้งสองรุ่นนี้ ให้ความละเอียดของกล้องมาเท่ากันทั้งหมดคือ 12 ล้านเมกาพิกเซล ทั้งกล้องหลังทั้ง 2 ตัว และกล้องหน้า 1 ตัว แต่ ไอโฟน 12 มินิจะได้เปรียบกว่าตรงที่ รูรับแสงกว้างกว่าที่ f 1.6 (ไอโฟน 11 รูรับแสง f 1.8) ทำให้ไอโฟน 12 มินิ ได้เปรียบกว่าในด้านการถ่ายรูปในตอนกลางคืน แถมยังมีโหมดกลางคืนและ Deep Fusion มาให้ด้วย แต่ถ้าคุณผู้อ่านท่านใดไม่เน้นในด้านการถ่ายรูป ก็สามารถเลือกเป็นไอโฟน 11 ได้ แบตเตอรี่ แน่นอนว่าการมีแบตเตอรี่ที่ความจุมากกว่า จะส่งผลให้เราสามารถใช้งานระหว่างวันได้ยาวนานกว่า ซึ่งจะทำให้เราอาจจะไม่ต้องชาร์จระหว่างวันหรือไม่ต้องพกแบตสำรองติดตัวให้น่าหงุดหงิดไปอีก โดยเรื่องแบตเตอรี่เป็นไอโฟน 11 ที่ชนะไป เนื่องจากตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า แต่ก็ต้องแลกมากับน้ำหนักที่มากกว่า แต่ถ้าคุณผู้อ่านท่านใดที่อยู่ในที่ทำงานที่สามารถชาร์จระหว่างวันได้ ไม่ได้พกออกไปนอกสถานที่ระยะเวลานาน ๆ หรือพกแบตสำรองอยู่แล้ว ก็สามารถเลือกเป็นไอโฟน 12 มินิได้ หน่วยประมวลผล แน่นอนว่า ชิป A14 ที่ออกมาล่าสุดจะต้องเร็ว แรง และประหยัดพลังงานมากกว่าชิป A13 อยู่แล้ว แต่ชิป A13 ก็ยังแรงและลื่นอยู่ เนื่องจากมีอายุต่างกันเพียง 1 ปีเท่านั้น อื่น ๆ ในส่วนของ Ceramic Shield การกันน้ำที่มากขึ้นและการรองรับ MagSafe ก็ขึ้นอยู่กับคุณผู้อ่านแล้วว่า ฟังก์ชันเหล่านี้ มีความจำเป็นหรือไม่ เมื่อคุณผู้อ่านได้อ่านบทความนี้มาจนถึงย่อหน้านี้แล้ว ผมก็ขอสรุปตามความคิดเห็นของผมว่า ถ้าอยากถือไอโฟนรุ่นล่าสุด รองรับ 5G ชอบสมาร์ทโฟนเครื่องเล็ก ๆ และสามารถพกแบตสำรองได้ คุณก็เหมาะที่จะซื้อ ไอโฟน 12 มินิมาใช้งาน แต่ถ้าคุณต้องการมือถือที่จอใหญ่ แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานกว่า และคิดว่ายังไม่ได้ใช้ 5G เร็วๆนี้ ก็ เลือกซื้อเป็นไอโฟน 11 ได้เลยครับสุดท้ายนี้ ถ้าเลือกซื้อไอโฟนได้แล้ว ผมก็ขอฝากร้านเคสน่ารักๆ ไว้ด้วยนะครับ https://www.instagram.com/twining.case/ ขอบคุณครับ ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.apple.com/th/iphone/compare/?modelList=iphone12mini,iphone11
CKTW • 13 เม.ย. 64
อ่าน
iPhone SE 4 จะมีภาพรวมเครื่องที่คล้ายกับ iPhone 14
iPhone SE เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ไม่ได้เปิดตัวรุ่นใหม่เลยเหมือนกันนับตั้งแต่เปิดตัว iPhone SE 3 เมื่อปี 2022 คาดว่าคงต้องรอ iPhone 15 เปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C ก่อน จึงตะเปิดตัวต่อตามทีหลังได้ MacRumors รายงานว่า iPhone SE รุ่นที่ 4 มีโค้ดเนมว่า D59 ที่มาพร้อมกับการออกแบบเครื่องใหม่ (ที่เอาดีไซน์ของพี่มาเหมือนเดิม) โดย iPhone SE 3 จะเป็น iPhone รุ่นสุดท้ายที่มีปุ่มโฮม ปิดตำนานปุ่มนี้ไปครับ ซัปพลายเออร์ของ iPhone เผยว่า iPhone SE 4 จะมีดีไซน์และภาพรวมของตัวเครื่องที่เหมือนกับ iPhone 14 คือหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ตัวเครื่องขนาดเท่ากัน เรียกว่ายกบอดี้เก่ามาเลยนั่นเอง จุดแตกต่างสำคัญคงมีแค่เรื่องกล้องที่ยังคงมีกล้องตัวเดียว แม้ว่าจะใช้ดีไซน์ของ iPhone 14 แต่ชิ้นส่วนฝาหลังก็ต้องทำแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่เนื่องจากกล้องตัวเดียวเป็นเหตุ ไม่อย่างนั้นก็คงใช้ของ iPhone 14 เดิมได้ทั้งหมด ระบบความปลอดภัยเป็น Face ID บอกลา Touch ID และเปลี่ยนจากพอร์ต Lightning เป็นพอร์ต USB-C ที่มา MacRumors
แบไต๋ • 10 พ.ย. 66
อ่าน
"iPhone SE" vs "iPhone XR" รุ่นไหนดี ? เรามีคำตอบ📱
ค่ายที่ขึ้นชื่อเรื่องขยันออกมือถือใหม่มาให้เราเสียเงินเสียจริง ๆ อย่างค่าย Apple พึ่งออกจะประกาศโละนำ ไอโฟน 8 และ 8 Plus ออกจากไลน์ไอโฟน และแทนที่ด้วย Iphone SE 2020 รุ่นใหม่ออกมาด้วยราคาจับต้องได้ที่ 14900.- บาท ทำเอาหลาย ๆ คนถึงกับตาลุกวาวอยากจะครอบครัวไอโฟนไว้ในมือ แต่หากมองกลับไปแล้วยังมีไอโฟนอีกรุ่นที่ยังเก่ากว่านั้นคือ Iphone XR ที่ยังไม่เลิกผลิต สามารถหาซื้อได้บนเว็บไซต์ Apple ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า เรายังควรเสียเงินซื้อรุ่น Iphone XR หรือ ซื้อ Iphone SE ตัวใหม่ไปเลย บางทีเรื่องของการซื้อโทรศัพท์มือถือนั้นนอกจากสเปคอย่างเดียว ไม่สาามารถตัดสินว่าเราควรซื้อรุ่นนั้น การใช้งานและชื่นชอบในรุ่นนั้น ๆ ก็มีผลในการตัดสินใจ ดังนั้นเรามาดูไปพร้อม ๆ กันค่ะ ว่าแต่ละรุ่น มีอะไรเด่น ๆ ดี ๆ บ้าง เปรียบเทียบกันเป็นเรื่อง ๆ ไปเลย จะได้ตัดสินใจถูกการแสดงผลจอภาพ Iphone SE : ขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326ppi)Iphone XR : ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1792 x 828 พิกเซล (326ppi) ทั้งสองมีอัตราส่วนคอนทราสต์ 1400:1(ทั่วไป) ชิปประมวลผล Iphone SE : ชิพ A13 Bionic พร้อม Neural Engine รุ่นที่ 3Iphone XR : ชิพ A12 Bionic พร้อม Neural Engine รุ่นที่ 2 ความจุและ RAMIphone SE : มีให้คุณเลือกถึง 3 ความจุ คือ 64GB, 128GB และ 256GB , ส่วน RAM ยังไม่มีข้อมูลIphone XR : มีให้คุณเลือก 2 ความจุ คือ 64GB และ 128GB, ส่วน RAM 3GB กล้อง/การถ่ายภาพIphone SE : กองหน้า FaceTime HD ขนาด 7MP บันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p สูงสุด 30 fps Iphone XR : กล้องหน้า TrueDepth ขนาด 7MP บันทึกวิดีโอ ระดับ HD 1080p สูงสุด 60 fps ซึ่งรองรับ Animoji และ Memojกล้องหลังของทั้งสองเป็นกล้องเดี่ยวแบบไวด์ ความละเอียด 12MP แต่ Iphone SE มี 6 เอฟเฟ็กต์การจัดแสงภาพถ่ายบุคคลได้แก่ แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์, แสงไฟเวที, แสงไฟเวทีขาวดำ, แสงไฟขาวดำไฮคีย์ ส่วน Iphone XR นั้นมีเอฟเฟ็กต์ 3 แบบ แสงไฟธรรมชาติ, แสงไฟสตูดิโอ, แสงไฟคอนทัวร์ เท่านั้นทั้งสอง บันทึกวิดีโอระดับ 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps และบันทึกวิดีโอระดับ HD 1080p ที่ 30 fps หรือ 60 fp สามารถซูมได้ 3 เท่า ต่างกันแค่ที่ Iphone SE สามารถบันทึกวิดิโอ QuickTakeได้ ระบบยืนยันตัวiPhone SE : ใช้ Touch ID รุ่นที่ 2 ซึ่งยังใช้การสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่มโฮม เป็นการนำปุ่มโฮมกลับมาให้คนกลุ่มผู้ชอบใช้ปุ่มโฮมiPhone XR : ใช้ Face ID สแกนใบหน้าด้วยกล้อง TrueDepth ที่จดจำใบหน้าการกันน้ำทั้งสองรุ่นทนน้ำที่ระดับความลึก 1 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาทีแบตเตอรี่ทั้งคู่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนชนิดชาร์จซ้ำได้ภายในตัวเครื่อง รองรับการชาร์จไปไร้สาย และ Fast chargeiPhone SE : ใช้งานได้นานใกล้เคียงกับ iPhone 8iPhone XR : ความจุ 2942 mAhใช้งานได้นานกว่า iPhone 8 Plus สูงสุด 1.5 ชั่วโมงสีให้เลือก :iPhone SE : ดำ แดง ขาวiPhone XR : ฟ้า ขาว ดำ เหลือง ส้มคอรัล แดงราคาiPhone SE : ความจุ 64GB ราคา 14,900 บาท , ความจุ 128GB ราคา 16,900 บาท, ความจุ 256GB ราคา 20,900 บาทiPhone XR : ความจุ 64GB ราคา 21,900 บาท , ความจุ 128GB ราคา 23,900 บาทสรุปรุ่นไหนเหมาะกับใครIphone SE นั้นเหมาะกับคนที่ยังหลงรักในปุ่มโฮม สาวกปุ่มโฮมห้ามพลาด ราคาย่อมเยาว์เหมาะกับนักเรียนนักศึกษาที่ไม่ใช้อะไรมากมาย แต่ได้ชิปประมวลผล A13 เร็วแรงในราคาถูก ซึ่งหากเทียบกับกล้องแล้วไม่ได้ต่างกันมากมายกับ Iphone XR แถมยังสามารถเลือกความจุได้หลากหลาย สูงสุด 256GB ก็ยังราคาถูกกว่า Iphone XR ความจุ 64GB ซึ่งข้อเสียที่อาจจะทำให้คนขัดใจก็น่าจะเป็นขนาดหน้าจอที่เล็กกว่าเท่าตัว ดีไซส์ของ Iphone XR ดูทันสมัยกว่านั่นเอง Iphone XR เหมาะกับคนที่อยากได้ในเรื่องของดีไซส์ล้ำ หน้าจอใหญ่ ไม่ได้สนใจในเรื่องของชิปการประมวลผลมากนักเพราะอย่างไรแอปเปิ้ลก็ขึ้นชื่อในเรื่องของชิปการประมวลผลที่เร็วแรงกว่าค่ายอื่น ๆ แม้ว่าจะเป็นรุ่นเก่านั่นเอง แบตเตอรี่ยาวนานกว่านิดหน่อย และรองรับ FaceID ซึ่งใครที่รำคาญปุ่มโฮมเต็มแก่อาจจะรู้สึกว่ารุ่นนี้มันตอบโจทย์กว่า Iphone SE มาก ๆ แถมยังมีสีให้เลือกอีกมากมาย ราคาแพงกว่าแต่มีส่วนดีในหลาย ๆ เรื่องดังนั้นคุณที่ซื้อต้องพิจารณาว่าอยากได้สิ่งใด ใช้ทำอะไร ใช้งานอย่างไรค่ะ เพราะให้เกิดประโยชน์ที่คุ้มค่าที่สุดนั่นเองแต่ก่อนจะจากกัน ใครที่อยากมองหา หรือ ตัดสินใจได้แล้วว่าอยากจะเปลี่ยนมือถือ ขอแนะนำโปรทรูมูฟ มีให้เลือกผ่อนในราคาย่อมเยาว์ ไหน ๆ ก็ต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์รายเดือนอยู่แล้ว ทำไมต้องเสียให้มากหลายต่อ สามารถเข้าไปเข้าไปดูผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ Truemove : ซื้อเครื่องพร้อมแพคเกจสุดฮิต ไม่ว่าจะเป็นรุ่น SE หรือ XR ก็มีให้เลือกในราคาพิเศษ ประหยัดไปได้หลายบาทเชียว! ขอให้ทุก ๆ คนเลือกในสิ่งที่คิดว่าคุ้มค่าที่สุดและใช้มันให้เกิดประโยชน์ที่สุดค่ะ อ้างอิงข้อมูล : https://www.apple.com/th/iphone/compare/?device1=iphoneSE2ndgendevice2=iphoneXRdevice3=iphone11proเครดิตรูปภาพ : ภาพทั้งหมดโดย Apple , pixabay บทความน่าสนใจอื่น ๆ ของนักเขียน :เรื่องน่ารู้ก่อนซื้อ iPhone SE 2020📱🔥10 ไอเทมเด็ดน่าลองจาก Xiaomi 🔥ที่ควรมีติดบ้านไว้
Whynottravel • 8 พ.ค. 63
อ่าน
ลือ iPhone SE 4 จะเปิดตัวปี 2025 คาดใช้ดีไซน์แบบ iPhone 14
Apple เปิดตัว iPhone SE 3 หรือ iPhone SE รุ่นล่าสุดตั้งแต่ปี 2022 และยังไม่มีวี่แววสำหรับรุ่นใหม่แม้ว่าจะมีข่าวลืออกมาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปีนี้ก็จะยังไม่มีรุ่นใหม่หลังมีข่าวว่า Apple จะเปิดตัว iPhone SE ใหม่ในปี 2025 เลยทีเดียว สื่อต่างประเทศรายงานว่าตอนนี้ผู้ผลิตหน้าจออย่างน้อย 3 รายกำลังพยายามที่จะเป็นผู้ผลิตหน้าจอ OLED สำหรับ iPhone SE โดย Samsung Display เสนอราคาต่ำสุดที่ 30 เหรียญต่อชิ้น ตามด้วย BOE ที่ 35 เหรียญต่อชิ้น และ Tianma ที่ 40 เหรียญต่อชิ้น แต่ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดได้ทำสัญญาเพราะ Apple ต้องการที่ราคา 20 เหรียญต่อชิ้น! ชิ้นส่วนหน้าจอสำหรับ iPhone SE รุ่นต่อไปนั้นจะเป็นหน้าจอที่คล้ายกับที่ใช้ใน iPhone 13 และ iPhone 14 จึงพอคาดการณ์ได้ว่า iPhone SE 4 จะมีหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 1170×2532 พิกเซล ความสว่างหน้าจอสูงสุด 1,200 nits สื่อเกาหลีระบุว่า Samsung Display และ BOE มีความเป็นไปได้สูงกว่า Tianma ที่มีเทคโนโลยีการผลิตที่เก่ากว่า ข้อได้เปรียบของ Samsung Display คือเคยเป็นผู้ผลิตหน้าจอให้ iPhone 14 อยู่แล้ว สามารถใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือการผลิตเดิมที่มีอยู่ได้ นอกจากนี้ Samsung Display ยังได้เปรียบในแง่ของรายได้ เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตหน้าจอให้กับ iPhone 15 ซีรีส์อยู่แล้ว บริษัทอาจยอมลดราคาหน้าจอเพื่อเป็นผู้ผลิตเพิ่มเติมได้ ในขณะที่ BOE ถือว่าแอบเหนื่อยนอกจากปีที่แล้วเสียสิทธิ์ในการเป็นผู้ผลิตหน้าจอให้ iPhone 15 เพราะชิ้นส่วนผลิตยากเกินไป ในรอบนี้ บริษัทต้องการออเดอร์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ต้องไปสู้ราคากับ Samsung ต่อ ที่มา GSMArena
แบไต๋ • 17 ก.พ. 67
อ่าน
เปิดสเปค iPhone 17 มีอะไรใหม่ กับ iPhone 16 รุ่นไหนคุ้มกว่า
เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน 2025 ที่ผ่าน สำหรับ iPhone 17 ที่ครั้งนี้เขากลับมาแล้วถึง 4 รุ่นด้วยกัน คือ iPhone 17, Air, 17 Pro, 17 Pro Max และ Air ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกับว่า iPhone 17 มีอะไรใหม่ และ ระหว่าง iPhone 16 กับ 17 รุ่นไหนจะคุ้มกว่ากัน เราไปรวบรวมข้อมูลมาให้แล้ว ไปดูพร้อมกันเลย https://www.youtube.com/watch?v=H3KnMyojEQU สเปค iPhone 17 iPhone 17 เปิดตัวมาพร้อมจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.3 นิ้ว เทคโนโลยี ProMotion (120 hz) จอภาพแบบติดตลอด และยังคงมี Dynamic Island เหมือนเช่นเคย ความสว่างสูงสุด 3,000 Nits ลดการสะท้อนของแสง 33% ตัวเครื่องทำจากอะลูมิเนียม หนา 7.95 มม. น้ำหนัก 177 กรัม กระจกด้านหน้า Ceramic Shield 2 ทนการขีดข่วนได้ดีขึ้น 3 เท่า และด้านหลังเป็นกระจก แบบ color-infused glass ต่อมาในส่วนของกล้องหน้า และหลัง รุ่นนี้มาพร้อมกล้องหลัง 2 กล้อง กล้องหลัก Fusion 48MP พร้อมเทเลโฟโต้ 2 เท่า และกล้องอัลตร้าไวด์ Fusion 48MP ภาพถ่ายแบบ Super High-Resolution 24MP และ 48MP การถ่ายแบบมาโคร ถ่ายวิดีโอ Dolby Vision เทคโนโลยี High Dynamic Range (HDR) สูงสุด 4K ที่ 60 fps ซูมสูงสุด 5 เท่า กล้องหน้าเพิ่มจากเดิมเป็น 18MP พร้อมระบบ Center Stage ที่ให้คุณสามารถปรับซูมเข้า-ออก และ ปรับขนาดภาพให้เป็นแนวนอนได้ สามารถบันทึกวิดีโอด้วยกล้องหน้าและหลังพร้อมกัน และ AI ที่ช่วยให้ปรับเฟรมภาพอัตโนมัติเวลาที่ VDO Call เพื่อให้คุณอยู่ตรงกลางเฟรมเสมอ นอกจากนี้ยังมาพร้อมชิปตัวใหม่ A19 CPU แบบ 6‑core GPU แบบ 5‑core พร้อมตัวเร่งความเร็วนิวรอล ในส่วนของความจุทาง Apple ไม่ได้มีการพูดถึง แต่ระบุว่าสามารถเล่นวิดีโอสูงสุดถึง 30 ชั่วโมง และชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 20 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 40 วัตต์ หรือสูงกว่า ความจุ: 256 GB - 512 GB สี: ลาเวนเดอร์ / เขียวเสจ / ฟ้าหมอก / ขาว / ดำ ราคา: 29,900 - 37,900 บาท iPhone 16 กับ iPhone 17 อันไหนคุ้มค่ากว่ากัน ส่วนตัวนักเขียนที่เป็นผู้ใช้งานจาก iPhone 7 Plus มาเป็น iPhone 16 อยู่ในปัจจุบัน ก็ต้องบอกเลยว่า ตั้งแต่เปิดตัวและได้ใช้งานจริงด้วยตัวเอง iPhone 16 ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกหนึ่งรุ่นที่ให้ความคุ้มค่ากับผู้ใช้งานค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะหากเทียบกับมือถือจากค่าย Apple ในรุ่นก่อนหน้าก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลง หรือการพัฒนาค่อนข้างที่จะน้อยมาก แต่สำหรับ iPhone 16 ในราคาเริ่มต้นที่ 26,900 บาท ที่มาพร้อมกับหน้าจอแบบ ชิป A18 ตัวเครื่องอะลูมิเนียม จอภาพจอภาพ Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว รองรับ Apple Intelligence การถ่ายวิดีโอแบบ 4K ช่องเชื่อมต่อ USB-C และที่ฮือฮาสุด ๆ กับปุ่ม Camera Control ที่ถึงแม้ว่าแทบจะไม่ได้ใช้งานเลย ก็ถือว่าในครั้งนั้น Apple ก็ให้สเปคมาแบบไม่กักพอสมควร แต่คราวนี้เรามาดูกันกับ iPhone 17 ที่ครั้งนี้มาพร้อมสีใหม่ 5 สี ความจุเริ่มต้นที่ 256GB ในราคา 29,900 บาท สำหรับใครที่ไม่ได้เปลี่ยนมือถือสัก 3 - 4 ปี อันนี้ก็น่าจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์มากพอสมควร เพราะถ้าหากความจุ 256GB ในไอโฟน 16 จะมีราคาอยู่ที่ 33,900 บาทเลยทีเดียว แต่ในครั้งนี้กับราคา 2 หมื่นปลาย ๆ แล้วคุณจะได้มือถือที่มาพร้อมสเปคใหม่ ๆ ที่เราได้พูดไปตั้งแต่ต้น และความจุที่เพื่อมมากขึ้น ก็ถือว่าว่าสมเหตุสมผล และเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งเรื่องความความคุ้มค่าก็อาจจะตอบได้ยากว่ารุ่นไหนคุ้มค่ามากกว่ากัน เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนด้วย แต่สำหรับคนที่มีงบในมือประมาณ 30,000 บาท แล้วอยากเปลี่ยนมือถือใหม่ เราแนะนำให้อัปเกรดไปเป็น iPhone 17 เลยค่ะ แต่ถ้าหากใครที่ใช้ iPhone 15 หรือ 16 อยู่ถ้าไม่มีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณแล้วอยากลองอะไรใหม่ ๆ ดูก็รีบไปตำได้เลยค่ะ แต่ถ้าส่วนตัวแล้วหากเทียบสเปคทั้งหมดแล้วอยากเปลี่ยนไหม อันนี้ก็อาจจะยังน้าาา แต่ถ้าเป็นไอโฟนรุ่นที่น่าจับตามองมากที่สุดก็คงต้องยกให้ iPhone Air ที่มาพร้อมกล้องหลัง 1 กล้อง Fusion 48MP ตัวเครื่องทำมาจากไทเทเนียม หนาเพียง 5.64 มม. และน้ำหนักเบา 165 กรัม และรองรับเฉพาะ eSim เท่านั้น แถมยังได้ ชิป A19 Pro มาด้วย ส่วนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 39,900 บาท พร้อมความจุ 256GB และสูงสุดที่ 1TB ซึ่งจะบอกว่าเป็นมือถือที่พัฒนามาเพื่อกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการความคล่องตัว พกพาง่าย น้อยแต่มาก ก็คงไม่ผิดไปทีเดียวค่ะ นอกจากนี้สำหรับใครที่อยากเป็นเจ้าของ iPhone 17, 17 Pro, 17 Pro Max และ iPhone Air คุณสามารถสั่งจองล่วงหน้า (Pre-order) ในประเทศไทยได้ภายในคืน วันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 ตั้งแต่เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ส่วนวันวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (เริ่มวางขายหน้าร้าน) คือ วันศุกร์ที่ 19 กันยายน 2568 ค่ะ เครดิตภาพปก/ภาพประกอบ/วิดีโอ ภาพปก: Apple Hub / Canva: pochlife / sopon473 ภาพประกอบ: Apple Hub: ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 และภาพที่4 วิดีโอ: Apple เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
บุญรอด • 14 ก.ย. 68
อ่าน
iPhone 16e vs iPhone 13 ซื้อรุ่นไหนดี ?
iPhone 16e รุ่นประหยัดตัวล่าสุด vs iPhone 13 รุ่นเริ่มต้นตัวเก่า iPhone 16e ? ขอบคุณภาพจาก : Apple เปิดตัวแล้ว สำหรับ iPhone 16e มือถือรุ่นราคาประหยัดที่ทาง Apple ออกมาล่าสุดเพื่อเติมเต็มช่องว่างสำหรับผู้ที่ต้องการใช้มือถือแบรน Apple ในราคาที่ย่อมเยากว่าซีรี่ส์ iPhone 16 ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ โดย iPhone 16e เปิดตัวมาด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 22,900 บาท ซึ่งถูกกว่า iPhone 16 ที่มีราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท แต่แน่นอนว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง iPhone 16 และ iPhone 16e แล้ว iPhone 16 ที่มีราคาสูงกว่า โดยรวมแล้วก็จะมีการใช้งานที่ดีกว่า iPhone 16e อยู่แล้ว แต่หากพิจารณาจากราคา iPhone 16e เป็นหลักก็จะพบว่า ราคาของ iPhone 16e จะใกล้เคียงกับ iPhone รุ่นเก่าอย่าง iPhone 13 หรือ iPhone 14 ทำให้หลาย ๆ ท่านอาจลังเลว่า ระหว่าง iPhone รุ่นราคาประหยัดอย่าง iPhone 16e เปรียบเทียบกับ iPhone รุ่นเริ่มต้นของปีก่อน ๆ อย่าง iPhone 13 หรือ iPhone 14 ตัวไหนจะเหมาะกับคุณผู้อ่านมากกว่า ผู้เขียนจึงได้สรุปข้อแตกต่างระหว่าง iPhone 16e และ iPhone 13 (เนื่องจาก iPhone 13 และ iPhone 14 มีความใกล้เคียงกันมาก แต่ iPhone 13 จะมีราคาที่ถูกกว่า ผู้เขียนจึงขอหยิบ iPhone 13 มาเป็นตัวเปรียบเทียบ แต่สำหรับท่านใดที่สามารถหา iPhone 14 ได้ในราคาที่ใกล้เคียง หรือไม่สามารถหา iPhone 13 มือหนึ่งได้แล้ว ก็สามารถอ่านบทความนี้เพื่อเปรียบเทียบคร่าว ๆ ได้เช่นกัน) เพื่อให้คุณผู้อ่านทุกท่าน ได้เปรียบเทียบฟังก์ชันการใช้งานต่าง ๆ ของ iPhone ทั้ง 2 รุ่น ว่ารุ่นไหนเหมาะกับการใช้งานของคุณผู้อ่านมากที่สุด ดีไซน์และจอแสดงผล ขอบคุณภาพจาก : Apple เมื่อมองจากภายนอก สิ่งที่มองเห็นได้ชัดเลยคือด้านหลังของ iPhone 13 จะมีกล้องถึง 2 ตัว ส่วน iPhone 16e จะมีกล้องเพียงตัวเดียว ส่วนบริเวณขอบข้างตัวเครื่องคือ ปุ่ม action button ที่จะมีอยู่ใน iPhone 16e แต่ใน iPhone 13 จะยังเป็นสวิตซ์เลื่อนเปิด/ปิดเสียงแบบเดิม ด้านล่างตัวเครื่องจะพบว่า iPhone 16e ได้เปลี่ยนเป็นพอร์ต type-c เรียบร้อยแล้ว แต่ iPhone 13 ยังเป็นพอร์ต lightning เมื่อดูที่จอแสดงผลก็จะพบว่าทั้ง 2 รุ่นมีจอแสดงผลที่เหมือนกันแบบ 100% คือ หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ที่ยังมีติ่งเล็ก ๆ ยื่นลงมา ถูกเคลือบด้วย ceramic shield ความสว่าง ความละเอียด อัตราการรีเฟรชเท่ากันทุกประการ แต่อีกหนึ่งความแตกต่างที่ซ่อนอยู่ภายในฝาหลังคือ iPhone 13 จะรองรับ magsafe ทำให้สามารถรองรับอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ได้หลากหลายมากกว่า และทั้ง 2 รุ่น ยังกันน้ำกันฝุ่นเช่นเคย ในด้านสีสันของตัวเครื่อง iPhone 13 จะมีสีให้เลือกมากถึง 6 สี แต่ iPhone 16e จะมีสีให้เลือกเพียง 2 สี ขอบคุณภาพจาก : Apple ชิปประมวลผล ขอบคุณภาพจาก : Apple ด้านความเร็วในการประมวลผล แน่นอนว่า iPhone รุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 16e ที่ใช้ชิป A18 จะประมวลผลได้รวดเร็วกว่า iPhone 13 ที่ใช้ชิป A15 ซึ่งผู้เขียนคิดว่าก็ยังสามารถใช้งานขั้นพื้นฐานได้ดี โดยการที่ iPhone 16e ใช้ชิป A18 ยังทำให้สามารถรองรับ Apple Intelligence ที่เป็นตัวช่วยอัจฉริยะ ทำให้มีตัวช่วยในการทำงานต่าง ๆ ได้สะดวกรวดเร็วขึ้น และอีกข้อดีของการใช้ชิปตัวใหม่กว่า ก็ยังทำให้สามารถใช้งานตัวเครื่องได้ในระยะยาวกว่านั่นเอง กล้อง ขอบคุณภาพจาก : Apple เมื่อเปรียบเทียบกันทั้ง 2 รุ่นนี้ จะมีข้อดีข้อเสียต่างกันคือ iPhone 16e จะมีกล้องเพียงตัวเดียว แต่จะได้เซ็นเซอร์ตัวใหม่ที่มีความละเอียดถึง 48 ล้านพิกเซล ทำให้สามารถซูมครอปโดยเซ็นเซอร์ แล้วให้ภาพในระยะ 2 เท่าโดยยังมีความละเอียดที่ 12 ล้านพิกเซล ส่วน iPhone 13 จะมีกล้องถึง 2 ตัว โดยให้กล้องมุมกว้างพิเศษเพิ่มมาอีก 1 ตัวจากกล้องระยะปกติ แต่จะยังเป็นกล้องที่มีความละเอียดเพียง 12 ล้านพิกเซล ทั้ง 2 ตัว ทำให้อาจได้ความละเอียดที่น้อยกว่ากล้องของ iPhone 16e แบตเตอรี่และการชาร์จ ขอบคุณภาพจาก : Apple อีกปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการใช้มือถือยุคปัจจุบันนี้คือ แบตเตอรี่ที่ส่งผลต่อระยะเวลาการใช้งานระหว่างวันนั่นเอง โดยทาง Apple เคลมที่หน้าเวปไซต์ว่า iPhone 16e สามารถเล่นวิดีโอได้ถึง 26 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่า iPhone 13 ที่สามารถเล่นวิดีโอได้เพียง 19 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ Apple แจ้งว่าสามารถชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 30 นาที ด้วย อะแดปเตอร์ขนาด 20 วัตต์ หรือสูงกว่า เท่ากันทั้ง 2 รุ่น แต่สำหรับพอร์ตชาร์จ อย่างที่ได้เกริ่นนำไปในส่วนของดีไซน์คือ iPhone 16e ได้เปลี่ยนเป็นพอร์ต type-c เรียบร้อยแล้ว แต่ iPhone 13 ยังเป็นพอร์ต lightning อยู่ แต่ iPhone 13 ก็ยังได้เปรียบในด้านการชาร์จไร้สาย เนื่องจากสามารถรองรับการชาร์จผ่าน Magsafe ที่ทำให้ชาร์จได้เร็วถึง 15 วัตต์ ขณะที่ iPhone 16e รองรับการชาร์จไรสายธรรมดาด้วยความเร็วเพียง 7.5 วัตต์ ราคาและความจุ iPhone 16e 128 GB 22,900 บาท 256 GB 26,900 บาท 512 GB 34,900 บาท สั่งจอง ดูราคาและโปรโมชันเพิ่มเติมของ iPhone 16e จาก True iPhone 16e iPhone 13 128 GB 19,900 บาท ดูราคาและโปรโมชันเพิ่มเติมของ iPhone 13 จาก True iPhone 13 สรุปความคิดเห็น เมื่อคุณผู้อ่านได้เปรียบเทียบถึงจุดเด่นจุดด้อยของทั้ง 2 รุ่นแล้วก็จะเห็นได้ว่า iPhone 16e จะมีจุดเด่นคือความเร็วแรงในการประมวลผล มี Apple Intelligence ใช้พอร์ตใหม่อย่าง type-c iPhone 16e ผู้เขียนจึงมีความเห็นว่า เจ้า 16e เหมาะกับคนที่ต้องการ iPhone ที่มี AI ประมวลผลได้เร็ว เล่นเกมที่ต้องใช้การประมวลผลสูง อยากได้กล้องที่มีความละเอียดสูง ต้องการใช้ในระยะยาวเป็นหลัก ซึ่งในทางกลับกัน ผู้ที่เน้นเรื่องกล้องมุมกว้าง ใช้อุปกรณ์เสริม Magsafe ใช้เพียงแอปพลิเคชันพื้นฐาน เล่นเกมเบา ๆ ต้องการประหยัดงบประมาณ iPhone 13 ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า สุดท้ายนี้ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความนี้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่าน เลือก iPhone ได้ตรงกับความต้องการ และใช้ iPhone อย่างมีความสุข ขอบคุณครับ ...CKTW… ขอบคุณภาพจาก : Apple ติดต่อ twiningck@gmail.com เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
CKTW • 27 ก.พ. 68
อ่าน
เปรียบเทียบ iPhone 15 vs iPhone 14 แตกต่างกันแค่ไหน ซื้ออะไรคุ้มกว่ากัน?
