รีเซต

ผลการค้นหา “Teach Me Touch Me” - ทรูไอดี

ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
สื่อชี้ 3D Touch ยังดูเป็นฟีเจอร์ที่มีสาระมากกว่า Dynamic Island
อ่าน

สื่อชี้ 3D Touch ยังดูเป็นฟีเจอร์ที่มีสาระมากกว่า Dynamic Island

Dynamic Island เป็นฟีเจอร์เด่นของ iPhone 14 Pro ที่สร้างความแตกต่างในซีรีส์นี้มากที่สุด เป็นการเพิ่มลูกเล่นในรอยบากที่เหมือนจะเนียนขึ้นกว่าเดิม แต่สื่อมองว่าฟีเจอร์ 3D Touch ที่ Apple ยกเลิกไปยังเป็นฟีเจอร์ที่ดูมีสาระมากกว่า ฟีเจอร์ 3D Touch ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ iPhone 6s เป็นการใช้การตรวจจับแรงกดบนหน้าจอซึ่งนับว่าเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจ อย่างเครื่อง MacBook ก็มีใช้งานฟีเจอร์นี้ด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากไม่ได้รับความนิยมมากนัก รวมถึงการใช้งานฮาร์ดแวร์ภายในเครื่องค่อนข้างมาก ทำให้ Apple ยกเลิกไป เพื่อเพิ่มเนื้อที่ให้กับแบตเตอรี่ และเปลี่ยนเป็นการสัมผัสค้างช่วงหนึ่งเพื่อเปิดใช้งานแทน Apple Watch ก็มีฟีเจอร์นี้เช่นเดียวกัน แต่เรียกอีกชื่อว่า Force Touch แต่ปัจจุบันก็ถอดออกไปแล้วเช่นเดียวกัน ใช้ซอฟต์แวร์ในการช่วยแทน จริง ๆ แล้ว 3D Touch หรือฟีเจอร์ตรวจจับแรงกดนั้นถูกนำมาใช้งานในหลายสถานการณ์อย่างมีประโยชน์ เช่นการใช้คีย์บอร์ดเป็นเคอร์เซอร์เพื่อย้ายบรรทัดที่กำลังพิมพ์หรือเขียนได้อย่างง่ายดาย ทางเว็บไซต์ 9to5Mac มองว่า หากเทียบกับฟีเจอร์ Dynamic Island ที่เพิ่มการแสดงผลเจาะรูบนหน้าจอแล้วถือว่ามีประโยชน์กว่าค่อนข้างมาก และใช้งานจริงได้มากกว่าด้วย Dynamic Island ดูเหมือนจะเป็นเพียงกิมมิกเพื่อให้ผู้ใช้งานไม่รู้สึกว่าการเจาะรูบนหน้าจอมันเกะกะ ที่มา 9to5Mac

Keep in touch ยังไม่หายไปไหนนะ..
อ่าน

Keep in touch ยังไม่หายไปไหนนะ..

เราอยู่ในช่วงโควิด-19 กำลังระบาด ทำอะไรก็ลำบาก จะไปไหนมาไหนเหมือนเมื่อก่อนก็ทำไม่ได้ ร้านรวงต่างก็ปิดกันหมด แม้แต่ยืนใกล้ ๆ กัน ยังทำไม่ได้เลย แค่คิดก็เศร้าแล้ว เรื่องที่จะไปเที่ยวเล่นเชคอินร้านกาแฟชิค ๆ นั่งจิบกาแฟสวย ๆ จึงเป็นเรื่องที่ไกลตัวเรามากในช่วงเวลานี้ นี่ยังไม่นับเรื่องอาหารการกินที่หากินยากขึ้น ต้องซื้อกลับบ้านเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เราเองเป็นแค่มนุษย์เงินเดือน ที่มีภาระต้องรับผิดชอบแค่ชีวิตตัวเอง ยังรู้สึกว่า ชีวิตทำไมมันยากจัง แล้วร้านค้าที่เขามีลูกจ้างที่ต้องดูแลจะอยู่กันยังไงนะ ช่วงนี้ ร้านกาแฟต่าง ๆ ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการของแต่ละจังหวัด เชียงใหม่ก็มีนโยบายให้ซื้อกลับบ้านเท่านั้น ส่งผลให้ร้านกาแฟหลาย ๆ ร้าน เดือดร้อน ต้องหยุดกิจการชั่วคราวบ้างล่ะ ลดจำนวนพนักงานบ้างล่ะ เราในฐานะคนดื่มกาแฟและชอบสิงในร้านกาแฟจึงพลอยเศร้าใจไปด้วย แต่ก็มีบางร้านที่ใจสู้มาก อย่างเช่น ร้านที่เราจะแนะนำในวันนี้ ก็คือ ร้าน keep in touch ซึ่งปกติแล้วร้านนี้จะเปิดให้บริการ อยู่ที่ถนนชลประทาน เทศบาลนครเชียงใหม่ อำเภอเมืองเชียงใหม่(เข้าซอยข้างก่อนถึงสนามฟุตบอลกอลิล่า ก่อนทางลอดไปศาลากลางเชียงใหม่) ร้านสวยมากกก การตกแต่งออกแนวสไตล์ยุโรป เหมือนอยู่ในฝันเลย เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน แต่ในช่วงนี้ ร้านไม่สามารถเปิดให้บริการนั่งทานในร้านได้ จึงทำให้ร้านไม่มีรายได้ เจ้าของร้านเลยต้องปรับเปลี่ยนวิธีการขาย เพื่อให้ร้านอยู่รอด ในยุคโควิดแบบนี้ ร้านkeep in touch จึงเปิดบริการในรูปแบบใหม่ โดยตั้งเป็นร้านเล็ก ๆ อยู่ใต้สะพานบ้านท่อ และปรับราคากาแฟให้ถูกลง ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงรสชาติได้ง่ายขึ้น เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน เราจึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลองชิม สิ่งแรกที่เราเห็น ก็คือ ร้านมีจุดเด่นอยู่ตรงใช้รถเล็ก ๆ สีเหลืองสดใสมาทำเป็นร้าน เราว่า มันน่ารักดีนะ แถมเจ้าของร้านบริการดีมาก อัธยาศัยดีสุด เราจึงไม่แปลกใจที่ลูกค้าจะมาต่อคิวกันอย่างมากมาย นอกจากจะมีกาแฟไว้คอยบริการแล้ว ที่ร้านยังมีส้มตำ ไก่ทอด ของกินกรุบ ๆ กริบ ๆ ไว้ให้เราซื้อติดไม้ติดมืออีกด้วย เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน สิ่งที่ประทับใจอีก 1 อย่าง ก็คือ ราคาของกาแฟ ถูกอย่างไม่น่าเชื่อ จากที่เราเคยไปกินที่ร้าน ราคาจะอยู่ที่ประมาณ แก้วละ 100 กว่าบาท เหลือเพียงแก้วละ 35 บาททุกเมนู โดยที่รสชาติและคุณภาพของกาแฟไม่ได้ลดน้อยลงตามราคาเลย มันแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของร้านที่ต้องการให้ลูกค้าได้ทานกาแฟรสชาติอร่อยในราคาที่จับต้องได้ แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้มากกว่ารสชาติและราคา ก็คือ ความใจสู้ของเจ้าของร้านและพนักงานในร้านทุกคนที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ มันทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมในหัวใจ และเห็นแสงสว่างในความมืดมน เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน เราเชื่อว่า อีกไม่นาน โรคร้ายจะหายไป ความสดใส และความมีชีวิตชีวาจะกลับมาอีกครั้ง ถ้าร้านเปิด เราสัญญาว่า เราจะไปเยือนkeep in touch อีกครั้งอย่างแน่นอน เราสัญญา... เครดิตภาพจาก : ผู้เขียน

Into the past : แพทริก เฮนรี กล่าวถ้อยคำ "Give me liberty or give me death" (23มี.ค.)
อ่าน

Into the past : แพทริก เฮนรี กล่าวถ้อยคำ "Give me liberty or give me death" (23มี.ค.)