สวัสดีเหล่าสาวกไอโฟนทุกท่านครับ หลังจากเปิดตัว iPhone 15 ในงาน Wonderlust เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบ iPhone 15 vs iPhone 14 แตกต่างกันแค่ไหน ซื้ออะไรคุ้มกว่ากัน? และเคลียร์ทุกประเด็นทุกข้อสงสัยของท่านสเปกiPhone 15 Series iPhone 15 และ iPhone 15 Plusหน้าจอ Super Retina XDR OLED แบบ Dynamic Island ขนาด 6.1 นิ้ว(รุ่นปกติ) และ 6.7 นิ้ว(Plus) อัตรารีเฟรช 60Hz และเสริม Ceramic Shieldชิปเซ็ต : Apple A16 Bionic ระบบปฏิบัติการ : iOS 17ROM : 128GB/256GB/512GBกล้องหลังคู่ กล้องหลัก 48MP และอัลตร้าไวด์ 12MP มาพร้อมกันสั่น OISกล้องหน้า 12MPการถ่ายวิดีโอธรรมดาได้ระดับ 4K ,1080p 30/60fps ส่วนโหมดภาพยนตร์ได้ระดับ 4K HDR 30fpsมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ลงน้ำลึกได้ 6 เมตร 30 นาทีพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C 2.0 การเชื่อมต่อ 5G + WiFi 6 + Bluetooth 5.3 + Ultra Wideband 2เล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 20 ชั่วโมง(รุ่นปกติ) และ 26 ชั่วโมง(Plus)รองรับ Face IDiPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max หน้าจอ Super Retina XDR OLED แบบ Dynamic Island ขนาด 6.1 นิ้ว(Pro) และ 6.7 นิ้ว(Pro Max) อัตรารีเฟรช 120Hz และเสริม Ceramic Shieldวัสดุตัวเครื่องเป็นไทเทเนียมขอบจอบาง 1.71 มม.ชิปเซ็ต : Apple A17 PROระบบปฏิบัติการ : iOS 17ROM : 128GB/256GB/512GB/1TB (รุ่น Pro Max ไม่มีรุ่น 128GB)กล้องหลัง กล้องหลัก 48MP ส่วนเลนส์อัลตร้าไวด์และเทเลโฟโต้ 12MP รองรับ Optical 3 เท่า(Pro) และ 5 เท่า(Pro Max) มาพร้อมกันสั่น OISกล้องหน้า 12MPกล้อง Spatial Videoการถ่ายวิดีโอระดับธรรมดาได้ระดับ 4K ,1080p 30/60fps ส่วนโหมดภาพยนตร์ได้ระดับ 4K HDR 30fps และถ่ายแบบ ProRes สูงสุด 4K 60fpsมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ลงน้ำลึกได้ 6 เมตร 30 นาทีพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C 3.0ปุ่ม Action มาแทนที่ปุ่มปิดเสียง การเชื่อมต่อ 5G + WiFi 6E + Bluetooth 5.3 + Ultra Wideband 2เล่นวิดีโอได้นามสูงสุด 23 ชั่วโมง(Pro) และ 29 ชั่วโมง(Pro Max)รองรับ Face ID iPhone 14 SeriesiPhone 14 และ iPhone 14 Plusหน้าจอ Super Retina XDR OLED แบบ Notch ขนาด 6.1 นิ้ว(รุ่นปกติ) และ 6.7 นิ้ว(Plus)ชิปเซ็ต : Apple A15 Bionic ระบบปฏิบัติการ : iOS 16ROM 128GB/256GB/512GBกล้องหลัง 12MP ทั้งกล้องหลักและอัลตร้าไวด์ กล้องหน้า 12MPการถ่ายวิดีโอระดับ 4K HDR 30fpsมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ลงน้ำลึกได้ 6 เมตร 30 นาทีการเชื่อมต่อ 5G + WiFi 6 + Bluetooth 5.3 + Ultra Widebandเล่นวิดีโอได้นานสูงสุด 20 ชั่วโมง(รุ่นปกติ) และ 26 ชั่วโมง(Plus)รองรับ Face IDiPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Maxหน้าจอ Super Retina XDR OLED แบบ Dynamic Island ขนาด 6.1 นิ้ว(Pro) และ 6.7 นิ้ว(Pro Max)ชิปเซ็ต : Apple A16 Bionicระบบปฏิบัติการ : iOS 16ROM : 128GB/256GB/512GB/1TBกล้องหลัง กล้องหลัก 48MP ส่วนเลนส์อัลตร้าไวด์และเทเลโฟโต้ 12MP มาพร้อมกันสั่น OISกล้องหน้า 12MPการถ่ายวิดีโอระดับ 4K HDR 30fpsการถ่ายแบบ ProRes สูงสุด 4K 30fps (ยกเว้นรุ่น 128GB ถ่ายได้แค่ 1080p 30fps)มาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 ลงน้ำลึกได้ 6 เมตร 30 นาทีการเชื่อมต่อ 5G + WiFi 6 + Bluetooth 5.3 + Ultra Widebandเล่นวิดีโอได้นามสูงสุด 23 ชั่วโมง(Pro) และ 29 ชั่วโมง(Pro Max)รองรับ Face ID สีเครื่องiPhone 15 และ iPhone 15 PlusBlackBlueGreenYellowPinkiPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max Natural TitaniumBlue TitaniumWhite TitaniumBlack TitaniumiPhone 14 และ iPhone 14 PlusMidnightStarlightBlueRedPurpleYellow iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max SilverGoldPurpleSpace Blackราคาเนื่องจาก iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ได้ยกเลิกขายแล้วทำให้ตอนนี้มีแค่ iPhone 14 และ iPhone 14 Plus เท่านั้นiPhone 15128GB ราคา 32,900 บาท256GB ราคา 36,900 บาท512GB ราคา 45,900 บาทiPhone 15 Plus 128GB ราคา 37,900 บาท256GB ราคา 41,900 บาท512GB ราคา 50,900 บาทiPhone 15 Pro128GB ราคา 41,900 บาท256GB ราคา 45,900 บาท512GB ราคา 54,900 บาท1TB ราคา 63,900 บาทiPhone 15 Pro Max 256GB ราคา 48,900 บาท512GB ราคา 57,900 บาท1TB ราคา 66,900 บาทiPhone 14 (ณ เวลาปัจจุบัน)128GB ราคา 29,900 บาท256GB ราคา 33,900 บาท512GB ราคา 42,900 บาทiPhone 14 Plus (ณ เวลาปัจจุบัน)128GB ราคา 32,900 บาท256GB ราคา 36,900 บาท512GB ราคา 45,900 บาทอะไรคือความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่าง iPhone 15 กับ iPhone 14 ผมจะแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้1.รอยบากบน iPhone 15 และ iPhone 14รอยบาก Notch บน iPhone แสนน่ารำคาญที่อยู่กับเรามานานใน iPhone 14 ในรุ่นปกติและ Plus เป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว เพราะ iPhone 15 Series ได้เปลี่ยนรอยบากเป็นแบบ Dynamic Island แล้วก็ไม่ต้องทนรำคาญแถบแจ้งเตือนอีกต่อไป ซึ่งคนที่รอ iPhone รอยบากแบบ Dynamic Island ในรุ่นปกติก็ดีใจด้วยนะครับ2.พอร์ตที่ใช้กับ iPhone 15หลังจากนี้สาวกไอไฟนคงจะได้เห็นพอร์ต Lightning ใน iPhone 14 Series เป็นรุ่นสุดท้ายแล้ว เพราะ iPhone 15 Series จะใช้พอร์ตเป็น Type-C แล้ว เดี่ยวคงจะมีต้องคนถามว่า "สายชาร์จ Type-C ตามท้องตลาดใช้ได้ไหม" อันนี้ผมจะขอไปตอบในประเด็นข้อสงสัย แต่ตรงนี้ประเด็น3.กล้อง iPhone 15 และ iPhone 14หนึ่ง อย่างที่เราทราบกันว่ากล้อง iPhone 15 Series ใช้กล้องหลักความรายละเอียด 48MP ซึ่งตรงนี้แตกต่างกันจากกล้อง iPhone 14 ในรุ่นปกติและ Plus ที่ใช้กล้องความรายละเอียด 12MP ยกเว้นแค่รุ่น Pro และ Pro Max ที่ใช้กล้องความรายละเอียด 48MPสอง คือ การบันทึกวิดีโอของ iPhone 15 กับ iPhone 14 ตรงนี้จะแตกต่างอย่างชัดเจน โหมดถ่าย ProRes ของ iPhone 15 สามารถถ่ายได้ระดับ 4K 60fps ซึ่งอัพเกรดจาก iPhone 14 ที่ได้แค่ 4K 30fps เองสาม คือ กล้อง Spatial Video ใน iPhone 15 Pro และ Pro Max ที่ต้องใช้ร่วมกับแว่น Apple Vision Pro เพื่อดูความทรงจำในอดีตได้สมจริงด้วย4.ชิปเซ็ต iPhone 15ตัวชิปเซ็ตของ iPhone 15 โดยเฉพาะรุ่น Pro และ Pro Max ที่เป็น Apple A17 PRO ซึ่งดีกว่าตัวชิปเซ็ต Apple A16 Bionic ใน iPhone 15 รุ่นปกติ ,Plus และ iPhone 14 รุ่น Pro ,Pro Max เพราะชิปเซ็ตตัวนี้โคตรว้าวมาก คือ สามารถเล่นเกมระดับเทพ เช่น Resident Evil 4 บน iPhone 15 Pro และ Pro Max ได้เลย ตรงนี้ได้รับยืนยันจาก Tsuyoshi Kanda ของ Capcom เองเลย5.ปุ่ม Actionปุ่ม Action จะมี iPhone 15 เฉพาะรุ่น Pro และ Pro Max แทนปุ่มปิดเสียง โดยเราสามารถตั้งค่าโหมดได้หลายหลาก เช่น โฟกัส ,กล้อง ,ไฟฉาย เป็นต้น แต่เราจะรู้ได้อย่างไรอยู่โหมดใด ให้ดูบน Dynamic Island จะแสดงให้เห็นว่าเราอยู่โหมดใดแล้ว6.ขอบจอบางที่สุดทำไม iPhone 15 Pro และ Pro Max ถึงบอกว่ามีขอบจอบางที่สุดในตระกูล iPhone ทั้งหมด เพราะขอบจอ iPhone 15 อยู่ 1.71 มม. ในขณะที่ iPhone 14 มีขอบจออยู่ 2.17 มม. ทำให้ iPhone 15 มีขอบจอบางที่สุดนั้นเอง7.วัสดุตัวเครื่องวัสดุตัวเครื่อง iPhone 15 Pro และ Pro Max เป็นไทเทเนียม ไทเทเนียมที่ใช้เป็น Grade 5 ซึ่งเป็นเกรดเดียวกันที่ใช้อุตสาหกรรมการบิน เบา แข็งแรงและทนทานประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับ iPhone 151.โทรผ่านดาวเทียมในไทย ใช้งานได้หรือยังตอบเลยว่า ยังไม่ได้อยู่ดี เพราะ SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียมใน iPhone 14 ตอนนั้นใช้ได้แค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ iPhone 15 จะใช้ได้ประเทศแถบยุโรป, ออสเตรเลีย, แคนดา และสหรัฐอเมริกา2.สายชาร์จ Type-C ตามท้องตลาดทั่วไปใช้ได้ไหมได้และไม่ได้ เพราะสายชาร์จ Type-C ต้องได้รับรองมาตรฐานจากทาง Apple ก่อน อาจจะทำให้สายชาร์จ Type-C ตามท้องตลาดก็ไม่สามารถใช้ได้บางตัว ถ้าเลือกปลอดภัยขั้นสูงสุดก็ Apple Store เลยจ้า3.อยากใช้สายชาร์จ Lightning ต่อไป มีอุปกรณ์แปลงเป็น Type-C หรือไม่มีครับ แต่ราคาเอาเรื่องพอสมควร แค่ 1,190 บาทเอง คืออยากถามจริงนะ ราคาหลักร้อยก็พอไหมสรุปแล้วซื้อรุ่นไหนดีตรงผมจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มผู้ใช้งาน คือ คนใช้งานทั่วไป, คนใช้เพื่อเล่นเกม และครีเอทีฟหรือครีเอเตอร์คนใช้งานทั่วไป ตรงผมมองว่าถ้าใช้แค่ iPhone 15 รุ่นปกติ และ Plus ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะประสิทธิภาพในการทำงานดีพอสมควร แต่ถ้าใช้เป็นรุ่น Pro หรือ Pro Max ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับคนใช้งานว่าจะใช้ทุกฟีเจอร์ครบไหม ถ้าใช้ฟีเจอร์ไม่หมดอาจจะไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่คนใช้เพื่อเล่นเกม ตรงผมมองว่าถ้าเป็นพวกแคสเกมถือว่าคุ้มค่า เพราะอย่างประสิทธิภาพของชิปเซ็ต A16 แรงพอสมควร โอกาสที่จะกระตุกมีน้อยมาก ยกเว้นไม่มีอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เล่นเกมไม่ได้ อันนี้จบเลย แต่ถ้าให้คุ้มค่ากว่านี้ iPhone 15 รุ่น Pro และ Pro Max เพราะชิปเซ็ต A17 PRO ที่โคตรแรงแล้วและเล่นเกมระดับเทพได้ ทำให้สร้างคอนเทนต์เกมได้มากอย่างยิ่งขึ้นครีเอทีฟและครีเอเตอร์ ตรงผมมองว่าถ้าเป็นคนทำงานสายนี้อยู่แล้ว ผมแนะนำใช้ iPhone 15 รุ่น Pro หรือ Pro Max ไปเลย เพราะอย่างแรกคือกล้องหลังประสิทธิภาพดีกว่า iPhone 14 ต่อมาคือหน่วยความจำ ถ้าใช้งานไม่มากใช้แค่ 128-256GB ก็พอแล้ว แต่ใช้งานหนักใช้เป็นตัว 512GB - 1TD ไปเลย คุ้มค่าอย่างแน่นอนแต่ส่วนผมแนะนำคงให้เลือกเป็น iPhone 15 ดีกว่า อย่างแรกคือประสิทธิภาพของ iPhone 15 ที่เร็วกว่า iPhone 14 แน่นอน อย่างที่สอง กล้องดีกว่าเดิม ที่ถ่ายภาพสวยและถ่ายวิดีโอได้คมชัดยิ่งขึ้น และสุดท้ายชิปเซ็ต A17 PRO ที่เล่นเกมได้สนุกยิ่งขึ้น แต่หากไม่ได้แคร์กับ iPhone 15 และใช้เล่นเกมอย่างเดียว หรืองบมีจำกัด ก็แนะนำเป็น iPhone 14 ดีกว่าจะได้ประหยัดตังค์ในเป๋าอีกเยอะเลย หรือเก็บตังค์รอ iPhone 16 ในอนาคตก็ได้https://youtu.be/XHTrLYShBRQ?si=lZMlHu2_dt1uMq_Hส่วนใครอยากเป็นเจ้าของ iPhone 15 ก่อนใครสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ที่ True5G พร้อมสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นดีในวันที่ 15 กันยายน เวลา 19:00สุดท้ายนี้หากใครที่รู้สึก ชอบบทความนี้ก็แชร์ออกไปได้เลย หรือถ้าอยากจะติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราก็สามารถติดตามได้ที่Facebook : WV reviewบทความ True ID : WV เรียบเรียงโดย : WVเครดิตภาพภาพปก : ออกแบบ-ผู้เขียน และภาพแคปมาจาก YouTube : Apple : iPhone 15 , iPhone 14ภาพประกอบทั้งหมดแคปมาจาก YouTube : Appleวิดีโอจาก YouTube : Apple เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WV • 14 ก.ย. 66
อ่าน
คริส อีแวนส์ กัปตันอเมริกายังคิดถึง iPhone 6S บ่น iPhone 12 Pro หนักเกินไป
เมื่อไม่นานมานี้ คริส อีแวนส์ (Chris Evans) นักแสดงเจ้าของบทบาทกัปตันอเมริกา ได้ออกมาโพสอำลาไอโฟน 6เอส (iPhone 6S) สมาร์ตโฟนคู่กายที่ใช้มานานถึง 7 ปี ผ่านอินสตาแกรม (Instagram) ว่าRIP iPhone 6s เราผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะเลย ฉันจะคิดถึงปุ่มโฮมของนายแต่ฉันจะไม่ลืมความยากลำบากในทุกคืน ตอนที่ต้องหาที่ชาร์จให้นาย หรือภาพแตก ๆ ของนาย หรือแบตเตอรี่ของนาย ที่สามารถลดลงอย่างกะทันหันจาก 100% เหลือ 15% ก่อนจะหมดลงภายในไม่กี่นาทีมันเป็นการเดินทางที่ระทึกมาก หลับให้สบายนะเพื่อนทำเอาบรรดาแฟนคลับทั้งขำทั้งเอ็นดูไปตาม ๆ กัน โดยล่าสุดคริส อีแวนส์ได้เปลี่ยนมาใช้ไอโฟน 12 โปร (iPhone 12 Pro) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีผู้คนจำนวนมากคาดการณ์ว่าสมาร์ตโฟนเครื่องใหม่ของคริส อีแวนส์จะเป็นไอโฟน 13 (iPhone 13)ในบทสัมภาษณ์จากคอลไลเดอร์ (Colider) ที่เขาถูกสัมภาษณ์ขณะร่วมงานแถลงข่าวของภาพยนตร์แนวระทึกขวัญเรื่อง เดอะ เกรย์ แมน (The Grey Man) เขาได้ยอมรับว่ายังคงคิดถึงไอโฟน 6เอสของเขาและปุ่มโฮม (Home) ของมัน อีกทั้งไอโฟน 12 โปรยังหนักเกินไป ตัวเครื่องมีขนาดที่เทอะทะ และรู้สึกไม่มั่นคงขณะที่ถือ โดยเฉพาะการต้องใช้นิ้วก้อยช่วยประคองเครื่องซึ่งนอกจากหนุ่มคริส อีแวนส์ที่ติดการใช้ปุ่มโฮมของไอโฟน (iPhone) ยังมีคนดังอีกคนที่ต้องการปุ่มโฮมกลับมา นั่นก็คือโดนัล ทรัมป์ (Donald Trump) อดีตประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าตัวเคยทวีตไว้ในปี 2019 ว่าถึง ทิม: ปุ่มโฮมของไอโฟนนั้นดีกว่าการเลื่อนมากโดยแอปเปิล (Apple) ได้เลิกผลิตไอโฟนที่มีปุ่มโฮมแบบกดได้มาตั้งแต่ไอโฟน เอ็กซ์ (iPhone X) แต่ผู้ใช้งานยังคงสามารถเข้าไปตั้งค่าสัมผัสช่วยเหลือ (Assistive Touch) เพื่อใช้งานปุ่มโฮมแบบสัมผัสได้ แม้ว่าความรู้สึกในการใช้งานจะต่างกันอยู่บ้างพอสมควรข้อมูลจากwww.theverge.comภาพจากwww.reuters.com
TNN ช่อง16 • 20 ก.ค. 65
อ่าน
เช็คก่อนซื้อ iPhone 16 กับ iPhone 15 ตัวไหนดี ต่างกันตรงไหนบ้าง?