Into the past : trueID Newsจะพาย้อนไปในอดีตของวันนี้กับเหตุการณ์ที่สำคัญ เรื่องราวสาระน่ารู้ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ จะเป็นอย่างไรไปติดตามกัน พ.ศ. 2317 (ค.ศ. 1775) - การปฏิวัติอเมริกา: แพทริก เฮนรี กล่าวถ้อยคำ "ให้เสรีภาพแก่ข้าพเจ้า หรือมิฉะนั้นก็ให้ความตายแก่ข้าพเจ้า" (Give me liberty or give me death) เพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากจักรวรรดิอังกฤษ สาธารณสมบัติ การปฏิวัติอเมริกา (American Revolution) คือช่วงระยะเวลาครึ่งหลังของศตวรรษที่ 18 ที่มีการลุกฮือเพื่อประกาศเอกราชจากจักรวรรดิอังกฤษของประชาชนชาวอเมริกา และสถาปนาสหรัฐอเมริกาขึ้นในเวลาต่อมาหลังจากได้รับชัยชนะในการปฏิวัติในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นประเทศแรกที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมภายใต้รัฐธรรมนูญ แพทริก เฮนรี (Patrick Henry ) นักปฏิวัติและรัฐบุรุษคนสำคัญชาวอเมริกัน ผู้ได้ชื่อเสียงจากคำประกาศ "ให้เสรีภาพแก่ข้าพเจ้า หรือมิฉะนั้นก็ให้ความตายแก่ข้าพเจ้า" (Give me liberty or give me death) เพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากจักรวรรดิอังกฤษร่วมกับ ซามูเอล อดัมส์และ โทมัส เพน แพทริก เฮนรีถือได้ว่าเป็นนักรณรงค์ที่ทรงอิทธิพลมากผู้หนึ่งในหมู่นักปฏิวัติเพื่อเรียกร้องอิสรภาพจากจักรวรรดิอังกฤษและการก่อตั้งสาธารณรัฐเอกราช ========== รวมสิทธิส่งเสริมคุณภาพชีวิต เกาะติดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทันเรื่องราวกระแสสังคม สัมผัสประสบการณ์ข่าวได้ที่ แอปพลิเคชัน ทรูไอดี (ดาวน์โหลดเลยที่นี่!!) ข่าวที่เกี่ยวข้อง : จีนรำลึกครบรอบ 155 ปี 'ซุนยัตเซ็น' รัฐบุรุษผู้นำการปฏิวัติ ข้อมูล : wikipedia , history , on this day , bbc -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณคลิกเลย!! รู้ทันกันโควิด หรือกด*301*35# โทรออก

Help me! TrueID ช่วยได้
อ่าน

Help me! TrueID ช่วยได้

Help me คุณผีช่วยด้วย! เมื่อลูกค้าทรูต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการต่าง ๆ TrueID ช่วยได้ เพื่อให้ทุกท่านได้รับความสะดวก รวดเร็ว ความบันเทิงไม่สะดุด ได้สนุกทุกครบรส เพียงแค่เข้าเว็บไซต์ทรูไอดี หรือคลิก https://help.trueid.net/th-th จะพบ 12 เมนูหลักให้บริการ อาทิ ทรูไอดีพลัส ทรูไอดี คอมมูนิตี้ คำถามที่พบบ่อย EPL เกี่ยวกับทรูไอดี ทรูไอดี แอปพลิเคชัน ทรูไอดี เว็ฐไซต์ กล่องทรูไอดี ทีวี กล่อง Inno Hybrid Plus โปรโมชันและกิจกรรมต่าง ๆ สิทธิพิเศษ ทรูยู ทรูพอยท์ ทรูโบนัส แพ็กเกจ การเช่าหนัง และปัญหาการรับชม คำถามยอดนิยม/ประกาศ คุณต้องการความช่วยเหลือด้านไหน? Help me! TrueID ช่วยได้ -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณคลิกเลย!! รู้ทันกันโควิด หรือกด*301*35# โทรออก

ปั้น "SMART Local ME-D" ดันยอด100ล้าน
อ่าน

ปั้น "SMART Local ME-D" ดันยอด100ล้าน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวถึงผลสำเร็จโครงการ SMART Local ME-D ว่า หลังจากกรมฯได้ส่งเสริมผู้ประกอบการชุมชนรวมทั้งสิ้น 233 ราย ผ่านโครงการ SMART Local ME-D เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและเปิดพื้นที่ให้สินค้าไทย สอดรับกับนโยบาย ‘ไทยทำ ไทยใช้ ไทยช่วยไทย’ โดยตั้งเป้าว่าจะสร้างมูลค่าการค้าได้มากกว่า 100 ล้านบาทโครงการนี้ช่วยให้เศรษฐกิจชุมชนมีความเข้มแข็งขึ้นจากการสร้างโอกาสทางการตลาดและพัฒนาศักยภาพให้กับสินค้าชุมชน นำไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ และมีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน โดยเส้นทางความสำเร็จของผู้ประกอบการชุมชนมีดี (SMART Local ME-D) กรมฯ เริ่มต้นจากเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นโอกาส วางรากฐานธุรกิจให้เติบโตได้จริง และเปิดเส้นทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืนผ่าน 4 ขั้นตอน เช่น ให้คำปรึกษาด้านธุรกิจโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมหลักสูตรนี้ 123 ราย เริ่มจากการปรับพื้นฐานพร้อมเปิดมุมมองการทำธุรกิจที่ดี ควบคู่ไปกับการตรวจสุขภาพธุรกิจ ทั้งนี้ โดยได้ลงพื้นที่ไปเปิดคลินิกให้คำปรึกษาด้านธุรกิจใน 4 จังหวัด 4 ภูมิภาค ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา เชียงราย พัทลุง และนครพนม 2) ค่ายบ่มเพาะธุรกิจ ทั้งการสร้างแบรนด์, การนำเสนอธุรกิจและการเจรจาธุรกิจ และการวางโครงสร้างธุรกิจ โดยเมื่อวันที่ 11-13 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา กรมฯ ได้นำธุรกิจกลุ่มนี้เข้าร่วมจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 คาดว่าจะเกิดมูลค่าการค้ากว่า 20 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนอย่างต่อเนื่อง ผ่านการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการชุมชนในทุกมิติ ทั้งด้านการบริหารจัดการ การตลาด และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ เพื่อเสริมความเข้มแข็งให้กับธุรกิจชุมชน ซึ่งถือเป็นฐานรากสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่พร้อมเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