เปิดตัวแล้วนะครับ สำหรับ iPhone 16 Series ที่มาพร้อมกับ iPhone 16 , iPhone 16 Plus , iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max รุ่นท็อปสุด วันนี้พี่เอไอจะมาโฟกัสรุ่น iPhone 16 เป็นหลักเพราะเป็นไอโฟนรุ่นเริ่มต้น ที่ถูกที่สุดของรุ่นแล้ว และเราจะมาดูกันว่า iPhone 16 กับ iPhone 15 ต่างกันตรงไหนบ้าง ใครที่ใช้ iPhone 15 อยู่ จะเปลี่ยนเป็น iPhone 16 คุ้มหรือเปล่า หรือคนที่กำลังใช้รุ่นเก่าๆ อยากเปลี่ยนเป็น iPhone 16 สเปคเป็นยังไงบ้าง มาอ่านต่อกันได้เลยครับ 1. หน้าจอและรูปลักษณ์ภายนอก iPhone 16 iPhone 16 ถ้าดูด้านหน้าก็จะแทบไม่ต่างกันเพราะทั้ง 2 รุ่นหน้าจอเท่ากันที่ 6.1 นิ้ว มี Dynamic Island ความละเอียด 2556 x 1179 พิกเซลและความสว่างเท่ากันที่ 2000nits แต่ iPhone 16 จะได้อัพเกรดจอในเรื่องความสว่างต่ำสุดที่ 1 nits ข้อดีคือตอนที่เราใช้งานกลางคืนหรือในห้องที่มืดหน้าจอจะมีความสว่างต่ำสุด โดยไม่ทำให้เราแสบตา เพื่อถนอมสายตาครับ ส่วน Refresh rate ก็ยังคงเป็น 60Hz เท่ากับรุ่นก่อนๆ ซึ่งตรงผมค่อนข้างผิดหวังเหมือนกัน เพราะปีนี้ 2024 หน้าจอมือถือทางฝั่ง Android ราคา 5000 บาท ยังได้หน้าจอ Refresh rate 120Hz ขึ้นแล้วครับ ส่วนดีไซน์ทั้ง 2 รุ่นขนาดเท่ากันเป๊ะๆ แต่ iPhone 16 เบากว่าที่ 1 กรัม อันนี้ไม่นับก็ได้นะครับ 5555 สิ่งที่ต่างจาก iPhone 15 ในเรื่องดีไซน์ก็จะเป็นการจัดเรียงกล้องแบบใหม่ คือเป็นแบบคู่แคปซูล ถ้าดูดีๆ ก็จะเหมือนดีไซน์ย้อนไปประมาณ iPhone X กันเลยทีเดียว และก็มีปุ่มเพิ่มมา 2 ปุ่มคือ ปุ่ม Action button ที่ใช้เป็นปุ่มทางลัดและมีปุ่มควบคุมกล้อง ที่เป็นปุ่มคีย์ลัดในการเรียกใช้กล้องแบบรวดเร็วครับ และสีของ iPhone 16 จะมีใหม่คือ สีน้ำเงินอัลตร้ามารีน และเฉดสีของ iPhone 16 จะเป็นสีเข้มขึ้น จะไม่ใช่พาสเทลแบบ iPhone 15 แล้วครับ 2. ชิปเซ็ต iPhone 16 ปกติ iPhone เปิดตัวใหม่รุ่นปกติชิปเซ็ตจะขยับไปอีกรุ่นหนึ่ง แต่รอบนี้ iPhone 16 ใช้ชิป Apple A18 ขยับไป 2 Generation ที่ iPhone 15 ใช้ชิป Apple A16 ซึ่งแน่นอนว่ามันมีผลทำให้ iPhone 16 จะมีประสิทธิภาพแรงสุดๆ เล่นเกมส์ไม่สะดุด การประมวลต่างๆ เมื่อเทียบกับ iPhone 15 และที่สำคัญชิป Apple A18 ยังรองรับการใช้งานฟีเจอร์ Apple Intelligence อีกด้วย ซึ่งตอนนี้จะมีการเปิดใช้งานที่ต่างประเทศก่อนนะครับ ของไทยคงมีอัพเดตให้ใช้งานกันทีหลังในอนาคตครับ 3. กล้อง iPhone 16 ถ้าดูผิวเผินจากสเปค กล้อง 2 ตัวจะมีความละเอียดจะมีเท่ากับ iPhone 15 คือกล้องหลัก 48MP และกล้องอัลตร้าไวด์ 12MP แต่สิ่งที่ iPhone 16 เพิ่มเรื่องกล้องเข้ามาคือ กล้องหลักเป็น Fusion 48MP รองรับการถ่ายระยะ 2X แบบ Optical คือ คุณภาพรูปภาพยังดีแม้จะซูมที่ 2 เท่า รองรับการถ่ายมาโคร และเลนส์อัลตร้าไวด์จะมีรูรับแสงที่ใหญ่ขึ้นและขนาดพิกเซลที่ใหญ่ขึ้น สามารถรับแสงได้มากขึ้นสูงสุด 2.6 เท่า ประโยชน์คือเวลาถ่ายตอนกลางคืนหรือแสงน้อย จะทำได้ดีและไม่ทำให้ภาพมืดครับ ส่วนเรื่องวิดีโอที่อัพเกรดมาจะเป็นในเรื่องเสียงในการอัดวิดีโอมีให้มา 3 โหมด ซึ่งสามารถเลือกได้ว่า จะบันทึกเฉพาะคนพูดภายในเฟรม หรือ บันทึกเฉพาะคนพูดเหมือนอยู่ในสตูดิโอพร้อมการตัดเสียงหรือ จะบันทึกเสียงทั้งหมดรวมถึงเสียงรอบข้างทั้งหมดก็ได้ครับ สาย Vlog ไม่ควรพลาดฟีเจอร์นี้ครับ 4. แบตเตอรี่ iPhone 16 รอบนี้ไม่ต้องกลัวแบตเตอรี่หมดไว เพราะ iPhone 16 ได้เพิ่มแบตเตอรี่ขึ้นมาให้เรียบร้อยโดยสามารถใช้งานจากการดูวิดีโอสูงสุด 22 ชั่วโมง ต่างจาก iPhone 15 ที่สามารถดูวิดีโอได้สูงสุด 20 ชั่วโมงและมีการอัพเกรดการชาร์จ MagSafe เร็วขึ้นเพิ่มเป็น 25W จาก iPhone 15 รองรับที่ 15W 5. ราคา iPhone 16 ถือว่าเป็นข่าวดี iPhone 16 มีราคาถูกลงจากรุ่น iPhone 15 ก่อนเยอะเลยตั้ง 3,000 บาท ถ้าเทียบกับปีก่อน iPhone 16 ความจุเริ่มต้น 128GB ราคา 29,900 ส่วน iPhone 15 ความจุ 128GB เริ่มต้นที่ 32,900 บาท เปิดให้จองกันวันที่ 13 กันยายนนี้ และขายหน้าร้านวันที่ 20 กันยายนนี้ครับ สรุป iPhone 15 เปลี่ยนเป็น iPhone 16 ดีไหม ? ดีขึ้นแน่นอนมาดูเหตุผลกันครับ หน้าจอที่ปรับความสว่างตำ่สุดที่ 1nits ใช้งานกลางคืนสบายตา ชิปเซ็ต Apple A18 สุดแรง CPU แรงขึ้น 30% GPU แรงขึ้น 40% เล่นเกมส์ระดับ AAA ได้สบายไม่แพ้รุ่นโปรครับ กล้องความละเอียดเท่าเดิม แต่ด้วยชิปเซ็ต Apple A18 ทำให้การประมวลผล รูปภาพ การถ่ายวิดีโอ เร็วขึ้น มีฟีเจอร์จากปุ่มควบคุมกล้อง ช่วยใช้งานเรื่องกล้องถ่ายรูปให้ง่ายและสะดวกไปอีก แบตเตอรี่ที่อึดขึ้นและรองรับชาร์จไร้สาย MagSafe ที่เร็วขึ้น เป็น 25W ราคาที่ถูกลงแต่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับ iPhone 15 รูปภาพประกอบ รูปภาพหน้าปกจัดทำเอง Mixed by พี่เอไอ รูปภาพประกอบบทความจาก https://www.apple.com/ Mixed by พี่เอไอ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
พี่เอไอ • 13 ก.ย. 67
อ่าน
เปรียบเทียบ iPhone 16 และ iPhone 15 แตกต่างกันแค่ไหน ซื้ออะไรคุ้มกว่ากัน ?
สวัสดีเหล่าสาวกไอโฟนทุกท่านครับ หลังจากเปิดตัว iPhone 16 ในงาน It's Glowtime เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้เราจะมาเปรียบเทียบ iPhone 16 vs iPhone 15 จะเป็นรุ่น Standard เท่านั้นว่าแตกต่างกันแค่ไหนยังไงบ้างนั้น และมาคิดกันว่าจะซื้อ iPhone 16 คุ้มกว่าไหม? เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อมือถือของท่านเอง การออกแบบ พูดถึงเรื่องการออกแบบดีไซน์ของ iPhone 16 และ iPhone 15 ตัวเครื่องยังเหมือนเดิม เช่น ตัวเครื่องวัสดุอะลูมิเนียมและมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่น IP68 แต่เรามาเริ่มที่เปลี่ยนชัดสุดของ iPhone 16 อย่างแรกโมดูลกล้องเป็นแคปซูลยาแนวตั้ง อย่างที่สองสีเครื่องใหม่มี 5 สี ได้แก่ ดำ, ขาว, ชมพู, เขียวอมฟ้า, น้ำเงินอัตลร้ามารีน และขนาด 147.6 x 71.6 x 7.8 มม. น้ำหนัก 170 กรัม ในขณะที่ iPhone 15 โมดูลกล้องเป็นกล่องสี่เหลี่ยม สีเครื่องมี 5 สี ได้แก่ ดำ, ฟ้า, เขียว, ชมพู, เหลือง และขนาด 147.6 x 71.6 x 7.8 มม. น้ำหนัก 171 กรัม หน้าจอ หน้าจอ iPhone 16 เป็น Super Retina XDR OLED แบบ Dynamic Island ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2556×1179(460PPI) อัตรารีเฟรช 60Hz ความสว่างหน้าจอสูงสุด 2000nits ต่ำสุดที่ 1nits และเสริม Ceramic Shield รุ่นใหม่ ในขณะที่ iPhone 15 หน้าจอเป็น Super Retina XDR OLED แบบ Dynamic Island ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2556×1179(460PPI) อัตรารีเฟรช 60Hz ความสว่างหน้าจอสูงสุด 2000nits และเสริม Ceramic Shield ฮาร์ดแวร์และประสิทธิภาพ iPhone 16 มาพร้อมกับชิปเซต Apple A18 Bionic ส่วน RAM 8GB ส่วน ROM มีให้เลือก 128GB/256GB/512GB และระบบปฏิบัติการ iOS 18 ในขณะที่ iPhone 15 เป็นชิปเซต Apple A16 Bionic ต่อมาส่วน RAM 6GB ส่วน ROM มีให้เลือก 128GB/256GB/512GB และระบบปฏิบัติการ iOS 17 แล้วชิป Apple A18 Bionic มันดียังไง ชิปเป็นที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยี 3nm รุ่นที่ 2 แถมชิปเซ็ตใหม่นี้ยังเป็นชิปเซ็ตแรกที่สร้างขึ้นจากพื้นฐานเกี่ยวกับการปรับแต่ง AI เมื่อปีที่แล้ว Apple พลาดกระแส AI แต่ในปีนี้ได้ทุ่มทุนอย่างเต็มที่เรื่อง AI กล้อง iPhone 16 มาพร้อมกล้องหลังคู่ กล้องหลัก Fusion 48MP มาพร้อมกันสั่น OIS + กล้อง Ultrawide 12MP และกล้องหน้า 12MP ส่วนเรื่องการถ่ายวิดีโอธรรมดาได้ระดับ 4K 60fps ,1080p 30/60fps ส่วนโหมดภาพยนตร์ได้ระดับ 4K HDR 30fps ในขณะที่ iPhone 15 กล้องหลังคู่ กล้องหลัก 48MP มาพร้อมกันสั่น OIS + กล้อง Ultrawide 12MP และกล้องหน้า 12MP เรื่องการถ่ายวิดีโอธรรมดาได้ระดับ 4K 60fps ,1080p 30/60fps ส่วนโหมดภาพยนตร์ได้ระดับ 4K HDR 30fps แล้วกล้อง iPhone 16 มันดียังไง เรามาที่กล้องหลัก Fusion 48MP เป็นกล้องรองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงเป็นพิเศษ (24MP และ 48MP) และรองรับถ่ายแบบ Telephoto 2 เท่า มาต่อที่กล้อง Ultrawide 12MP ที่ใช้สำหรับถ่ายภาพหรือวิดีโอมุมกว้าง สามารถดึงความสว่างได้ 2.6 เท่า งวดนี้อัปเกรดรองรับการถ่ายภาพแบบ Macro มาด้วยและรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Spatial Video ตลอดจนมีฟังก์ชันตัดเสียงรบกวนจากลมหรือจากรอบข้างก็ได้ การเชื่อมต่อ iPhone 16 รับรองการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 , USB-C 2.0 , Ultra Wideband 2 , รองรับ Face ID และ Wi-Fi 2.4, 5 , 6 , 7 ในขณะที่ iPhone 15 รับรองการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 , USB-C 2.0 , Ultra Wideband 2 , รองรับ Face ID และ Wi-Fi 2.4, 5 , 6 แบตเตอรี่ iPhone 16 มีความจุการเล่นวิดีโอสูงสุด 22 ชั่วโมง รับรองชาร์จแบบไร้สายในแบบ MagSafe สูงสุด 25W, ชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi2 สูงสุด 15W และชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi สูงสุด 7.5W ในขณะที่ iPhone 15 มีความจุการเล่นวิดีโอสูงสุด 20 ชั่วโมง รับรองชาร์จแบบไร้สายในแบบ MagSafe สูงสุด 15W, ชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi2 สูงสุด 15W และชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi สูงสุด 7.5W ฟีเจอร์ใหม่ iPhone 16 เติมปุ่ม Action Botton สำหรับใช้คีย์ลัดต่างๆ อย่างสะดวกขึ้นและเพิ่มปุ่ม Camera Control ใช้งานในฟีเจอร์กล้องสำหรับเป็นตัวปรับตั้งค่าต่างๆได้อีกด้วย ราคา ครั้งนี้มาแปลกใหม่ ราคา iPhone 16 เริ่มต้น รุ่น 128GB ราคา 29,900 บาท รุ่น 256GB ราคา 33,900 บาท รุ่น 512GB ราคา 41,900 บาท iPhone 15 (ณ ปัจจุบัน) รุ่น 128GB ราคา 26,900 บาท รุ่น 256GB ราคา 30,900 บาท รุ่น 512GB ราคา 38,900 บาท สรุปแล้วซื้อรุ่นไหนดี iPhone 16 และ iPhone 15 เป็นมือถือที่ดี ส่วนการเลือกระหว่างสองรุ่นนี้จริงๆ ถ้าผมแนะนำสำหรับคนที่ใช้งานทั่วไปใช้ได้ทั้งคู่ แต่โดยส่วนตัวแนะนำเป็น iPhone 16 ดีกว่า อย่างแรกชิปดีกว่า อย่างที่สองกล้องดีกว่า อย่างฟีเจอร์มีหลายลูกเล่นให้เล่นเยอะ โดยสำหรับ AI และสุดท้ายแบตะเยอะและชาร์จไว มันขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลและกำลังทรัพย์ เดี่ยวมีคนถาม แล้ว iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max ทำไมไม่เขียนในบทความนี้ ต้องแจ้งก่อน เดี่ยวจะมีเปรียบเทียบแน่นอน แต่จะเป็นคู่ระหว่าง Samsung แถมจัดไปเปรียบเทียบอีก 4 ค่ายจะเป็นค่ายไหนรอติดตามได้เลยครับ ส่วนใครเป็นเจ้าของ iPhone 16 Series สามารถสั่งจองล่วงหน้า พร้อมสิทธิพิเศษและโปรโมชั่นที่ True5G ในวันที่ 13 กันยายน 2567 เวลา 19:00 น. สุดท้ายนี้หากใครที่รู้สึกชอบบทความนี้กดแชร์หรือถ้าอยากจะติดตามเรื่องราวอื่นๆ ของเราก็สามารถติดตามได้ที่ Facebook : WV review บทความ True ID : WV เรียบเรียงโดย : WV เครดิตภาพ ภาพปก : ออกแบบ-ผู้เขียน และภาพแคปมาจาก YouTube : Apple : iPhone 16 และ iPhone 15 ภาพประกอบที่ 1-10 แคปมาจาก YouTube : Apple ภาพประกอบที่ 11 จาก Facebook : TrueMove H เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WV • 13 ก.ย. 67
อ่าน
ทำเสียงชาร์จแบต iphone ให้เป็นเสียงพูด - How To Customize Charging Sound for iPhone - iOS14
เทรนนี้มาแรง และกำลังฮิตมากๆครับ ทำตามคลิปได้เลยครับ จะได้ไม่ตกเทรน อิอิฝากกดติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจ และจะได้ไม่ตกเทรนกันนะครับผม ขอบคุณครับPlease subscribe my channel Thank you.#เปลี่ยนเสียงชาร์จแบต #ชาร์จแบตพูดได้ #คำสั่งลัด #แบตเตอรี่ #เปลี่ยนเสียงชาร์จ #เปลี่ยนเสียงชาร์จiphone #ChargingSound[ติดตามคลิปและบทความใหม่ๆของเราได้ทุกช่องทาง]YouTube :https://youtube.com/c/STEELPlaychannelReadme : https://th.readme.me/id/STEEL.Play.channel TrueID : https://creators.trueid.net/@steelplaychannelFacebook : https://www.facebook.com/Steelplaychannel
STEEL Play channel • 15 ต.ค. 63