ล็อกเกตคลั่งรัก The Touch ล็อกเกตสำหรับบันทึกจังหวะหัวใจ
อ่าน

ล็อกเกตคลั่งรัก The Touch ล็อกเกตสำหรับบันทึกจังหวะหัวใจ

วางจำหน่ายแล้ว ! สำหรับเดอะทัช (The Touch) ล็อกเกตสไตล์มินิมอลที่มีจำนวนจำกัดเพียงแบบละ 100 ชิ้น โดยผู้ใช้งานสามารถบันทึกจังหวะหัวใจและอัปโหลดไว้ในล็อกเกตได้ เพื่อเก็บจังหวะหัวใจของคนที่คุณรักไว้ใกล้ตัวจุดเด่นของล็อกเกตเดอะทัช (The Touch)สำหรับจุดเด่นของล็อกเกตเดอะทัชคือ การออกแบบที่อยู่เหนือกาลเวลาและเข้าได้กับทุกยุคสมัย มันจึงมีลักษณะภายนอกที่เรียบหรู ในส่วนของตัวเรือนเป็นจี้ทรงกลมทำจากสแตนเลสที่ถูกขัดจนขึ้นมันเงา ส่วนสายคล้องเป็นสายสเตนเลสลายงู ในขณะที่กระจกของล็อกเกตทำจากแก้วคริสตัลโดยตัวเรือนมีสลักคำว่า เฟิร์ส อิดิชัน เดอะทัช ล็อกเก็ต ฟีล ฮาร์ทบีต (FIRST EDITION THETOUCH LOCKHET FELL HEARTBEAT) และไฟแอลอีดี (LED) รูปหัวใจเล็ก ๆ อยู่ ในส่วนของด้านในล็อกเกตมีมอเตอร์และแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ที่ใช้งานได้นานถึง 6 ปี และสามารถเปลี่ยนแบตเตอรีได้การนำเทคโนโลยีพีพีจี (PPG หรือ Photoplethysmography) มาใช้สำหรับการใช้งาน ขั้นแรกผู้ใช้งานจะต้องเชื่อมต่อล็อกเกตของตนเองเข้ากับแอปพลิเคชันฟีล (Feel) ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานกับล็อกเกตเดอะทัช ซึ่งในแอปพลิเคชันจะมีฟีเชอร์ให้บันทึกจังหวะหัวใจของตนเอง ด้วยการใช้นิ้วทาบไปยังบริเวณกล้องหลังของสมาร์ตโฟนจนบังแสงจากไฟฉายจนมิดโดยเราเรียกเทคโนโลยีนี้ว่าพีพีจี (PPG หรือ Photoplethysmography) เป็นการใช้แสงเพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดในร่างกาย แล้วนำค่าการเปลี่ยนแปลงนี้มาคำนวณหาจังหวะการเต้นของหัวใจจากนั้นผู้ใช้งานสามารถเลือกได้ว่าจะอัปโหลดจังหวะหัวใจใส่ล็อกเกตแล้วมอบให้คนรัก หรือจะอัปโหลดไปยังบัญชีใช้งานอื่นเพื่อให้เจ้าของล็อกเกตดาวน์โหลดจังหวะหัวใจที่ได้มาใส่ในล็อกเกตของตัวเองก็ได้เช่นกันโดยเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้ใช้งานต้องการสัมผัสจังหวะหัวใจที่อยู่ในล็อกเกตก็เพียงแค่แตะเบา ๆ ไปที่ตัวล็อกเกต 2 ครั้ง จากนั้นมอเตอร์ข้างในก็จะทำงานตามความถี่ของจังหวะหัวใจที่อัปโหลดไว้ พร้อมกับกะพริบไฟแอลอีดีรูปหัวใจเล็กไปในจังหวะเดียวกันโดยล็อกเกตเดอะทัชมีให้เลือกด้วยกัน 4 แบบ และมีราคาต่างกันตามวัสดุที่ใช้ เริ่มต้นจากตัวเรือนและสายคล้องสีเงิน ราคาอยู่ที่ 199 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6,600 บาท ไปจนถึงแบบตัวเรือนและสายคล้องทองคำ 18 กะรัต ราคาอยู่ที่ 1,290 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 43,000 บาทข้อมูลและภาพจากTheTouch

REVIEWS : SASI PEACH ME UP SKIN RE-BOOSTING PEACH MASK
อ่าน

REVIEWS : SASI PEACH ME UP SKIN RE-BOOSTING PEACH MASK

ก่อนจะรีวิวต้องขอบอกก่อนว่า เนื่องจากผิวหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เหมือนกันบางคนใช้แล้วอาจจะชอบ อาจจะรู้สึกว้าว บางคนใช้แล้วอาจจะรู้สึกไม่เวิร์ก ฉะนั้นแล้วเราจึงต้องศึกษาสินค้าว่ามันเหมาะกับผิวแบบไหนก่อนตัดสินใจซื้อ สำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายนั้น หากกังวลใจจริง ๆ แนะนำให้นำเนื้อมาสก์มาเทสที่หลังมือแล้วทิ้งไว้สักพักเพื่อรอดูว่าจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ต้องบอกว่า เดี๋ยวนี้มีมาสก์หน้าตามท้องตลาดมากมาย มันเลยทำให้เรานั้น สับสน หรือไม่รู้ว่าจะใช้มาสก์หน้าตัวไหน อะไรดี เราเลยต้องดูรีวิวจากผู้ใช้จริงตามอินเตอร์เน็ต เช่น pantip twitter facebook IG  YouTubeราคา : 49 บาท (ซื้อตอน 1 แถม 1 ที่วัตสันคุ้มมากค่ะ)ปริมาณ : 20 กรัม/1แผ่นหาซื้อจาก :  วัตสัน วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด วางแผ่นมาส์กบนใบหน้าให้พอดีทิ้งประมาณ 15-20 นาทีนำแผ่นมาส์กออกจากใบหน้า แล้วนวดเนื้อครีมที่เหลือให้ซึมเข้าใบหน้าและลำคอ เติมความชุ่มชื้นสู่ผิว ด้วยศศิ พืชมีอัพ สกินรีบูสติ้ง พีชมาส์ก ด้วยสารสกัด Prunus Persica จากลูกพีช เติมความชุ่มชื้นและวิตามินช่วยให้ผิวหน้าของคุณกลับมาสดชื่นอีกครั้ง FMM FACT: สาว ๆ ทราบไหมคะ ว่าผลไม้หน้าตาน่ารักอย่างลูกพืชนั้น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรรณมากมาย เช่น วิตามิน A, B, C, E และ K ที่นอกจากจะช่วยบำรุงผิวอย่างล้ำลึกแล้วยังช่วยให้ผิวรู้สึกนุ่มชุ่มชื่นเปล่งประกายยิ่งขึ้นอีกด้วย!   สิ่งที่ประทับใจต่อเจ้ามาสก์ตัวนี้ : รู้สึกได้ว่า หลังจากที่มาส์กหน้าแล้ว ใบหน้ากลับมาสดชื่นขึ้น คลายความเมื่อยล้าของใบหน้า กลิ่นหอมอ่อนๆ สดชื่นข้อควรระวังในการใช้มาสก์ : ระวังอย่าให้เข้าตา หากมีแผล อักเสบ หรือความผิดปกติของผิวอยู่ก่อนแล้วไม่แนะนำให้ใช้หากเกิดความผิดปกติใด ๆ ให้หยุดใช้ทันที ควรเก็บไว้ในที่เย็น พ้นจากแสงแดดไม่ควรปล่อยมาส์กให้เกิน 20 นาที หรือแห้ง เพราะแทนที่มาสก์ จะให้ความชุ่มชื่น มาสก์จะดูดความชุ่มชื่นจากผิวหน้าของเราแทน **ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความ...นะคะ หวังว่า บทความนี้จะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านบทความนี้ ไม่มากก็น้อยนะคะ ขอฝากช่อง...นี้ ไว้ด้วยนะคะ :)เครดิตรูปปกและรูปทั้งหมดโดยนักเขียน

นักเศรษฐศาสตร์ห่วง 'โอไมครอน'แรงmeปิดประเทศ จับตาประกัน-ท่องเที่ยวกระทบหนัก
อ่าน

นักเศรษฐศาสตร์ห่วง 'โอไมครอน'แรงmeปิดประเทศ จับตาประกัน-ท่องเที่ยวกระทบหนัก

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แบงก์กรุงเทพ ห่วงโอไมครอนแรงต้องปิดประเทศ จับตาประกัน-ท่องเที่ยวกระทบหนัก นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ หัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน ซึ่งถูกตรวจพบครั้งแรกในทวีปแอฟริกาใต้ และแพร่กระจายไปในประเทศต่างๆ อาทิ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ฮ่องกง และในทวีปยุโรปหลายประเทศ สำหรับประเทศไทย แม้จะมีอัตราการฉีดวัคซีนเข็มแรกอยู่ที่ 72% มากกว่าสหรัฐฯ แต่ประเทศไทยพึ่งพาอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวเป็นหลัก หากมีการแพร่กระจายของสายพันธุ์โอไมครอน จะมีความเสี่ยงอาจจะต้องปิดประเทศและปิดเมืองอีกครั้งหนึ่ง ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก นายบุรินทร์ กล่าวว่า ทั้งนี้ธุรกิจที่ต้องจับตาคือ ธุรกิจด้านประกันภัย ที่ผ่านมาบริษัทด้านประกันภัยในไทยได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา จากข้อมูลของ Nikkei Asia ระบุว่ามีบริษัทด้านประกันภัยกว่า 16 บริษัทที่รายงานผลประกอบการออกมาขาดทุน และมี 10 บริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ประกาศผลประกอบการออกมาขาดทุนรวมทั้งสิ้น 5,800 ล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยช่วงเดือนกันยายน ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบการธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ระบุว่า จำนวนผู้ถือกรมธรรม์โควิดอยู่ที่ 39.8 ล้านคนจากจำนวนประชากรไทยทั้งสิ้น 69.8 ล้านคน เบี้ยประกันภัยสะสม 11,250 ล้านบาท และยอดสินไหมทดแทนสะสมมีมากถึง 9,400 ล้านบาท โดยปัญหาเกิดจากการที่บริษัทเหล่านี้มีการขายประกันโควิด-19 ในรูปแบบ เจอจ่ายจบ ซึ่งจะคุ้มครองกรณีที่ตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 ก็สามารถนำใบรับรองแพทย์ไปเคลมรับเงินประกันแบบก้อนเดียวได้ ในระยะถัดไปหากมีการระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอนในประเทศไทย ก็คาดว่าจะสร้างความเสียหายต่อธุรกิจประกันภัยอีกครั้งหนึ่ง นายบุรินทร์ กล่าวว่า อีกธุรกิจที่ต้องจับตา คือ ด้านการท่องเที่ยวและการบริการ จะถูกกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกระลอกจะเกิดความเสี่ยงที่ต้องทำให้ปิดประเทศอีกครั้ง โดยนับตั้งแต่ประเทศไทยเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายน จนถึงปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาราว 130,000 แสนคน ยังน้อยกว่ามากหากเทียบกับตัวเลขก่อนการระบาด โดยความกังวลที่เกิดจากไวรัสสายพันธ์โอมิครอน ทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความกังวลทั่วโลกว่าวัคซีนที่ฉีดไปจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ และทำให้ความเชื่อมั่นในการเดินทางในช่วงปลายปีลดลงอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีรายงานว่าอาการของผู้ได้รับเชื้อไวรัสจะไม่รุนแรง ยังคงเร็วไปที่จะสรุปผลกระทบทั้งหมดได้ แต่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวคงเป็นภาคที่เสียหายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าประเทศไทยจะไม่ต้องกลับไปเผชิญกับการล็อกดาวน์อีก เพราะอัตราการฉีดวัคซีนของไทยที่เพิ่มขึ้นมามากจะเป็นปัจจัยสำคัญให้ประชาชนจะไม่มีการป่วยหนัก ถึงแม้ว่าจะได้รับเชื้อโควิด

ทำไม Touch จึงเป็นมังงะกีฬาสุดฮิตในบ้านเรา ทั้งที่คนไทยไม่นิยมเบสบอล?
อ่าน

ทำไม Touch จึงเป็นมังงะกีฬาสุดฮิตในบ้านเรา ทั้งที่คนไทยไม่นิยมเบสบอล?