อ่าน
ปีนี้อาจจะไม่มี iPhone 13 !! แต่เป็น iPhone 12S พร้อมฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
รายงานจาก Bloomberg กล่าวว่าในปี 2021 นี้ Apple อาจจะไม่มีการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ที่มีการยกเครื่องสเปกทั้งหมดหรือที่เรียกกันว่า Major Change หากแต่เป็นการอัปเกรดจาก iPhone 12 เดิมต่างหากที่มาของภาพhttps://www.theapplepost.com/2019/07/11/apple-rumored-to-be-working-on-removing-the-notch-from-future-iphone-models/ข้อมูลจากวงในเผยว่า วิศวกรจาก Apple เรียก iPhone รุ่นใหม่ของปีนี้ด้วยรหัส S ซึ่งอาจหมายถึง iPhone 12S ที่มีการปรับปรุงสเปกบางส่วนให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่สิ่งที่ได้มาใหม่และหลายคนน่าจะชื่นชอบคือ ฟีเจอร์การสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอนั่นเองIn-screen fingerprint reader หรือการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ จริง ๆ ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ Android มาหลายรุ่นแล้ว ส่วนกรณีของ iPhone นั้น เดิมมีระบบ Touch ID ซึ่งเป็นการสแกนลายนิ้วมือผ่านปุ่ม Home แต่ถูกถอดออกไปใน iPhone X เพราะมีการปรับดีไซน์ใหม่แบบไร้ปุ่ม Home พร้อมเปลี่ยนไปใช้ Face ID หรือการสแกนใบหน้าแทนที่มาของภาพhttps://9to5mac.com/2021/01/15/iphone-13-touch-id-ports-more/แม้ Face ID จะมีประโยชน์ในแง่ความรวดเร็วในการใช้งาน เพราะเพียงแค่ยกเครื่องขึ้นมามองก็ปลดล็อกได้แล้ว แต่ในยุค COVID-19 ที่ต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ทำให้การสแกนใบหน้าทำได้ยาก หาก Apple นำระบบสแกนลายนิ้วมือกลับมา ก็น่าจะรองรับฟีเจอร์ Touch ID ด้วยขอขอบคุณข้อมูลจาก 9to5Macwebsite:www.TNNTHAILAND.comfacebook :TNNONLINEfacebook live :TNN Livetwitter :TNNONLINELine :@TNNONLINEYoutube Official :TNNONLINEInstagram :TNN_ONLINETIKTOK :@TNNONLINE
TNN ช่อง16 • 17 ม.ค. 64
อ่าน
"iPhone SE" vs "iPhone XR" สรุป 7 อย่างสำคัญ ตัดสินใจได้เลย
หลังจากที่เกิดกระเเสฮือฮาที่ Apple ได้เปิดตัว IPhone SE 2020 เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา กับสเปคที่เเรงสวนทางกับราคาเพราะราคาถูกมาก ถือว่าเป็นไอโฟนที่เปิดตัวมาในราคาที่ถูกที่สุดเลยก็ว่าได้ จุดเด่นของ IPhone SE 2020 ที่นอกจากสเปคจะเเรงเทียบเท่ากับ ตระกูล IPhone 11 เเล้ว คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้อีกนั่นก็คือ Touch ID ทำให้ใครหลายที่คนรักใน Touch ID ก็เริ่มที่จะจับจองเป็นเจ้าของกันเรียบร้อยเเล้ว เเต่ก็ยังคงมีคนอีกไม่น้อยที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเลือกใช้อะไรดีระหว่าง Touch ID กับ Face ID ที่ได้รุ่น IPhone XR เป็นรุ่นที่ใช้ Face ID ราคาถูกที่สุด ในวันนี้นักเขียนได้รวบรวม 7 หัวข้อสำคัญมาเปรียบเทียบกันให้เห็นชัด ๆ กันไปเลยระหว่าง IPhone SE 2020 VS IPhone XR จะเลือกอะไรดี ไปดูกันเลยค่ะ ข้อมูลทั่วไปIPhone SE 2020 ขนาดหน้าจอ : 4.7 นิ้วหน่วยความจำ : RAM 3 ROM 64/128/256 GBชิพ : A13 Bionicสี : 3 สี ดำ เเดง ขาว ราคา : เริ่มต้นที่ 14,900-20,900 (กรณีไม่รวม AppleCare+)IPhone XRหน้าจอ : 6.1 นิ้วRAM : 3 ROM 64/128ชิพ : A12 Bionicสี : 6 สี ดำ เเดง ขาว ฟ้า ส้มคอรัล เหลืองราคา : เริ่มต้น 21,900-23,900 (กรณีไม่รวม AppleCare+) เมื่อทราบสเปคกันคร่าว ๆ เเล้วต่อไปมาลงรายละเอียดเเต่ละอย่างกันนะคะ อย่างเเรก หน้าจอ IPhone SE 2020 ขนาด 4.7 นิ้ว ใช้หน้าจอเเบบ Retina HD IPhone XR6.1 นิ้ว ใช้หน้าจอเเบบ Liquid Ratina HD ขนาดหน้าจอคงเป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ ของใครหลาย ๆ คน ที่จะตัดสินใจซื้อรุ่นไหนดี ซึ่งในส่วนนี้ก็คงต้องยกให้กับ IPhone XR ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ ดังนั้นเวลาเล่นเกมหรือดูหนังชมซีรีส์ก็สามารถดูได้อย่างจุใจกันเลยทีเดียว เเต่เมื่อขนาดหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ก็ต้องยอมรับกับน้ำหนักเเละขนาดที่ใหญ่ตามมา บางคนก็อาจะชอบหน้าจอเล็ก ๆ เพราะใช้งานถนัดมากกว่า ในส่วนนี้ก็อยู่ที่ความชอบของเเต่ละคนนะคะชนิดของทั้ง 2 จอเเตกต่างกันอย่างไร? หากเปรียบเทียบกันจริง ๆ หน้าจอเเบบ Liquid Ratina HD จะมีความคมชัดเเละเเสดงสีสันได้สมจริงมากกว่า อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Tap to wake ที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กับฟีเจอร์ Raise to wake ที่จะเป็นการยกไอโฟนขึ้นมาเเล้วไอโฟนจะสว่างขึ้นอัตโนมัติ เเต่เเตกต่างกันที่ Tap to wake จะเป็นการเเตะเพื่อให้หน้าจอสว่างขึ้นนั่นเอง ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้เเค่กับรุ่นที่รองกับ Face ID เท่านั้น ดังนั้นหน้าจอเเบบ Retina HD อย่าง IPhone SE จึงไม่สามารถใช้ได้ เเต่ถ้าถามว่ามันจำเป็นต้องมีไหม ก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น บางคนอาจจะถนัดกับฟีเจอร์ยกหน้าจอขึ้นมามากกว่า อีกทั้งคุณสมบัติทั้งสองยังเหมือนกันเเตกต่างกันที่วิธีใช้มากกว่าค่ะ อย่างที่ 2 ชิพประมวลผลIPhone SE 2020 ชิพ : A13 BionicIPhone XRชิพ A12 Bionicอย่างที่เราทราบกันดีว่า ชิพ A13 Bionic นั้นเป็นชิพใหม่ล่าสุดที่ถูกใช้กับรุ่นตระกูล IPhone 11 ซึ่งมีความรวดเร็วเเละลื่นไหลไม่มีสะดุด ในขณะที่ IPhone XR ใช้ ชิพ A12 Bionic ก็ต้องยอมรับว่าความเร็วในส่วนนี้มีความเเตกต่างกัน เเถม RAM ที่มากับทั่งคู่ยังเป็น RAM 3 เท่ากัน ดังนั้นในส่วนนี้ก็ต้องยกความเร็วให้กับ IPhone SE 2020 ที่มีความเร็วมากกว่า IPhone XR นั่นเองค่ะ อย่างที่ 3 กล้อง ทั้งสองรุ่นมาในกล้องเดี่ยว ความละเอียดกล้องหลัง 12MP รูรับเเสง f/1.8 (ความสามารถในการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ) กล้องหน้า 7MP ในส่วนนี้ถือว่าทั้งคู่มีความสามารถเท่ากัน เเต่จะมีความเเตกต่างกันเล็กน้อย คือ-การวางตำเเหน่ง flash -สตูดิโอจัดเเสงของ IPhone SE 2020 มีให้เลือกถึง 6 เเบบ เเต่ในขณะที่ IPhone XR มีเพียง 3 เเบบ-IPhone SE 2020 มีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Quick take คือฟีเจอร์ที่สามารถกดค้างที่ปุ่มถ่ายภาพเเล้วโหมดถ่ายภาพจะกลายเป็นโหมดวิดีโอ ทำให้สามารถถ่ายวิดีได้รวดเร็วมากขึ้น -IPhone SE 2020 สามารถบันทึกวิดีระดับ HD ได้ถึง 60 fps เเต่ IPhone XR สามารถถ่ายได้เเค่ 30 fps หากใครที่เป็นสายถ่ายวิดีโอ สายเซลฟี่ IPhone SE 2020 จะสามารถทำได้ลื่นไหลเเละสมูทมากกว่าค่ะอย่างที่ 4 Touch ID vs Face ID อย่างที่ทราบกันดีว่า IPhone SE 2020 มาในรุ่นที่รองรับ Touch ID ที่มีราคาถูกที่สุดที่เคยเปิดตัวมา ซึ่งในตอนนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุที่ใครหลายคนเริ่มมีความสนใจกับเจ้าตัว Touch ID เพราะสถานการณ์โควิดเป็นเหตุ เนื่องจากเราต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยเกือบจะตลอดทั้งวันทำให้หากใช้ Face ID เวลาสเเกนหน้าจอมักจะเจอปัญหาที่สเเกนไม่ค่อยติด ทำให้ตอนนี้ Touch ID นั้นค่อนข้างได้เปรียบ เพราะสะดวกต่อการใช้งานในสถานการณ์เเบบนี้มากกว่าค่ะ เเต่ไม่ใช่ว่า Face ID จะไม่มีข้อดีนะคะ จริง ๆ เเล้วตอนนี้ทาง apple ก็เริ่มอัพเดทซอฟต์เเวร์ให้สามารถสเเกนใบหน้าเเม้สวมใส่หน้ากากได้ค่ะ อีกทั้งกันป้องกันความปลอดภัยเเบบ Face ID ค่อนข้างที่จะสะดวกเเละปลอดภัยมากกว่า นักเขียนเป็นคนที่ประสบปัญหาในการใช้ Touch ID เนื่องจากเหงื่อที่มือเยอะ ทำให้สเเกนนิ้วไม่ค่อยติด หรือบางทีมือปกติก็สเเกนไม่ได้ต้องสเเกนประมาณ 2-3 รอบ ดังนั้น Face ID ก็ถือว่ามีข้อได้เปรียบได้ส่วนนี้ค่ะอย่างที่ 5 ความอึดเเบตเตอรี่IPhone SE 2020 1,821 mAhIPhone XR 2,942 mAhจากข้อมูลที่เราได้มานั้นจะเห็นว่าเจ้าตัว IPhone XR ทำออกมาได้ดีมาก ๆ มีความจุของเเบตเตอรี่ห่างกันเกือบเท่าตัว ทำให้เห็นความต่างของเเบตเตอรี่ทั้งสองรุ่นได้อย่างชัดเจน สายเกมเมอร์ สายซีรีส์นั้นคงตัดสินใจไม่ยากเลยว่าเลือกรุ่นไหนดีใช่ไหมคะ อย่างที่ 6 สี หากใครชื่นชอบในสีสันที่สดใสก็สามารถเลือก IPhone XR ได้อย่างเต็มที่เลยค่ะ เพราะรุ่นนี้มีให้เลือกถึง 6 สี ด้วยกัน เเต่ละสีก็คือสดใส บ่งบอกตัวตรของผู้ฝช้งานได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว อย่างสุดท้าย ราคาจากที่เราได้เปรียบเทียบกันไปก่อนหน้าถึงราคาของทั้งสองรุ่น คงเห็นความเเตกต่างได้อย่างชัดเจนเพราะช่องว่างของราคาที่ถือว่ากว้างมาก ทำให้ราคาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการเลือกซื้อรุ่นใดรุ่นหนึ่ง ถึงเเม้จะซื้อ IPhone SE 2020 ที่มีความจุสูงสุด คือ 256 GB ก็ยังมีเงินเหลือไปทำอะไรได้อีกมากมาย ในขณะที่ IPhone XR ตัวที่ราคาต่ำสุดก็ราคาอยู่ที่ 21,900 เลยล่ะค่ะ เเต่ในส่วนของราคาที่เเตกต่างกันก็เเลกมากับระบบความปลอดภัยเเละหน้าจอที่เเตกต่างกันนั่นเองค่ะ สรุปหากจะให้พูดถึงในมุมมองของความคุ้มค่าเเละราคา เจ้าตัว IPhone SE 2020 ตอบโจทย์ในส่วนตรงนี้มากกว่า เพราะสเปคที่เทียบเท่ากับ Iphone 11 เพราะใช้ CPU ตัวเดียวกันทำให้ตัวนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก สามารถใช้ได้อย่างยาว ๆ ในราคาที่จับต้องได้จริง อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่รองรับ Touch ID ทำให้ได้เปรียบในช่วงสถานการณ์เเบบนี้ด้วยค่ะเเต่ถ้าหากมองในมุมของเทคโนโลยีใหม่ ๆ สำหรับคนที่ต้องการจะเปลี่ยนมาใช้ Face ID เเละชื่นชอบขนาดหน้าจอใหญ่สะใจคงจะต้องยกให้ IPhone XR เพราะถือว่าเป็นรุ่นที่รองรับระบบ Face ID ที่ราคาต่ำที่สุด หากใครที่พอจะมีงบเเละอยากจะเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็สามารถเลือกรุ่นนี้ได้เลยค่ะ สุดท้ายเเล้วก็คงบอกไม่ได้ว่าใครดีกว่าใคร เพราะทั้งสองรุ่นที่ต่างมีสิ่งที่อีกรุ่นไม่มี อยู่ที่มุมมองของผู้อ่านเชียร์ใจไปทางไหนมากกว่าค่ะ หวังว่าบทความนี้จะมีส่วนช่วยให้ใครที่กำลังลังเลกับทั้งสองรุ่นสามารถช่วยตัดสินใจได้นะคะ :) ขอขอบคุณรูปหน้า ปก Pixabay เเละ Apple รูปภาพประกอบทั้งหมดจาก Apple
Chollada • 7 พ.ค. 63
อ่าน
การทดสอบพบระบบชาร์จของ iPhone 15 (รุ่นธรรมดา) แย่กว่า iPhone 14
แม้ว่าภาพรวมของ iPhone 15 จะมีการอัปเกรดจาก iPhone 14 มาค่อนข้างมาก เช่น หน้าจอ กล้องหลัก หรือชิปเซตที่เอาของ iPhone 14 Pro มา แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่ด้อยกว่า iPhone 14 นั่นก็คือเรื่องการชาร์จที่แย่กว่าเดิม สเปกแบตเตอรี่ของ iPhone 15 คือมีความจุ 3,349 mAh เพิ่มขึ้นจาก iPhone 14 ที่มีแบตเตอรี่ความจุ 3,279 mAh แต่ Apple ไมไ่ด้ระบุกำลังไฟที่แน่ชัด บอกแค่ใช้อะแดปเตอร์ 20W ชาร์จได้นะ ซึ่งทาง ChargerLAB ได้ทดสอบการชาร์จ iPhone 15 กับอะแดปเตอร์ของ Apple หลายกำลังไฟ ได้ผลดังนี้ จากผลการทดสอบจะเห็นว่า iPhone 15 รองรับการชาร์จไวสูงสุดแค่ 20W แต่หากใช้อะแดปเตอร์กำลังไฟ 20W กำลังไฟชาร์จเข้าจะเหลือ 18W โดย iPhone 14 รองรับชาร์จไวสูงสุด 25W แม้ว่าจะดูเหมือนต่างกันไม่มาก แต่การลดประสิทธิภาพลงก็ยังไง ๆ อยู่ เมื่อทดสอบชาร์จกับอะแดปเตอร์ชาร์จรุ่นอื่น ๆ ที่มีกำลังไฟสูงสุด 120W พบว่าชาร์จได้เต็มที่ระดับ 20W เช่นเดียวกัน ด้านการทดสอบชาร์จแบบไร้สาย แม้ว่า iPhone 15 จะรองรับชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi2 แต่ยังไม่มีชาร์จไร้สายในปัจจุบันที่รองรับ Qi2 จริง ๆ ทาง ChargerLAB ได้ทดสอบ MagSafe แน่นอนว่ารองรับชาร์จไวสูงสุด 15W ตามมาตรฐานของ Apple แต่หากใช้ชาร์จไร้สายที่รองรับมาตรฐาน Qi แต่ไม่ได้รองรับมาตรฐาน Made for MagSafe จะรองรับชาร์จเพียง 7.5W เท่านั้น ก็น่าเสียดายที่ Apple ลดประสิทธิภาพการชาร์จของ iPhone 15 ลง แต่สำหรับ iPhone 15 Plus ยังได้ชาร์จระดับเทียบเท่ารุ่น iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max อยู่ ที่มา ChargerLab
แบไต๋ • 14 พ.ย. 66
อ่าน
เปิดตัว iPhone 14, iPhone 14 Plus และ iPhone 14 Pro, iPhone 14 Pro Max มีอะไรใหม่บ้าง ?