มังงะกีฬา ถือเป็นหนึ่งในประเภทที่ได้รับความนิยมในไทย เพราะนับตั้งแต่การเข้ามาสร้างปรากฏการณ์ของ กัปตันสึบาสะ ก็ทำให้มังงะแนวนี้ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง แน่นอนว่า นอกจากท่าไม้ตายที่เวอร์วังอลังการแล้ว ความชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลของคนไทย ก็ทำให้มังงะแนวนี้ประสบความสำเร็จ สังเกตุได้จากการ์ตูนแนวฟุตบอลในยุคต่อมา อย่าง วีวา กัลโช หรือ อิตโต นักเตะเลือดกังฟู ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน อย่างไรก็ดี กลับมีมังงะเบสบอลที่ชื่อว่า "ทัช ยอดรักนักกีฬา" ที่ในไทยเป็นกีฬาของคนกลุ่มน้อย แต่กลับได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากนักอ่านชาวไทย จนยกให้มันเป็นการ์ตูนขึ้นหิ้ง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Main Stand หมายเหตุ : มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของการ์ตูน ขวัญใจคอการ์ตูนยุค 80s-90s หาก โชเนน จัมป์ คือแนวหน้าในยุทธภพวงการมังงะญี่ปุ่น โชเนน ซันเดย์ ก็คงเป็นนิตยสารการ์ตูนที่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ จากการมีมังงะเรื่องดังที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสารนี้มากมาย และ ทัชจิ (Touch) หรือทัช ยอดรักนักกีฬา ในชื่อภาษาไทย ก็เป็นหนึ่งในนั้น มันคือผลงานซีรีย์ลำดับที่ 4 ของอาจารย์ อาดาจิ มิตสึรุ หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามจาก Nine และ Miyuki โดยมันโลดแล่นอยู่บนแผงหนังสือในช่วงปี 1981-1986 Photo :www.tiendagourmet.co อย่างไรก็ดี แม้ว่าอาจารย์อาดาจิ จะเริ่มมีชื่อเสียงมาจากผลงานก่อนหน้านี้ แต่การ์ตูนเรื่องนี้ต้องเรียกว่าทำให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก เมื่อมันประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายจนได้รับรางวัล โชงัคคุคัง อวอร์ด หรือรางวัลมังงะยอดเยี่ยม ซึ่งถือเป็นรางวัลใหญ่ของญี่ปุ่น นอกจากนี้ จากการรายงานของ Mangazenkan ที่รวบรวมยอดขายมังงะในแดนอาทิตย์อุทัยยังพบว่า ทัชจิ ติดอยู่ในอันดับ 10 มังงะที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลของญี่ปุ่น ด้วยยอดจำหน่าย 100 ล้านเล่ม และรั้งอยู่ในอันดับ 2 ของมังงะกีฬา โดยเป็นรองเพียงแค่ สแลมดังค์ เพียงเรื่องเดียว ในขณะที่ฉบับอนิเมะ ที่ออนแอร์ในช่วงปี 1985-1987 ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน และทำให้มันได้รับการโหวตเป็นอันดับ 7 ใน 100 อนิเมะที่ดีที่สุดตลอดกาลของสถานีโทรทัศน์อาซาฮี จากการลงคะแนนของชาวญี่ปุ่น เมื่อปี 2005 Photo :www.mrcartoonshop.com และไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นเท่านั้นการ์ตูนเรื่องนี้ ยังดังไกลในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ไทย หลังเริ่มเข้ามาให้แฟนการ์ตูนได้รู้จักเมื่อหลายสิบปีก่อน ทั้งแบบมังงะที่สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจได้ลิขสิทธิ์ในชื่อ "ทัช ยอดรักนักกีฬา" และแบบอนิเมะที่ออกฉายทางช่อง 5 จนเด็กในยุคนั้นติดกันงอมแงม อย่างไรก็ดี มันน่าสนใจตรงที่เพราะเหตุใดการ์ตูนเรื่องนี้ถึงได้รับความนิยมในไทย ทั้งที่ "เบสบอล" ถือเป็นกีฬาที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่มมาก แถมแทบจะไม่มีใครเล่นด้วยซ้ำในยุคนั้น เบสบอล 20 ความรัก 80 แม้ว่า เบสบอล จะเป็นกีฬาที่นำเข้ามาจากตะวันตก แต่คนญี่ปุ่นก็รักและหลงใหลในกีฬาชนิดนี้ จนทำให้มันกลายเป็นกีฬาอันดับ 2 ของประเทศรองมาจากซูโม่ Photo :visithiroshima.net ทำให้ตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมา เบสบอล ได้กลายมาเป็นวัตถุดิบสำคัญในการเขียนมังงะจนประสบความสำเร็จมากมาย ยกตัวอย่างเช่น โดคาเบง หนึ่งในมังงะเบสบอล ที่เป็นแรงบันดาลใจของ อาจารย์ ทาเคฮิโร อิโนะอุเอะ ผู้เขียนเรื่อง สแลมดังค์ "(โดคาเบง) มีตัวละครที่มีเสน่ห์ วิธีการเล่นเบสบอลและร่างกายของพวกเขาที่ถูกวาดขึ้น ดูเท่ไปหมด" อิโนะอุเอะกล่าวกับ CNN เช่นกันสำหรับ ทัชจิ ที่เป็นเรื่องราวของ คาสุยะ อุเอซุงิ หรือ คัตจัง และ ทัตสึยะ อุเอซุงิ หรือ ทัชจัง สองฝาแฝด ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพาทีมเบสบอลของโรงเรียนผ่านเข้าไปเล่นในศึกเบสบอลมัธยมปลายชิงแชมป์แห่งชาติ หรือ "โคชิเอ็ง" เพื่อทำให้ มินามิ อาซากุระ เด็กสาวข้างบ้านที่สนิทกันมีความสุข หากมองอย่างผิวเผิน ทัชจิ อาจจะถูกจัดได้ว่าเป็นการ์ตูนแนวเบสบอล ซึ่งถือว่าเป็นพล็อตยอดนิยมของมังงะญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1970 จากความฝันของตัวเอกที่จะไป "โคชิเอ็ง" แต่ลึกลงไปจะพบว่า เบสบอล เป็นเพียงแค่ส่วนเสริมของเรื่องราวเท่านั้น เมื่อแกนหลักของเรื่องดูเหมือนจะเน้นไปที่ความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยเฉพาะในเรื่องความรัก ทั้งความรักแบบหนุ่มสาวของ คาสุยะ และ ทัตสึยะ กับมินามิ ที่ทำให้รู้ว่า คาสุยะ รัก มินามิ แต่ มินามิ รัก ทัตสึยะ ส่วน ทัตสึยะ รัก มินามิ เหมือนกันแต่ไม่ได้พูดออกมา หรือความรักแบบพี่น้องที่ทัตสึยะมีให้คาสุยะ จากการ "ยอม" ไม่สู้กับน้องชายตัวเองในสังเวียนความรักโดยเลือกที่จะเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่น ทั้งไม่ตั้งใจเรียน และไม่ยอมเล่นกีฬาอย่างจริงจัง ซึ่งต่างจากคาสุยะ ที่เป็นทั้งดาวเด่นของชมรมเบสบอล และเด็กหัวดีของโรงเรียน เพราะมองว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข "แข่งชิงแชมป์ (โคชิเอ็ง) เป็นความฝันของมินามิ มันจึงเป็นความฝันของคาสุยะ เพื่อสิ่งนี้ คาสุยะ จึงสู้สุดความสามารถ" ทัตสึยะ หรือ ทัช บอกกับ โชเฮอิ ฮาราดะ เพื่อนนักมวยหน้าโหดแต่ใจดี "ดังนั้นตอนนี้ คาสุยะ จึงมีพลังที่ทำให้ฝันเป็นจริงได้" Photo :www.ebookcartoonpdf.com ทัชจิ จึงเป็นมังงะเบสบอล ที่พูดถึงเบสบอลในระดับน้อยมาก เมื่อเทียบกับมังงะเบสบอลทั่วไป โดยเฉพาะฉากการแข่งขัน ที่ถือเป็นฉากสำคัญของการ์ตูนกีฬา เนื่องจาก อ.อาดาจิ เลือกที่จะตัดทอนในส่วนนี้ โดยในช่วงต้นของเรื่อง แทบจะไม่มีฉากแข่งขันเบสบอลแบบเต็มๆเลยด้วยซ้ำในขณะเดียวกัน การ์ตูนเรื่องนี้ ยังเต็มไปด้วยมุกตลกที่สอดแทรกไว้ตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นมุกหักมุม ที่ทัชตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า มุกทะลึ่งที่อาจจะวับ ๆ แวม ๆ แต่ไม่ได้ลามก หรือมุก อ.