แอปเปิล (Apple) เปิดตัวแล้ว สำหรับไอโฟน 14 (iPhone 14) ที่มีขนาด 6.1 นิ้ว และไอโฟน 14 พลัส (iPhone 14 Plus) ที่มีขนาด 6.7 นิ้ว ซึ่งในส่วนของดีไซน์ภายนอกยังคงเดิมคล้ายกับไอโฟน 13 (iPhone 13) ที่เพิ่มเติมมาคือมีสีใหม่มาให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีดำ (Black), สีฟ้า (Blue), สีขาว (White), สีม่วง (Purple) และสีแดง (Red)ในส่วนของหน้าจอเป็นซูเปอร์ เรตินา เอ็กซ์ดีอาร์ (Super Retina XRD) และป้องกันหน้าจอด้วยแผ่นเซรามิกนอกจากนี้ยังมีกล้องหลังหลักใหม่ 12 เมกะพิกเซล (MP) ให้ความละเอียดมากกว่าเดิม และฟีเจอร์โฟกัสอัตโนมัติ (Auto Focus) ของกล้องหน้ามีอีก 2 ฟีเจอร์ที่โดดเด่น คือ ฟีเจอร์ตรวจจับการกระแทก (Crash Detection) ตรวจจับแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และฟีเจอร์การขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency SOS) ที่ใช้ดาวเทียมในการส่งสัญญาณ และในส่วนของสิ่งที่จะหายไปนั่นก็คือถาดใส่ซิมโดยไอโฟน 14เปิดตัวมาที่ราคา 799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 29,000 บาท และไอโฟน 14 พลัสเปิดตัวมาในราคา 899 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 32,000 บาทต่อกันที่ไอโฟน 14 โปร (iPhone 14 Pro) ขนาด 6.1 นิ้ว และไอโฟน 14 โปร แม็กซ์ (iPhone 14 Pro Max) ขนาด 6.7 นิ้ว ซึ่งมาด้วยกันถึง 4 สี ได้แก่ สเปซแบล็ค (Space Black), สีเงิน (Silver), สีทอง (Gold) และสีดีพ เพอพัล (Deep Purple)ให้กล้องหลักด้านหลังมาถึง 48 เมกะพิกเซล ใช้ชิปเอ 16 (A16) มีฟีเจอร์ตรวจจับการกระแทก และฟีเจอร์การขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน พร้อมด้วยฟีเจอร์โฟกัสอัตโนมัติของกล้องหน้า เหมือนกับของไอโฟน 14 และไอโฟน 14 พลัสโดยไอโฟน 14 โปรเปิดตัวมาที่ราคา 999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 36,000 บาท และไอโฟน 14 โปร แม็กซ์เปิดตัวมาในราคา 1099 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 40,000 บาทสำหรับประเทศไทยสามารถสั่งซื้อล่วงหน้าได้ในวันที่ 9 กันยายน 2022 เริ่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. และเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 16 กันยายน 2022 ที่จะถึงนี้ภาพจากwww.apple.com
TNN ช่อง16 • 8 ก.ย. 65
อ่าน
iPhone 15 Series มีตัวเครื่องพร้อมขายลดลง 8% เมื่อเทียบจาก iPhone 14 Series
เป็นที่ทราบกันดีว่าอีกไม่กี่เดือนนั้น Apple จะเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่อย่าง iPhone 15 Series ซึ่งตามรายงานก่อนหน้านั้นมีการระบุว่า Apple กำลังเผชิญกับปัญหาในการผลิต iPhone 15 Pro/Pro Max ส่งผลให้มีสินค้าสต็อกในช่วงเริ่มต้นต่ำกว่า iPhone 14 Series รุ่นปัจจุบัน ตามรายงานระบุไว้ว่า สต็อกโดยประมาณสำหรับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2022 อยู่ที่ประมาณ 90 ล้านเครื่อง แต่คาดว่า iPhone 15 Series จะมีสินค้าพร้อมจำหน่ายเบื้องต้นที่ 83 ถึง 85 ล้านเครื่อง เนื่องจากปัญหาทางเทคโนโลยีในกระบวนการผลิตเกี่ยวกับหน้าจอ โดยปัญหาดังกล่าวนั้นจะส่งผลกับรุ่น iPhone 15 Pro Max มากที่สุด และรุ่น iPhone 15 Pro รองลงมา หลายคนทราบกันดีว่าการวางขายในช่วงแรกนั้น iPhone รุ่นใหม่ ๆ นั้น จะหาสินค้ายากมาก ในรุ่น iPhone 15 Series รอบนี้ถ้าดูจากข่าวแล้ว ก็น่าจะยากมากกว่าเดิมครับ ที่มา : Gizmochina.com
แบไต๋ • 24 ก.ค. 66
อ่าน
ภาพเรนเดอร์ iPhone 16 Ultra คู่กับ iPhone 15 Pro Max: เผยหน้าจอใหญ่ขึ้นชัดเจน
เว็บไซต์ 9to5Mac ได้เปิดเผยภาพเรนเดอร์ CAD ของ iPhone 15 Pro Max และ iPhone 16 Pro Max คู่กัน โดย iPhone 15 Pro Max นั้น จะเปิดตัวในปี 2023 นี้ ส่วน iPhone 16 Pro Max นั้น จะเปิดตัวถัดไปในปี 2024 ซึ่งแม้ว่า Apple จะเคยกล่าวว่าจะใช้ชื่อซีรีส์ Pro Max ต่อไป แต่มีข่าวลือว่าอาจใช้ชื่อรุ่น iPhone 16 Ultra แทน iPhone 16 Pro Max ในปีถัดไป ก็เป็นได้ ภาพดังกล่าวได้เผยให้เห็นดีไซน์หน้าจองของ iPhone 16 Pro Max หรือ iPhone 16 Ultra ที่ใหญ่ขึ้นกว่า iPhone 15 Pro Max อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามข่าวลือก่อนหน้านี้ โดยอาจมีขนาด 6.9 นิ้ว และความกว้าง 77.2 มม. ในขณะที่ iPhone 15 Pro Max อาจมีหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว และความหว้าง 76.7 มม. ในส่วนของโมดูลกล้องหลังนั้น คาดว่าจะได้รับการติดตั้งเซนเซอร์กล้องซูมแบบ Periscope ใน iPhone 15 Pro Max และ iPhone 16 Pro Max หรือ iPhone 16 Ultra จึงทำให้โมดูลกล้องหลังทั้ง 2 รุ่นนั้น อาจมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า iPhone 14 Pro Max อย่างก็ดี ยังเวลาอีกกว่า 1 ที่ Apple จะเปิดตัว iPhone 16 Pro Max หรือ iPhone 16 Ultra จึงมีความเป็นไปได้ที่ดีไซน์อาจต่างไปจากนี้เล็กน้อย ที่มา : GSMArena
แบไต๋ • 23 พ.ค. 66
อ่าน
iPhone Mirroring เทคโนโลยีที่ช่วยให้คุณใช้ iPhone ของคุณบนหน้าจอ Mac ได้
ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีที่ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก หนึ่งในเทคโนโลยีที่สร้างความสะดวกสบายในการใช้งานคือ iPhone Mirroring หรือการสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ โดยเฉพาะการสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยัง Mac ที่สามารถช่วยให้การทำงานและความบันเทิงมีประสิทธิภาพมากขึ้น การสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยัง Mac นั้นช่วยให้ผู้ใช้สามารถแสดงผลเนื้อหาบน iPhone เช่น วิดีโอ รูปภาพ หรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนจอของ Mac ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องการทำงาน แต่ยังเพิ่มประสบการณ์ในการดูหนัง ฟังเพลง หรือแม้แต่การเล่นเกมได้เป็นอย่างดี ในบทความนี้เราจะเจาะลึกถึงวิธีการใช้งาน iPhone Mirroring ไปยัง Mac ว่ามีวิธีการอย่างไร ข้อดีของการใช้งาน และเครื่องมือหรือแอปพลิเคชันที่จำเป็นสำหรับการสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยัง Mac อย่างมีประสิทธิภาพ iPhone Mirroring คืออะไร? iPhone Mirroring หรือการสะท้อนหน้าจอ iPhone คือการส่งภาพและเสียงจาก iPhone ไปยังหน้าจอของอุปกรณ์อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี คอมพิวเตอร์ หรือ Mac โดยไม่ต้องใช้สายเชื่อมต่อ วิธีการทำงานของเทคโนโลยีนี้คือการส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายไร้สาย เช่น Wi-Fi ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและดูเนื้อหาบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องมีการตั้งค่าอย่างซับซ้อน การใช้งาน iPhone Mirroring บน Mac สามารถทำได้ผ่านแอปพลิเคชันหรือฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่รองรับการทำงานนี้ และในบางกรณีผู้ใช้อาจใช้สายเชื่อมต่อหากต้องการความเสถียรในการแสดงผลมากขึ้น วิธีการใช้งาน iPhone Mirroring ไปยัง Mac การสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยัง Mac สามารถทำได้หลายวิธี โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือการใช้แอพพลิเคชั่น iPhone Mirroring ซึ่งเป็นฟีเจอร์ในตัวของ iOS และ macOS 15 ที่ทำให้การเชื่อมต่อไร้สายระหว่าง iPhone และ Mac เป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ยังมีแอปพลิเคชันเสริมอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานอีกด้วย การใช้ iPhone Mirroring เพื่อสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยัง Mac iPhone Mirroring เป็นฟีเจอร์ที่มีอยู่ใน MacOS 15 โดยเฉพาะ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถส่งการควบคุมสัญญาณภาพและเสียงจาก iPhone ไปยังอุปกรณ์ Macbook ได้อย่างง่ายดาย สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้: เปิด Wi-Fi บนอุปกรณ์ทั้งสอง: เชื่อมต่อ iPhone และ Mac เข้ากับ Apple id เดียวกัน เข้าสู่แอพพลิเคชั่น iPhone Mirroring ใน task bar ของ MacOS 15: รอให้ทำการเชื่อมต่อ ใส่รหัสผ่านของ iPhone บนหน้าจอ Mac ปิดหน้าจอ iPhone: ระบบนี้หากหน้าจอ iPhone ยังเปิดใช้งานอยู่การเชื่อมต่อจะไม่สำเร็จ รอให้การเชื่อมต่อเสร็จสิ้น: เมื่อเชื่อมต่อเสร็จสิ้น หน้าจอของ iPhone จะปรากฏบน Mac ทันที ข้อดีของการสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยัง Mac ทำงานได้สะดวกขึ้น: ไม่ต้องสลับอุปกรณ์บ่อยๆ เพียงแค่เปิดหน้าจอบน MacBook เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: ใช้แอปหรือเครื่องมือที่มีอยู่ในไอโฟนผ่าน MacBook ได้ทันที เช่น แอปเฉพาะที่อาจไม่มีบน macOS แชร์หน้าจอเพื่อการสอนหรือการประชุม: เป็นวิธีที่ง่ายสำหรับการแสดงสิ่งที่อยู่ในไอโฟนให้ผู้อื่นเห็น เช่น การสาธิตแอป การแชร์ภาพ หรือการสื่อสารผ่านวิดีโอคอล ข้อจำกัดของการใช้งาน iPhone Mirroring บน Mac แม้ว่าการสะท้อนหน้าจอ iPhone ไปยัง Mac จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดที่ต้องพิจารณาเช่นกัน: การพึ่งพาเครือข่าย Wi-Fi: การเชื่อมต่อผ่าน AirPlay จำเป็นต้องมีเครือข่าย Wi-Fi ที่เสถียร หากเครือข่ายไม่ดีอาจทำให้เกิดการหน่วงหรือภาพและเสียงไม่ซิงค์กันได้ ต้องใช้ MacOS 15: Macbook บางรุ่นอาจไม่ได้รองรับการอัพเดทซอฟแวร์ใหม่ๆ และฟังชันก์นี้จำกัดการใช้งานบน MacOS 15 เท่านั้น iPhone และ Mac ต้องเชื่อม Apple id เดียวกัน: จำเป็นต้องเป็นมือถือของตัวเองเท่านั้น -ภาพทั้งหมดในบทความและภาพปกเป็นภาพที่ผู้เขียนบทความใช้งานจริงและถ่ายเองทั้งหมด เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
ttrophyy • 3 พ.ย. 67
อ่าน
เปรียบเทียบ iPhone 16 Pro Max ชนสเปก iPhone 15 Pro Max อันไหนควรซื้อกว่ากัน ?
แม้ว่า Apple จะประกาศยุติการขาย iPhone 15 Pro Max หลังจากเปิดตัว iPhone 16 Pro Max เป็นที่เรียบร้อย ในราคาเริ่มต้น 48,900 บาท แต่ iPhone 15 Pro Max ก็ยังคงมีขายอยู่ในปัจจุบัน จนเป็นคำถามว่า ระหว่าง iPhone 15 Pro Max กับ iPhone 16 Pro Max ควรซื้อรุ่นไหนข้อเปรียบเทียบ iPhone 16 Pro Max VS iPhone 15 Pro MaxTNN Tech จึงได้เปรียบเทียบคุณสมบัติของ iPhone 16 Pro Max และ iPhone 15 Pro Max ในด้านต่าง ๆ ดังนี้หน้าจอ และภายนอก iPhone 16 Pro Max VS iPhone 15 Pro MaxiPhone 16 Pro Max มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.9 นิ้ว ใหญ่กว่า iPhone 15 Pro Max ที่มีหน้าจอ 6.7 นิ้ว แต่ทั้งคู่ยังคงใช้จอภาพ Super Retina XDR พร้อมเทคโนโลยี ProMotion อัตราแสดงผลภาพ (Refresh Rate) ที่ 120 Hz แบบไดนามิก นอกจากนี้ ด้านหน้าของ iPhone 16 Pro Max ยังคงใช้แบบ Ceramic Shield เจเนอเรชันล่าสุด ที่ต่อยอดจาก iPhone 15 Pro Max ด้วยทั้งนี้ iPhone 16 Pro Max และ iPhone 15 Pro Max ยังคงใช้ขอบ (Frame) ที่ทำจากวัสดุไทเทเนียม เกรดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศที่ทั้งแข็งแกร่งและเบา การออกแบบมีให้เลือก 4 สี ทั้งคู่ แต่มีความแตกต่างกัน โดย iPhone 16 Pro Max ได้สีใหม่คือไทเทเนียมทะเลทราย (Desert Titanium) แต่แลกกับการไม่มีสีไทเทเนียมน้ำเงิน (Blue Titanium) แบบใน iPhone 15 Pro Max ส่วนในทั้ง 2 รุ่น ยังคงมีสีไทเทเนียมดำ สีไทเทเนียมขาว และสีไทเทเนียมธรรมชาติชิป และแบตเตอรี่ iPhone 16 Pro Max VS iPhone 15 Pro MaxiPhone 16 Pro Max มาพร้อมชิปใหม่แบบ A18 Pro สถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร ที่มาพร้อมคอร์ (Core) สำหรับประมวลผลนูรัล เอ็นจิน (Neural Engine) จำนวน 16 คอร์ และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) อีก 6 คอร์ ในขณะที่ iPhone 15 Pro Max ใช้ชิป A17 Pro ซึ่งเป็นชิป 3 นาโนเมตร ที่มีทั้ง Neural Engine Core และ GPU Core เท่ากัน แต่เคลมว่ามีระบบช่วยประมวลผลภาพแบบ Ray Tracing เร็วขึ้นกว่า A17 Pro 2 เท่าในขณะที่แบตเตอรี่ iPhone 16 Pro Max ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นรูปตัวอักษรแอล (L) ทำให้ได้ปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 4,676 มิลลิแอมป์ชั่วโมง (mAh) ต่างจาก iPhone 15 Pro Max ที่มีขนาดแบตเตอรี่ 4,441 mAh โดย Apple ระบุว่า iPhone 16 Pro Max สามารถเล่นวิดีโอต่อเนื่องได้สูงสุด 33 ชั่วโมง ในขณะที่ iPhone 15 Pro Max อยู่ที่ 29 ชั่วโมงกล้องและการบันทึกภาพ iPhone 16 Pro Max VS iPhone 15 Pro MaxiPhone 16 Pro Max ได้ปรับปรุงกล้องแบบใหม่ที่เรียกว่า Fusion Camera ที่มีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (MP) ส่วนใน iPhone 15 Pro Max ใช้กล้องหลัก (Main Camera) ความละเอียด 48 MP ทั้งนี้ iPhone 16 Pro Max ได้เพิ่มประสิทธิภาพกล้อง Ultra Wide เป็น 48 MP ต่างจากรุ่นก่อนหน้าที่มีความละเอียด 12 MP แต่ยังได้กล้อง Telephoto ที่ซูม 5 เท่า ความละเอียด 12 MP เหมือนเดิมแต่ความแตกต่างสำคัญคือการบันทึกภาพ จากเดิมที่บันทึกวิดีโอความละเอียด 4K 60 FPS ได้ยกระดับเป็น 4K 120 FPS ใน iPhone 16 Pro Max และเป็นครั้งแรกกับการเปิดตัว Camera Control ปุ่มใหม่ล่าสุด รองรับการปรับความลึก โฟกัส การซูม และออโต้ โฟกัส (Auto-focus) เมื่อกดครึ่งปุ่ม ที่จะรองรับหลังการอัปเดตระบบภายในปีหน้า รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอพร้อมบันทึกเสียงแบบ Spatial Audio และปรับแต่งความเร็ววิดีโอให้เป็น Slow Motion ภายหลังได้ และ Audio Mix ที่สามรถแยกเสียงคนพูดและปรับแต่งให้ชัดขึ้นได้หลังถ่ายวิดีโอไปแล้ว และยังมีไมโครโฟนเสริมอีก 4 ตัว ด้วยสเปกอื่น ๆ และราคา iPhone 16 Pro Max VS iPhone 15 Pro Maxในขณะที่การปรับปรุงอื่น ๆ เพิ่มเติมได้แก่ มาตรฐาน WiFi 7 จากเดิมที่เป็น Wi-Fi 6E ใน iPhone 15 Pro Max และเสริมกำลังการชาร์จแบบไร้สายผ่าน MagSafe ที่รองรับกำลังสูงสูด 25 วัตต์ (W) และมีการเคลือบชั้นป้องกันการสะท้อนแสงที่ผิวเลนส์ใน iPhone 16 Pro Max ด้วยทั้งนี้ ราคาประกาศอย่างเป็นทางการ ณ วันเปิดตัว ของทั้ง iPhone 16 Pro Max และ iPhone 15 Pro Max พื้นที่ 256 กิกะไบต์ (GB) อยู่ที่ 48,900 บาท แต่ว่า iPhone 16 Pro Max ความจุ 512 กิกะไบต์ (GB) ราคา 56,900 บาท และ 1 เทระไบต์ (TB) ราคา 64,900 บาท ซึ่งถูกกว่า iPhone 15 Pro Max ที่มีพื้นที่เท่ากันอยู่ 2,000 บาท
TNN ช่อง16 • 10 ก.ย. 67
อ่าน
iPhone 15 Pro เป็นเหตุ Apple กำลังพัฒนาระบบระบายความร้อนแบบใหม่ใน iPhone 16
iPhone 15 ซีรีส์โดยเฉพาะ iPhone 15 Pro ดูจะประสบปัญหาความร้อนในหลาย ๆ คน ซึ่งเรื่องนี้ Apple เองก็ทราบดี ได้ออกซอฟต์แวร์มาแก้ไขแล้ว พบว่าอุณหภูมิเครื่องลดลงจริง (วัดเป็นตัวเลข) แต่ก็ยังร้อนอยู่ในระดับหนึ่ง มีข่าวลือจากต่างประเทศว่า นอกจากการแก้ไขผ่านซอฟต์แวร์อัปเดตแล้ว Apple จะปรับปรุงฮาร์ดแวร์ใหม่ที่ช่วยกระจายความร้อนได้ดีขึ้นด้วย แต่ก็จะได้เห็นใน iPhone 16 นะ อ้างอิงจากข้อมูลที่หลุดออกมา Apple กำลังพิจารณาเปลี่ยนแผงระบายความร้อนจากเดิมที่ใช้ทองแดงบน iPhone 15 เป็นกราฟีนสำหรับ iPhone 16 แทน ซึ่งการใช้กราฟีนจะช่วยให้การระบาย/ถ่ายเทความร้อนดีขึ้นกว่าเดิม ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าถ้า Apple ออกแบบระบบระบายความร้อนใหม่จริง จะได้ไม่ต้องถือเครื่องแบบอุ่นมือไปด้วย ที่มา GSMArena
แบไต๋ • 16 พ.ย. 66
อ่าน
iPhone SE 2020 VS iPhone XR รุ่นเก่าตัวใหญ่ กับรุ่นใหม่ตัวเล็ก ???
iPhone SE 2020 VS iPhone XR รุ่นเก่าตัวใหญ่ กับรุ่นใหม่ตัวเล็ก ??? ไอโฟน SE ?? ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อน คุณผู้อ่านทุกคนคงจำได้ว่า ไอโฟนจากบริษัทแอปเปิ้ลตั้งแต่เริ่มต้นจนถึง ไอโฟน 5S ในการเปิดตัวสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นของแอปเปิ้ลมีเพียงรุ่นเดียวมาโดยตลอด จะต่างกันเพียงความจุที่สามารถอัพเกรดเพิ่มได้ แต่หลังจากนั้น ก็เข้าสู่การมาถึงของไอโฟน 6 ซึ่งมีด้วยกัน 2 ขนาด เพื่อเป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่อาจจะชอบขนาดของตัวเครื่องที่แตกต่างกัน แต่เมื่อช่วงเดือนมีนาคม 2559 ทางบริษัทแอปเปิ้ล ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 รุ่น คือ ไอโฟน SE รุ่นแรก ซึ่งทางแอปเปิ้ลให้เหตผลว่า น่าจะยังมีผู้ที่ต้องการใช้มือถือขนาดเล็กพกพาง่าย แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงอยู่ เนื่องจากไอโฟน SE รุ่นแรกนั้น มีขนาดหน้าจอเพียง 4 นิ้ว (เท่ากับไอโฟน 5/5s) โดยมีขนาดเล็กกว่าไอโฟน 6/6s ที่มีขนาดจอ 4.7 นิ้ว แต่ผลจากการนำดีไซน์ของไอโฟน 5/5s มาใช้ น่าจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่แอปเปิ้ลสามารถทำราคาไอโฟน SE รุ่นแรกได้ถูกมาก ๆ โดยราคาเปิดตัว ความจุ 16 กิ๊กกะไบท์ อยู่ที่ 16,800 บาทเท่านั้น ซึ่งก็เรียกเสียงฮือฮาสำหรับผู้ที่ชอบสมาร์ทโฟนเครื่องเล็ก หรือผู้ที่มีงบประมาณจำกัดแต่อยากลองใช้ไอโฟนได้ นับเป็นเวลายาวนานกว่า 4 ปี ไอโฟน SE รุ่นที่ 2 ก็ได้เปิดตัวขึ้น ในช่วงเดือนเมษายน 2563 โดยใช้ดีไซน์เดียวกับไอโฟน 8 ที่ขนาดจอ 4.7 นิ้ว ที่ยังมีปุ่มโฮมอยู่ แต่ใช้ชิปเดียวกับ ไอโฟน 11 ซีรีส์ โดยราคาเปิดตัว เริ่มต้นที่ขนาด 64 กิ๊กกะไบท์ เพียง 14,900 บาท แต่เมื่อ ไอโฟน 12 ซีรีส์ได้เปิดตัวขึ้น แต่ไอโฟน XR ยังคงได้อยู่บนหน้าเวปไซต์อย่างเป็นทางการของแอปเปิ้ล ถึงแม้จะมีอายุมากกว่า 2 ปีแล้วก็ตาม แต่ได้มีการปรับราคา จากราคาเปิดตัวที่เริ่มตัน 64 กิ๊กกะไบท์ ที่ 29,900 บาท แต่ในปัจจุบันราคาอยู่ที่ 18,400 บาท แต่เมื่อลองสำรวจดูตามร้านค้าออนไลน์ก็จะพบว่า ราคาของไอโฟน XR ขนาด 64 กิ๊กกะไบท์ อยู่ที่ราว ๆ 17,000 บาทเท่านั้นเอง ทำให้มีช่วงราคาที่ใกล้เคียงกับราคาของไอโฟน SE รุ่นที่ 2 ดังนั้นในวันนี้ ผมจะมาเปรียบเทียบให้เห็นว่าไอโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้ รุ่นไหนจะเหมาะสมกับคุณผู้อ่านมากกว่ากัน จากสรุปเปรียบเทียบด้านบน จะเห็นได้ว่าสเปคต่าง ๆ มีความใกล้เคียงกันมาก แต่จุดพิจารณาหลัก ๆ ที่คุณผู้อ่านต้องพิจารณาและตัดสินใจมีเรื่องใดอีกบ้าง ? ผมได้ขยายความมาเป็นหัวข้อให้พิจารณาดังนี้ ดีไซน์และขนาดหน้าจอ นับตั้งแต่การเปิดตัวไอโฟน X มาจนถึง ไอโฟน 12 ซีรีส์ ทางแอปเปิ้ลก็ใช้ดีไซน์หน้าจอที่เต็มขอบ แบบมีติ่งหนา ๆ(Notch)อยู่ด้านบนมาโดยตลอด ซึ่งไอโฟน XR ก็ได้ใช้ดีไซน์แบบนั้นเช่นเดียวกัน ส่งผลให้ไอโฟน XR มีขนาหน้าจอที่ใหญ่กว่า แต่เมื่อไปมองที่ไอโฟน SE รุ่นที่ 2 นั้น กลับใช้ดีไซน์ที่หน้าจอมีปุ่มโฮมอยู่ด้านล่าง ตามแบบไอโฟนรุ่นแรก ๆ ไม่มีผิดเพี้ยนสแกนหน้า หรือ สแกนนิ้ว แม้ว่าไอโฟนรุ่นล่าสุดอย่างไอโฟน 12 ซีรีส์ จะยังคงใช้ระบบสแกนใบหน้าสำหรับการปลดล็อกเครื่อง รวมไปถึงความปลอดภัยในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านตัวเครื่องอยู่ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ทุกคนต้องใส่หน้ากาอนามัย ดังนั้น ถึงแม้ไอโฟน SE รุ่นที่ 2 จะเป็นดีไซน์แบบเก่า แต่ก็มีข้อดีมากกว่าในเรื่องของการสแกนลายนิ้วมือที่สะดวกสบายมากกว่าอื่น ๆ ด้วยความที่ ไอโฟน XR มีขนาดตัวเครื่องที่ใหญ่กว่า น้ำหนักที่มากกว่า แบตเตอรี่ย่อมมากกว่า ส่งผลให้ระยะเวลาการใช้งานระหว่างวันของไอโฟน XR ยาวนานกว่า ไอโฟน SE รุ่นที่ 2 อยู่แล้ว แต่เนื่องด้วยความสดใหม่ของไอโฟน SE ที่ได้ชิป A13 ที่แรงและลื่นไหลมากกว่า และยังรองรับไวไฟ 6 อีกด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อในการใช้งานในอนาคตที่ดีกว่าย่างแน่นอนสรุปส่งท้าย เมื่อคุณผู้อ่านได้อ่านข้อเปรียบเทียบแล้ว อาจจะพิจารณาได้แล้วว่าในราคาที่ใกล้เคียงกัน ไอโฟนรุ่นใดเหมาะสมกับคุณผู้อ่านมากกว่า แต่การจะซื้อสมาร์ทโฟนสักเครื่อง ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญคือการได้ไปจับตัวเครื่องจริง ๆ เพราะจะทำให้เราได้รู้ว่าตัวเครื่องนั้นเหมาะสมกับเราหรือไม่ ใช้งานได้สะดวกไหม รวมไปถึงสีสันต่าง ๆที่เป็นความชอบเฉพาะบุคคล ซึ่งในหน้าเวปไซต์ที่เราดูบนหน้าจอ อาจจะให้สีของตัวเครื่องที่ผิดเพี้ยนได้ ดังนั้นการที่เราได้ไปดูเครื่องจริง ๆ อาจจะทำให้เราสามารถตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นสุดท้ายนี้ ถ้าเลือกซื้อไอโฟนได้แล้ว ผมก็ขอฝากร้านเคสน่ารักๆ ไว้ด้วยนะครับ https://www.instagram.com/twining.case/ขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.apple.com/th/iphone/compare/?modelList=iphoneSE2ndgen,iphoneXR
CKTW • 16 เม.ย. 64
อ่าน
tvOS 17 เวอร์ชัน beta เปิดเผยเลขรุ่น iPhone 2 รุ่นปริศนาที่ไม่ใช่ iPhone 15 Series
ระบบปฏิบัติการ tvOS 17 เวอร์ชัน beta มีการเปิดเผยเลขรุ่น iPhone รุ่นใหม่ 6 รุ่น แต่ดันมี 2 รุ่น iPhone ปริศนาที่คาดว่าไม่ใช่ iPhone 15 Series ที่จะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ ภายในฐานข้อมูลของ tvOS 17 เวอร์ชัน beta มีการระบุชื่อรุ่น iPhone 15 Series ทั้งหมด 4 รุ่นย่อยได้แก่ iPhone 15,4 , iPhone 15,5 , iPhone 16,1 และ iPhone 16,2 อย่างไรก็ตามก็มีเลขรุ่น iPhone 2 รุ่นปริศนาได้แก่ iPhone 14,1 และ iPhone 14,9 ที่คาดการณ์ว่าจะเป็น iPhone SE รุ่นที่ 4 และ iPhone รุ่นจอพับ โดย ไมเคิล เบอร์ฮาร์ด (Michael Burkhardt) ก็ได้เปิดเผยว่า Apple กำลังซุ่มพัฒนา iPhone 13 mini เปลี่ยนมาใช้ USB-C และ iPhone SE รุ่นใหม่ใช้พาเนลจอแบบ OLED เปิดตัวในปี 2024 ที่มา : AppleInsider, 9to5mac
แบไต๋ • 9 ส.ค. 66
อ่าน
ค่าซ่อมกระจกหลังของ iPhone 15 Pro Max ถูกลงไปหมื่นกว่าบาทเมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro Max
อ้างอิงจากค่าใช้จ่ายสำหรับซ่อม iPhone 15 Pro Max รุ่นล่าสุดพบว่า ค่าใช้จ่ายในซ่อมกระจกด้านหลังนั้นถูกลงกว่า iPhone 14 Pro Max ถึงหมื่นกว่าบาทเลยทีเดียว ค่าซ่อมกระจกหลังของ iPhone 15 Pro Max กรณีที่ไม่ได้ซื้อ Apple Care+ จะอยู่ที่ 7,990 บาท เปรียบเทียบกับ iPhone 14 Pro Max ที่มีค่าซ่อมกระจกหลังอยู่ที่ 21,990 บาท ถูกลงกว่าเดิมถึง 14,000 บาทเลยทีเดียวครับ คำถามคงไม่พ้น อะไรทำให้ Apple สามารถลดราคาค่าซ่อมลงมาได้มากขนาดนี้? ราคาที่ลดลงได้ขนาดอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของฝาหลังใหม่ โดยฝาหลังของ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max สามารถถอดฝาหลังโดยไม่มีความเกี่ยวของกับชิ้นอื่น ๆ ของเครื่องได้แล้ว iPhone รุ่นก่อนหน้านี้จะมีชิ้นส่วนที่เกี่ยวพันกับกระจกหลัง นั่นหมายความว่า หากมีการเปลี่ยนหรือซ่อมก็จะมีผลต่อชิ้นส่วนที่เกี่ยวพันกับกระจกหลังด้วย iFixit ถึงกับเรียกว่าการซ่อมกระจกหลังของ iPhone นั้นเป็นการซ่อมกระจกที่ยากและแพงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ที่มา The Verge