อาดาจิ เขียนแซวตัวเอง (มุกทวงต้นฉบับ มุกเก็บข้อมูล) มันจึงทำให้ทัชจิ กลายเป็นการ์ตูนสำหรับคนทั่วไป ที่แม้จะไม่รู้กติกาเบสบอล หรือนักอ่านชาวไทยที่ไม่คุ้นเคยกับกีฬาชนิดนี้ ก็สามารถซึมซับไปกับความสนุก และเรื่องราวที่เข้มข้นของเรื่องได้ การก้าวผ่านพ้นวัย ด้วยค่านิยมที่มองว่าการทำงานหนักและและการพยายามอย่างเต็มที่เพื่อถึงเป้าหมาย ถือเป็นสิ่งที่ดีในมุมมองของคนญี่ปุ่น ทำให้พล็อตเรื่องแนว "สู้เพื่อฝัน" กลายเป็นพล็อตคลาสสิคที่อยู่ในมังงะญี่ปุ่นทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะมังงะกีฬา Photo :middle-edge.jp และสิ่งที่มักคู่มากับมังงะแนวนี้ ก็คือการก้าวผ่านพ้นวัย หรือ Coming of age สังเกตุได้จากมังงะกีฬาส่วนใหญ่ มักจะพูดถึงช่วงเวลาในช่วงมัธยมปลาย ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางความคิด ก่อนจะก้าวขึ้นไปสู่วัยผู้ใหญ่ เช่นกันสำหรับการ์ตูนเรื่อง ทัชจิ ที่ ทัตสึยะ มีอุปสรรคมากมายที่ต้องก้าวข้ามให้ได้ โดยอย่างแรกคือการเอาชนะการเปรียบเทียบกับ คาสุยะ น้องชาย ซึ่งเป็นนักกีฬาตัวความหวังในการพาทีมไปโคชิเอ็ง ที่เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน เพราะแม้ว่า ทัช จะมีฝีมือที่เก่งกาจแค่ไหน สุดท้ายเขาก็มักจะถูกนำไปเปรียบกับ คัต ซึ่งเป็นฝาแฝดอยู่เสมอ "เพราะทุกคนต่างคิดว่าฉันมาแทนคาสุยะกันทั้งนั้น ถึงจะเชื่อกันอย่างนั้นก็เถอะ แต่อย่าลืมนะ ฉันคือ อุเอซุงิ ทัตสึยะ ถึงจะขว้างบอลได้ไวขนาดไหน มันก็ไม่เหมือนที่คาสุยะขว้าง" ทัชบอกกับมินามิ ทำให้เขาต้องพิสูจน์ตัวเองเป็นสองเท่า ที่นอกจากจะทำให้เพื่อนร่วมทีม โดยเฉพาะแคชเชอร์ มัตสึไดระ โคทาโร ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับคาสุยะยอมรับ แต่ยังเป็นการบอกว่า เขาและคัตคือคนละคนกัน และไม่มีใครแทนใครได้ หรือการเอาชนะการซ้อมสุดโหดของโค้ช คาชิวาบะ เออิชิโร โค้ชที่เข้ามารักษาการณ์หลังโค้ช ชิเงโนริ นิชิโอะ ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ที่ตอนแรกดูเหมือนว่า คาชิวาบะเพียงต้องการเข้ามาแก้แค้นจากเรื่องราวในอดีต แต่กลับกลายเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทัชแข็งแกร่งขึ้น Photo :cartoonfilepdf.lnwshop.co "ถ้าแค่นี้เราทนกันไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปโคชิเอ็งกันแล้ว ถ้าจะไปโคชิเอ็งเราต้องมีกำลังที่แข็งแกร่ง คว่ำสุมิโค คว่ำนิตตะอาคิโอะให้ได้ ถ้าเกิดสู้การฝึกแค่นี้ไม่ได้ จะไปสู้กับพวกนั้นได้ยังไง" ทัตสึยะบอกกับมินามิ "ความแค้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ถึงยังไงก็ช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้น" แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเอาชนะการแข่งขันเพื่อผ่านเข้าไปเล่นในศึกชิงแชมป์ทั่วประเทศรอบสุดท้าย เพราะมันไม่ใช่แค่ความฝันของมินามิเท่านั้น แต่ยังเป็นความฝันของคาสุยะอีกด้วย "คาสุยะ แกนี่มันลำบากจริง ๆ สำหรับฉัน คิดว่าที่น้องชายอำลาเวทีนั้นมันดีกว่านะ" ทัชกล่าว "ฉันไม่ใช่ อุเอซุงิ คาสุยะ ก็จริง แต่ฉันจะต้องไปโคชิเอ็งกับแกให้ได้" ทำให้แม้ว่า ทัชจิ จะเป็นการ์ตูนที่ไม่ได้พูดถึงฉากการแข่งขันมากนัก แต่ อ.อาดาจิ ก็ให้ความสำคัญกับรอบชิงชนะเลิศ ตอนมัธยมปลายปี 3 ที่พบกับ เทคนิคซุมิ ของ อาคิโอะ นิตตะ และทำให้ฉากสไตรก์ลูกสุดท้ายกลายเป็นหนึ่งในฉากในตำนานของเรื่อง น้อยแต่มาก ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ ทัชจิ มีความโดดเด่นกว่ามังงะในยุคเดียวกัน หรือแม้กระทั้งยุคต่อมา คือเป็นการ์ตูนที่มีบทพูดน้อย เพราะแม้เนื้อเรื่องจะยาวถึง 38 เล่มจบ (ฉบับพิมพ์ครั้งแรก) แต่กลับเป็นมังงะที่อ่านง่ายสบาย และใช้เวลาไม่นานก็อ่านจบเล่ม สิ่งนี้คือความจงใจของอาจารย์อาดาจิ ซึ่งเป็นหนึ่งในลายเซ็นของเขา ที่มักจะใช้ภาพในการเล่าเรื่องเป็นหลัก ทำให้หลายฉากแทบไม่มีคำพูดหรือบทบรรยายใด ๆ แต่ก็ทำให้ผู้อ่านซึมซับไปกับเรื่องราวของเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นฉากการตายของคาสุยะ ในช่วงตอนต้นของเรื่อง โดยเป็นเพียงภาพพ่อแม่ของคาสุยะ นั่งเหม่อลอยอยู่หน้าห้องเก็บศพ ก่อนที่ฉากต่อมาจะเป็นภาพของมินามิและทัตสึยะคุยกันแค่ไม่กี่คำต่อหน้าศพของน้องชาย แต่ก็สามารถทำให้คนอ่านรู้สึกเศร้า และเสียน้ำตาได้ "หน้าตาเขามีความสุขนะ เหมือนกับโกหกเลยนะ ตายซะแล้ว ตายแล้ว" ทัชบอกกับมินามิด้วยใบหน้าเรียบเฉย "บาดแผลไม่หนักหนาอะไรเลย เมื่อเช้ายังเล่นบอลกันอยู่ แต่ตอนนี้ขยับไม่ได้แล้ว เหมือนเรื่องโกหกจริงไหม" หรือฉากที่ ทัตสึยะเปิดแผ่นเสียงดังลั่น แล้วโผไปกอดที่นอนของ คาสุยะ ที่ว่างเปล่าพร้อมกับส่งเสียงโฮ ที่ไม่ต่างกับมินามิ ซึ่งหนีไปร้องไห้ใต้สะพานริมแม่น้ำ ที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเจ็บปวดกับการสูญเสียครั้งนี้มากแค่ไหน หรือแม้แต่หลังผ่านเข้าไปเล่นในโคชิเอ็งได้แล้ว ที่ตอนแรก อ.อาดาจิ ปูเรื่องไว้อย่างดิบดี ด้วยการแนะนำให้รู้จักกับดาวเด่นเบสบอลของตัวแทนจังหวัดอื่น และทำให้คนอ่านคอยลุ้นว่าโรงเรียนมัธยมปลายเมอิเซอิ จะทำผลงานได้ดีแค่ไหนในโคชิเอ็งครั้งแรก แต่ อ.อาดาจิ กลับหักมุมด้วยการไม่เขียนถึงการแข่งขันในโคชิเอ็งแม้แต่เกมเดียว โดยใช้ภาพโล่ที่ระลึกผู้ชนะการแข่งขันโคชิเอ็งครั้งที่ 68 เป็นบทสรุปในฉากสุดท้ายของการ์ตูนเรื่องนี้แทน สิ่งนี้ถือเป็นจุดเด่นของ อ.อาดาจิ ที่ไม่เหมือนใคร สำหรับความ "น้อยแต่มาก" เขามักจะปล่อยให้ผู้อ่านได้ลองจินตนาการสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของตัวละครในแต่ละตัว และเป็นหนึ่งในเสน่ห์ในมังงะของเขา ถึงขนาด อ.โกโช อาโอยามะ คนเขียนเรื่อง นักสืบจิ๋วโคนัน ยังให้การยอมรับ "ผมชอบฉากไดอารีของมินามิจังในทัชจิมาก" อาโอยามะให้สัมภาษณ์กับ Weekly Shonen Sunday "เธอน่าจะเขียนว่าเธอชอบทัชจังแค่ไหน ดังนั้นมันจึงน่ารักสำหรับเธอระหว่างการเห็นและการไม่เห็น" ทำให้แม้ว่าทัชจิ อาจจะมีการดำเนินเรื่องที่ดูเนิบช้า แต่ก็ไม่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเบื่อ หรือแม้แต่ฉากเศร้า ก็ไม่ทำให้รู้สึกบีบคั้นจนน่าหดหู่ แถมในทางกลับกัน ยังทำให้มันน่าติดตามว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นเช่นไร ในขณะเดียวกัน "ความน้อยแต่มาก" ของการ์ตูนเรื่องนี้ ยังทำให้ผู้อ่านได้ซึมซับไปกับบรรยากาศของเรื่องอย่างเต็มที่ ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ของผู้คน และการต่อสู้กับอุปสรรค จนรู้สึกอิ่มเอมเมื่อเปิดจนถึงหน้าสุดท้าย แม้ว่าจะเล่นเบสบอลไม่เป็นก็ตาม ทัช จึงถือเป็นการ์ตูนที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง และงานภาพ ที่ไม่มากไปและไม่น้อยไป ทำให้แม้ว่ามันจะอำลาแผงหนังสือไปตั้งแต่ปี 1986 แต่อิทธิพลของการ์ตูนเรื่องนี้ยังส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน เพราะนอกจากมังงะและอนิเมะ จะประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามแล้ว เรื่องราวของมันยังถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดงในปี 2005 ที่นำแสดงโดย โชตะ ไซโต และ เคอิตะ ไซโต ที่ประกบ มาซามิ นางาซาวะ นอกจากนี้ มังงะเรื่องนี้ ยังได้รับเกียรติให้เข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของ โคชิเอ็ง สเตเดียม สังเวียนเหย้าของ ฮันชิน ไทเกอร์ส และเวทีศักดิ์สิทธิ์ของศึกเบสบอลมัธยมปลายชิงแชมป์ญี่ปุ่น ในขณะที่ชื่อของตัวเอกก็ได้ถูกชาวญี่ปุ่นนำไปตั้งเป็นชื่อลูกมากมายมาย อย่าง คาสุยะ คาเมนาชิ ศิลปินแห่งวง KAT-TUN วงป๊อบชื่อดังของญี่ปุ่นก็ถูกตั้งชื่อตาม คาสุยะ อุเอซุงิ เช่นเดียวกับ ทัตสึยะ อุเดดะ ที่อยู่วงเดียวกัน ก็มีที่มาจากชื่อของ ทัตสึยะ อุเอซุงิ แต่ที่สำคัญที่สุด ทัชจิ น่าจะเป็นการ์ตูนเรื่องแรก ๆ ที่ทำให้คนไทยได้รู้จักกับ "โคชิเอ็ง" และทำให้ชื่อนี้เด่นชัดอยู่ในความทรงจำของนักอ่านชาวไทยไม่เสื่อมคลาย แหล่งอ้างอิง https://baseballcontinuum.com/2016/01/29/blogathon-16-international-baseball-culture-mitsuru-adachis-touch-part-1-which-ironically-doesnt-have-much-baseball-in-it/https://honeysanime.com/top-manga-by-mitsuru-adachi/https://wsstalkback.blogspot.com/2019/04/sunday-legends-interview-2.htmlhttps://stadiumth.com/columns/detail?id=178tab=inter ข่าวที่เกี่ยวข้อง : เรื่องราวบนกระดานดำ : 10 วันหลังตอนจบของ "Slam Dunk" ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ย้อนรำลึก!! อิตโต มังงะนอกกระแสในญี่ปุ่น ที่ดังสุดๆ ในไทย ดูฟรี! พรีเมียร์ลีก มากกว่า 100 คู่ คลิก ID Station ดู พรีเมียร์ลีก online คลิกที่นี่ สมัครชม พรีเมียร์ลีกทั้งฤดูกาล คลิกที่นี่