แบไต๋ • 20 ก.ย. 66
อ่าน
รวมคะแนนรีวิว iPhone 12 Pro Max และ iPhone 12 Pro จากสำนัก DxOMark
DxOMark บริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อทดสอบปคุณภาพของกล้องถ่ายภาพ, เซ็นเซอร์รับภาพ และเลนส์ ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2008 มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส การทดสอบของ DxOMark จะยึดตามหลักการทดสอบทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก โดยเครื่องมือที่ใช้ทดสอบก็จัดอยู่ในเกรดอุตสาหกรรม และมีการทดสอบประสิทธิภาพของสินค้าอย่างจริงจังในห้องทดลองของบริษัท เมื่อ DxOMarkทดสอบเสร็จสิ้น ทางบรืษัทจะนำผลทดสอบแต่ละส่วนมาหารเป็นค่าเฉลี่ยรวม หรือ DxOMark Score เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ว่า กล้อง และเลนส์ รุ่นนั้นๆ มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับใด ซึ่งหลังจากทดสอบกล้องถ่ายภาพและเลนส์มา 3 ปี บริษัทก็เริ่มหันมาทดสอบกล้องถ่ายภาพสมาร์ทโฟนอย่างจริงจังในปี 2012เนื่องจากสมาร์ทโฟนเริ่มมีความโดดเด่นด้านกล้องถ่ายภาพมากขึ้น คะแนน "iPhone 12 Pro Max" และ "iPhone 12 Pro" โดยDxOMark DxOMark ให้คะแนนกล้อง iPhone 12 Pro ทั้งหมด 128 คะแนน เป็นอันดับ 5 รองจากHuawei Mate 40 Pro , Xiaomi Mi 10 Ultra, Huawei P40 Pro, และ iPhone 12 Pro Max DxOMark ให้คะแนนกล้อง iPhone 12 Pro Maxทั้งหมด 130 คะแนน เป็นอันดับ 4 รองจากHuawei Mate 40 Pro , Xiaomi Mi 10 Ultra, และ Huawei P40 Pro iPhone 12 Pro มีคะแนนสูงกว่ากล้องiPhone 11 Pro Max ปีที่แล้ว 4 คะแนน คะแนนรวมของการถ่ายภาพอยู่ที่ 135 คะแนน วีดีโออยู่ที่ 112 คะแนน iPhone 12 Pro Max มีคะแนนรวมของการถ่ายภาพอยู่ที่ 138 คะแนน เป็นอันดับ 2 รองจากHuawei Mate 40 Pro วีดีโออยู่ที่ 113 คะแนน DxOMark เผยว่าจุดเด่นของ iPhone 12 Pro คือระบบออโต้โฟกัสที่ทำงานได้ไวในสภาพแสงส่วนใหญ่ และตัวกล้องเก็บรายละเอียดในแสงตามรูปแบบต่าง ๆ ได้ค่อนข้างสมบูรณ์ DxOMark เผยว่าจุดเด่นของiPhone 12 Pro Maxคือการให้สภาพแสงของรูปภาพที่ค่อนข้างแม่นยำ, สีทำมาได้ค่อนข้างดีโดยเฉพาะการถ่ายภาพในที่ร่ม, ออโต้โฟกัสที่ไวและแม่นยำ ซึ่งในส่วนออโต้โฟกัสนี้ DxOMark ให้คะแนน iPhone 12 Pro Max สูงที่สุดของกล้องมือถือ จุดด้อยของ iPhone 12 Pro คือระบบซูมที่ทำให้สูญเสียรายละเอียดในบางส่วนเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่น ๆ ที่มีอันดับสูงกว่า จุดด้อยของ iPhone 12 Pro Max คือเวลาถ่ายภาพที่มีสภาพแสงที่ dynamic range สูง สีจะออกเพี้ยนบ้าง รวมถึง highlight และ shadow มีอาการถูกตัด รวมถึง LiDAR ที่แม้ว่าจะช่วยสร้าง depth mapping ให้รูปภาพได้ แต่กับวัตถุบางอย่างที่ระบุตำแหน่งค่อนข้างยาก อย่างเช่นเส้นผมก็จะเจออาการแปลก ๆ บ้าง รวมสิทธิส่งเสริมคุณภาพชีวิต เกาะติดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทันเรื่องราวกระแสสังคม สัมผัสประสบการณ์ข่าวได้ที่ แอปพลิเคชัน ทรูไอดี (ดาวน์โหลดเลยที่นี่!!) website:www.TNNTHAILAND.comfacebook :TNNONLINEfacebook live :TNN Livetwitter :TNNONLINELine :@TNNONLINEYoutube Official :TNNONLINEInstagram :TNN_ONLINETIKTOK :@TNNONLINE แหล่งที่มา dxomark.com
TNN ช่อง16 • 15 พ.ย. 63
อ่าน
เปรียบเทียบสเปก iPhone12 กับ iPhone13 มีอะไรแตกต่างจากเดิมบ้าง แล้วควรจะซื้อรุ่นไหนดี
ช่วงนี้เห็นข่าวว่าจะเปิดตัว iPhone13 ในไทยช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ เราเลยจะมาเปรียบเทียบสเปกให้ดูว่า iPhone12 กับ iPhone13 มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง เห็นบอกว่าที่เห็นได้ชัดก็จะเป็นตรงกล้องที่สลับปรับเปลี่ยนสไตล์ไปลองดูกันนะคะเผื่อเพื่อนๆคนไหนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะซื้อ iPhone12 หรือ iPhone13 ดีก็ลองดูในนี้นะคะเผื่อจะมีแนวทางทำให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไปดูกันเลยค่ะiPhone13 เป็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดของ Apple ที่กำลังจะวางจำหน่ายในประเทศไทยในต้นเดือนตุลาคมนี้เห็นมีข่าวออกมาว่าเขาได้เปลี่ยนชิปเป็นตัว A15 จะเป็นชิปที่แรงที่สุดที่มีการพัฒนาระบบขึ้นมา และแบตเตอรี่จะอึดทนกว่ารุ่นที่ผ่านมา และที่ขาดไม่ได้คือกล้องที่ปรับเปลี่ยนเป็นแบบโฉมใหม่คือเป็นกล้องที่เป็นแนวทะแยงมุม จากความเห็นส่วนตัวก็ดูเกร๋ไปอีกแบบเพราะที่ผ่านมากล้องจะวางเป็นแนวตรงลงมา ทำให้ดูเรียบๆ แต่การออกแบบกล้องแบบใหม่ก็ดูจะทำให้มือถือดูมีลูกเล่นทะแยงๆ ดูมีสไตล์ที่สวยยิ่งขึ้น และมีการใส่ระบบป้องกันกล้องสั่นเพื่อที่เวลาถ่ายรูปแม้เราจะมือไม่นิ่ง มือสั่น ทำภาพเบลอ แต่กล้องจะจับโฟกัสภาพให้เรา เวลาเราถ่ายภาพจะไม่เบลออีกต่อไป หรือไม่ว่าเราจะมีปัญหาการถ่ายรูปในตอนกลางคืน iPhone13 จะช่วยเราได้ เพราะเขามีโหมดกลางคืนจะปรับแสงได้อัตโนมัติ แม้ในที่ตรงนั้นจะมีแสงน้อยหรือมืดแค่ไหนก็ตามเปรียบเทียบสเปก iPhone12 กับ iPhone13ก่อนอื่นจะขอเปรียบเทียบสเปกไปทีละอย่างนะคะ เพื่อที่จะวัดกันเลยว่าจะเป็นอย่างไร เริ่มแรกขอเริ่มทาง ด้านสี iPhone13 มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีดังต่อไปนี้ สตาร์ไลท์(ขาว) มิดไนท์(ดำ) น้ำเงิน ชมพู และแดง ส่วน iPhone12 จะมีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ดังนี้ ม่วง น้ำเงิน เขียว แดง ขาว ดำ ในส่วนของสีส่วนตัวคิดว่า iPhone13 จะปรับสีให้ดูนวลขึ้น อย่างเช่น สีสตาร์ไลท์ จะขาวก็ไม่ขาวแลดูนวลๆ สวยไปอีกแบบ แต่ถ้าใครชอบแนวสีหวานๆ ก็สามารถเลือกสีชมพูได้ออกแนวลูกคุณก็ดูสวยดี แต่ถ้าใครชอบเล่นสีแบบสนุกๆ ก็ปรับมาทาง iPhone12 ม่วงเอย เขียวเอย ก็ดูมินิมอลได้ไปอีกแบบและมีสีให้เลือกเยอะกว่าด้านความจุ iPhone13 จะเริ่มความจุที่ 128GB ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาทจะมีความจุได้สูงสุด 512GB ส่วน iPhone12 จะเริ่มความจุที่ 64GB ราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท และจะมีความจุได้สูงสุด 256GB ซึ่งถ้าเราดูในเรื่องความจุด้านการใช้งาน ถ้าเราใช้มือถือโดยที่ไม่ได้เก็บไฟล์หรือรูปอะไรมากมายเราก็ไม่จำเป็นจะต้องเอาGB เยอะ เพราะยิ่ง GB เยอะราคาก็ยิ่งสูงขึ้น แต่ถ้าเราจะเทียบราคา ที่ 128 GB เท่ากัน iPhone12 จะมีราคาถูกกว่า iPhone13 อยู่ถึง 2,000 บาท ซึ่งถ้าเราเลือกด้วยราคาก็อยากจะให้ลองเทียบดูดีดี ว่าเราเหมาะสมจะใช้รุ่นไหนมากกว่ากันด้านจอภาพ ทั้ง 2 รุ่นมีหน้าจอขนาด 6.1 นิ้วเท่ากันด้านกล้อง กล้องจะเป็นระบบกล้องคู่ที่มีความละเอียด 12 MP และเป็นกล้องไวด์และอัลตร้าไวด์เหมือนกันทั้งคู่ โดยทั้งคู่จะมีโหมดกลางคืนเช่นเดียวกัน แต่ iPhone13 จะเพิ่มโหมดภาพยนต์ที่ iPhone12 ไม่มี นอกนั้นเหมือนกัน ซูมแบบออปติคัลได้ 2 เท่าเหมือนกัน จะมีเพิ่มเติมก็คือ iPhone13 จะมีระบบป้องกันภาพสั่นด้วยเซ็นเซอร์เพิ่มเติมขึ้นมาด้านชิป iPhone13 จะใช้ ชิป A15 ส่วน iPhone12 จะใช้ชิป A14 ซึ่งจากการที่ไปศึกษามาชิป A15 จะมีความไวกว่าเหมาะกับพวกทำงาน หรือเล่นเกมส์ที่ต้องส่งข้อมูลกันเร็วๆจากที่สังเกตมา iPhone13 กับ iPhone12 ยังแตกต่างกันไม่มากนัก อาจจะมีลูกเล่นเพิ่มเข้ามาแต่ก็ยังไม่แตกต่างไปจากเดิม แต่ส่วนด้านบอดี้จะมีการปรับเปลี่ยนให้ดูแตกต่างไปจากเดิมตรงกล้องหลังเป็นแนวทะแยง แล้วก็มีการปรับราคาที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดดถ้าเราไม่ได้ซีเรียสเรื่องตกรุ่น iPhone12 ในตอนนี้ก็ตอบโจทย์เลยนะ สเปกก็ไม่ขี้เหร่ ราคาก็ยังพอทนไหว แล้วยิ่ง iPhone13 จะเข้ามาแบบนี้ราคาน่าจะลดลงอีกก็เป็นได้แต่เห็นข่าวออกมาว่าถ้า iPhone13 ออกวางขายในชอปจะเก็บ iPhone12 เลย ก็ไม่รู้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าใครสนใจ iPhoneรุ่นไหนก็ลองไปหาดูเพิ่มเติมได้นะคะ รวมๆแล้วสเปกต่างกันไม่มากค่ะ จะต่างจริงๆก็ตรงบอดี้และราคา ถ้าสนใจหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ไปดูได้ที่นี่เลยนะคะ Appleขอบคุณข้อมูลจาก Appleขอขอบคุณภาพจากภาพปก จาก Apple (แก้ไขโดยนักเขียน)ภาพที่1 จาก Apple (แก้ไขโดยนักเขียน)ภาพที่2 จาก Apple (แก้ไขโดยนักเขียน)ภาพที่3 จาก Apple (แก้ไขโดยนักเขียน)ภาพที่4 จาก Apple (แก้ไขโดยนักเขียน)เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
NuttaJ • 26 พ.ย. 64
อ่าน
ตั้งจอสายโทรเข้าด้วย memoji iphone สาวก iphone ไม่ควรพลาด!
IPHONE มีอะไรใหม่ๆ ที่ดึงดูดและน่าสนใจมากมาย เช่นเดียวกับ ฟีเจอร์ใหม่ memoji ที่เปิดตัวใช้งานกับ ios12 โดยเราสามารถสร้าง memoji ให้ตรงกับบุคลิกและอารมณ์ของเรา เพื่อส่งข้อความและFaceTime ได้ แต่วันนี้เราจะมาสอนวิธีสร้าง memoji ในการตั้งหน้าจอสายโทรเข้า เมื่อเวลามีสายโทรเข้ามาจะไม่แสดงแค่รายชื่อติดต่อที่โทรเข้ามา แต่ยังแสดง memoji น่ารัก เก๋ๆ ที่เราสร้างขึ้นมาบนหน้าจออีกด้วย บอกได้เลยว่าขั้นตอนการทำนั้นทำง่ายมากๆ เลยค่ะ 😍 ขั้นตอนของเราจะมีด้วยกัน 8 ขั้นตอนง่ายๆ พร้อมแล้วมาทำตามไปพร้อมกันเลย1.กดเข้าไปที่รายชื่อติดต่อ แล้วเลือกเบอร์ที่ต้องการจะเปลี่ยนขั้นตอนแรกสำหรับการสร้าง memoji ให้กดเข้าไปที่ปุ่มโทรศัพท์ ก่อนจะเลือกเข้าไปที่รายชื่อติดต่อ แล้วเลือกรายชื่อเบอร์ติดต่อที่ต้องการจะเปลี่ยนกันได้เลย และเมื่อเลือกรายชื่อเสร็จแล้วจากนั้นให้กดคำว่า 'แก้ไข' ซึ่งอยู่ตรงมุมขวาบนค่ะ2. กดคำว่าแก้ไข / เพิ่มรูปภาพเมื่อกดคำว่าแก้ไขจากขั้นตอนที่ 1 แล้ว ขั้นตอนถัดมาจะเป็นขั้นตอนการที่เราจะเพิ่มรูปภาพหรือเพิ่ม memoji กันค่ะ โดยกดไปที่คำว่า 'เพิ่มรูปภาพ' หรือ 'แก้ไขรูปภาพ' ที่อยู่ตรงกลางกันได้เลย3. กดไปที่สัญลักษณ์บวกเพื่อเพิ่ม memoji ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เราสามารถเลือกได้ว่าจะเพิ่มรูปภาพให้กับเบอร์รายชื่อติดต่อ หรือจะเพิ่มความน่ารักเก๋ๆ ด้วยการสร้างคาแรคเตอร์อย่าง memoji ก็ได้ค่ะ แต่สำหรับการสร้าง memoji นั้นเราจะเริ่มจากการกดเข้าไปที่ 'สัญลักษณ์บวก' เพื่อทำการสร้าง memoji กันค่ะ4.เริ่มออกแบบหน้าตาของ memoji iphone กันได้เลยมาถึงไฮไลต์ของการสร้าง memoji ก็ว่าได้ เพราะขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนที่เราจะได้ออกแบบหน้าตาของ memoji ตามใจชอบ หรือจะสร้าง memoji ให้ตรงกับบุคลิกหน้าตาของเจ้าของเบอร์ก็ได้ โดยเราสามารถเลือกสีผิว ทรงผม คิ้ว ดวงตา ปาก จมูก ฯลฯ โดยจะมีรูปแบบให้เราเลือกหลากหลาย แถมยังน่ารักจนเลือกไม่ถูกกันเลยล่ะ 5. ออกแบบสไตล์การแต่งตัวและท่าทางกันค่ะเมื่อเราสร้างหน้าตาของ memoji เป็นที่เรียบร้อย ต่อมาจะเป็นขั้นตอนการเลือกชุดการแต่งกาย และสีของเสื้อผ้า รวมไปถึงสามารถออกแบบลักษณะท่าทางของ memoji โดยเราสามารถเลือกลักษณะท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า และอารมณ์ตามรูปแบบที่มีให้เลือก หรือจะสามารถกดถ่ายรูปเพื่อสร้างคาแรคเตอร์ของตัวเองก็ได้ 6. เลือกพื้นหลังของ memoji ขั้นตอนนี้ให้เราเลือกสีพื้นหลังของ memoji กันได้ตามใจชอบเลยค่ะ แต่ละสีจะเป็นโทนสีพาสเทล ให้ความน่ารัก และนุ่มนวล ซึ่งสีพื้นหลังที่เราเลือกนั้นจะเป็นพื้นหลังให้กับ memoji และจะเป็นสีที่แสดงขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อเจ้าของเบอร์นั้นโทรเข้ามาอีกด้วยค่ะ7. ขั้นตอนการบันทึกและเพิ่มรูปภาพเมื่อเราตกแต่งหน้าตา ลักษณะท่าทาง การแสดงออกทางสีหน้า อารมณ์ และสไตล์การแต่งตัว รวมถึงการเลือกสีพื้นหลังกันเรียบร้อยแล้ว ให้กดเพิ่ม memoji ที่สร้างขึ้น จากนั้นให้กดคำว่า 'เสร็จสิ้น' 8. ขั้นตอนสุดท้ายสำหรับการขยายพื้นหลังให้เต็มหน้าจอโทรศัพท์เพื่อทำให้ memoji ที่เราสร้างขึ้นนั้นได้ขยายเต็มหน้าจอ ให้ทุกคนเข้าไปที่ 'ตั้งค่า' จากนั้นให้เลือกเข้าไปที่ 'โทรศัพท์' จากนั้นเข้าไปที่ 'สายโทรเข้า' แล้วเลือกรูปแบบ 'เต็มหน้าจอ' แค่นี้ก็เสร็จสมบูรณ์แล้วค่ะ หากใครอยากเห็น memoji ที่สร้างขึ้นว่าจะออกมาเป็นหน้าตาแบบไหน สามารถให้เบอร์รายชื่อที่เราสร้าง memoji โทรเขามาที่เครื่องของเราได้ค่ะ แค่นี้เราก็จะเห็น memoji น่ารักๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ของเราเลยค่ะ ซึ่งหน้าตาของปลายสายที่โทรเข้ามาจะประมาณนี้เลยค่ะ โดย memoji ที่เราสร้างมานั้นจะเป็นคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับเจ้าของเบอร์ที่โทรเข้ามา น่ารักจนอยากกดรับสายทันทีเลยย 😚เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับการตั้งจอสายโทรเข้าด้วย memoji iphone กับ 8 ขั้นตอนง่ายๆ ที่สามารถทำตามได้ แถมทำแล้วยังได้คาแรคเตอร์น่ารักๆ ให้กับเจ้าของเบอร์ที่โทรเข้ามา ฟีเจอร์น่ารักจาก iphone แบบนี้ ลองทำตามดูเชื่อว่าไม่ตกกระแสแน่นอนค่ะ 😊เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดจากผู้เขียน
eyeyiiop • 28 เม.ย. 65
ดูเพิ่มเติม