Wickr Me ปิดรับผู้ใช้ใหม่และจะปิดบริการถาวรในสิ้นปี 2023
อ่าน

Wickr Me ปิดรับผู้ใช้ใหม่และจะปิดบริการถาวรในสิ้นปี 2023

Wickr Me แพลตฟอร์มแชตของ Amazon แถลงว่าได้หยุดรับผู้ใช้ใหม่ไปตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2022 เป็นต้นมา และจะปิดตัวลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2023 คำแถลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีข่าวฉาวเกี่ยวที่ Wickr Me กลายเป็นแหล่งรวมของกลุ่มบุคคลในโลกมืด อย่าง แฮกเกอร์ ผู้ก่อการร้าย และผู้ค้ายา เนื่องจากผู้ใช้งานสามารถลงทะเบียนได้โดยไม่ต้องใช้เบอร์มือถือหรือข้อมูลส่วนบุคคลอื่น ๆ สำนักข่าว NBC ของสหรัฐอเมริกาเคยรายงานในเดือนมิถุนายนปีที่แล้วว่า Wickr Me กลายเป็นที่นิยมของกลุ่มบุคคลที่ซื้อขายเนื้อหาที่เกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก พบว่าจำเลยใน 72 คดีซื้อขายเนื้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กที่เข้าสู่ชั้นศาลในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ล้วนแล้วแต่ใช้ Wickr ในการซื้อขายเนื้อหาทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้นในปี 2015 ยังสื่อหลายสำนักยังยืนยันตรงกันว่ากลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม (Islamic State – IS) ใช้ Wickr Me ในการรับสมัครสมาชิกใหม่ด้วย ขณะที่ โฆษกของ Amazon Web Services ในขณะนั้นยืนยันว่าบริษัทยืนหยัดในการปกป้องการเผยแพร่เนื้อหาในลักษณะดังกล่าวทั่วทุกพื้นที่ของธุรกิจ และพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ Amazon เคยแถลงในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่าเหตุที่ต้องปิดตัว Wickr Me ก็เพราะต้องการทุ่มทรัพยากรและความสนใจไปยังผลิตภัณฑ์ที่เป็นลักษณะธุรกิจสู่ธุรกิจ อย่าง AWS Wicks และ Wickr Enterprise Wickr ก่อตั้งขึ้นในปี 2012 ก่อนจะถูก Amazon Web Services เข้าซื้อกิจการในปี 2021 ที่มา cnbc

แร็พเปอร์อดีตเพลงดัง  Watch Me (Whip Nae Nae) ถูกจับข้อหาฆาตกรรมญาติตัวเอง
อ่าน

แร็พเปอร์อดีตเพลงดัง Watch Me (Whip Nae Nae) ถูกจับข้อหาฆาตกรรมญาติตัวเอง

นายริคกี้ หรือ Silent แร็พเปอร์ชื่อดัง วัย 23 ปี เจ้าของเพลงดัง Watch Me (Whip/Nae Nae) ถูกจับกุมในรัฐจอร์เจียไปเมื่อวานนี้ (1ก.พ.) หลังจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมลูกพี่ลูกน้องของตนเอง เฟรดดริก รูด ลูกพี่ลูกน้องของริคกี้ วัย 34 ปี พบนอนเสียชีวิตมีบาดแผลยิงที่ใบหน้าและขา รอบตัวนายเฟรดดริกมีปลอกกระสุนกระจัดกระจายอยู่กว่า 8 กระบอก ก่อนหน้านี้ นายริคกี้ถูกจับกุมข้อหาก่อความวุ่นวายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งตำรวจในรัฐลอสแองเจลิสเคยจับกุมเขาข้อหาทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธไปแล้วถึง 2 ครั้ง รวมไปถึงคดีขับรถเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนดอีกหลายครั้ง นายริคกี้ หรือ Silent โด่งดังมาจากเพลง 'Watch Me (Whip / Nae Nae)' ในปี 2015 ซึ่งเพลงดังกล่าวมียอดวิวถึง 1.7 พันล้านครั้ง ที่มา wgntv.com

Into the past : ค้นพบแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรค (24 มี.ค.)
อ่าน

Into the past : ค้นพบแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรค (24 มี.ค.)

Into the past : trueID Newsจะพาย้อนไปในอดีตของวันนี้กับเหตุการณ์ที่สำคัญ เรื่องราวสาระน่ารู้ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ จะเป็นอย่างไรไปติดตามกัน พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) - โรเบิร์ต คอค แพทย์ชาวเยอรมัน ประกาศการค้นพบแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของวัณโรค สาธารณสมบัติ ไฮน์ริช แฮร์มัน โรแบร์ท ค็อค (Heinrich Hermann Robert Koch) เป็นนายแพทย์ชาวเยอรมัน ได้ศึกษาโรคที่เกิดจากแกะโดยเพาะเลี้ยงเชื้อนอกอวัยวะสัตว์จนสามารถอธิบายวงจรชีวิตของเชื้อดังกล่าวได้ เมื่อปี พ.ศ. 2419 (ค.ศ. 1876) ซึ่งภายหลังทราบกันดีว่าเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดโรคแอนแทรค (Bacillus anthracis) นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการอธิบายบทบาทของเชื้อโรคต่อการเกิดโรคได้อย่างชัดเจน ต่อมาในปี พ.ศ. 2425 (ค.ศ. 1882) ค็อคได้ค้นพบเชื้อโรคที่ทำให้เกิดวัณโรค (Mycobacterium tuberculosis) และได้พัฒนาการสกัดสารชื่อ ทูเบอร์คูลิน (Tuberculin) ซึ่งช่วยในการตรวจสอบเชื้อวัณโรคได้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2426 (ค.ศ. 1883) ค็อคเดินทางไปยังอินเดียและได้ค้นพบเชื้อที่ทำให้เกิดอหิวาตกโรค (Vibrio cholerae) และการเสนอสมมติฐานของค็อค ซึ่งเป็นรากฐานของความรู้ทางโรคติดเชื้อในปัจจุบัน ========== รวมสิทธิส่งเสริมคุณภาพชีวิต เกาะติดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทันเรื่องราวกระแสสังคม สัมผัสประสบการณ์ข่าวได้ที่ แอปพลิเคชัน ทรูไอดี (ดาวน์โหลดเลยที่นี่!!) ข่าวที่เกี่ยวข้อง : โบราณสถาน "ซ่อมแซมตนเองได้" ด้วยสปอร์ของแบคทีเรีย ข้อมูล : wikipedia , history , on this day , bbc -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณคลิกเลย!! รู้ทันกันโควิด หรือกด*301*35# โทรออก

เตรียมรับ MotoGP! บุรีรัมย์ ใช้ "Ask me" เตรียมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว
อ่าน

เตรียมรับ MotoGP! บุรีรัมย์ ใช้ "Ask me" เตรียมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว

จังหวัดบุรีรัมย์ เตรียมบุคลากร “Ask me” กว่า 500 คน ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก ตอบคำถาม แก่นักท่องเที่ยว ที่เดินทางไปชมงานโมโตจีพี ที่จังหวัดบุรีรัมย์ วันนี้(27 ก.ย.61) นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดตัวและประชาสัมพันธ์บุคลากรด้านการท่องเที่ยว (Ask me) จำนวนกว่า 500 คน ที่ห้องประชุมสนามช้างอารีน่า ชั้น 2 อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การและเตรียมความพร้อมบริการ ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก ตลอดทั้งตอบคำถามแก่นักท่องเที่ยว ทั้งด้านการเดินทาง จุดบริการต่างๆ ถานที่จอดรถ จุดรับส่ง เส้นทางเดินรถ สถานที่เที่ยว สถานที่กิน สถานที่พัก แก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ ชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี 2018 สนามที่ 15 ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อรายการ “พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018” ในระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 นี้ นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า บุคลากรด้านการท่องเที่ยว หรือ Ask me จะช่วยหนุนเสริมด้านการท่องเที่ยวของจังหวัด ที่คอยให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาในทุกด้าน ด้วยภาษาสากล ซึ่งในช่วงโมโตจีพี จัดการแข่งขันจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางสู่จังหวัดบุรีรัมย์มากกว่า 2 แสนคน บุคลากร Ask me จะทำหน้าที่ คอยต้อนรับ คอยอำนวยความสะดวก คอยแนะนำและคอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างๆ ให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และ บุคลากร ASK ME ก็จะกระจายตัวอยู่ตามสถานที่จัดการแข่งขัน ทั้งด้านใน และด้านนอก ตลอดทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ทั่วทั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ดูบอลสดฟรี ไม่มีสะดุด ลูกค้าทรูมูฟ เอช รับเน็ต 2GB ดูทรูไอดีฟรี เปิดทรูไอดีทุกวันรับฟรีทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ 30 พ.ย.61  คลิกเลย ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก! ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก! ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

เตรียมรับ MotoGP! บุรีรัมย์ ใช้ "Ask me" เตรียมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว
อ่าน

เตรียมรับ MotoGP! บุรีรัมย์ ใช้ "Ask me" เตรียมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว

จังหวัดบุรีรัมย์ เตรียมบุคลากร “Ask me” กว่า 500 คน ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก ตอบคำถาม แก่นักท่องเที่ยว ที่เดินทางไปชมงานโมโตจีพี ที่จังหวัดบุรีรัมย์ วันนี้(27 ก.ย.61) นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดตัวและประชาสัมพันธ์บุคลากรด้านการท่องเที่ยว (Ask me) จำนวนกว่า 500 คน ที่ห้องประชุมสนามช้างอารีน่า ชั้น 2 อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การและเตรียมความพร้อมบริการ ให้คำแนะนำ อำนวยความสะดวก ตลอดทั้งตอบคำถามแก่นักท่องเที่ยว ทั้งด้านการเดินทาง จุดบริการต่างๆ ถานที่จอดรถ จุดรับส่ง เส้นทางเดินรถ สถานที่เที่ยว สถานที่กิน สถานที่พัก แก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ ชิงแชมป์โลก หรือ โมโตจีพี 2018 สนามที่ 15 ที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์ ภายใต้ชื่อรายการ “พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018” ในระหว่างวันที่ 5-7 ตุลาคม 2561 นี้ นายอนุสรณ์ แก้วกังวาล ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า บุคลากรด้านการท่องเที่ยว หรือ Ask me จะช่วยหนุนเสริมด้านการท่องเที่ยวของจังหวัด ที่คอยให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษาในทุกด้าน ด้วยภาษาสากล ซึ่งในช่วงโมโตจีพี จัดการแข่งขันจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางสู่จังหวัดบุรีรัมย์มากกว่า 2 แสนคน บุคลากร Ask me จะทำหน้าที่ คอยต้อนรับ คอยอำนวยความสะดวก คอยแนะนำและคอยช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างๆ ให้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และ บุคลากร ASK ME ก็จะกระจายตัวอยู่ตามสถานที่จัดการแข่งขัน ทั้งด้านใน และด้านนอก ตลอดทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ทั่วทั้งจังหวัดบุรีรัมย์ ดูบอลสดฟรี ไม่มีสะดุด ลูกค้าทรูมูฟ เอช รับเน็ต 2GB ดูทรูไอดีฟรี เปิดทรูไอดีทุกวันรับฟรีทุกวัน ตั้งแต่วันนี้ 30 พ.ย.61  คลิกเลย ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ กดเลย ช่องทางการรับชมการถ่ายทอดสดทาง TrueID ดูบอลสดผ่านแอปพลิเคชั่น ทรูไอดี คลิก! ดูบอลสดผ่านเว็บไซต์ ทรูไอดี ฟรี คลิก! ติดตามข่าวสารกีฬาได้ที่ TrueID App หรือร่วมพูดคุยกันผ่านทาง Line @TrueID ร่วมไปถึงแฟนเพจ TrueID Sports

Born but with me เปิดความหมายศัพท์วัยรุ่นมาแรง อะไรๆ ก็ฉัน!
อ่าน

Born but with me เปิดความหมายศัพท์วัยรุ่นมาแรง อะไรๆ ก็ฉัน!

“Born but with me” เปิดความหมาย ศัพท์ฮิตวัยรุ่นที่ผิดแกรมม่า แต่โดนใจชาวโซเชียล อะไรๆ ก็เกิดแต่กับฉัน !ถ้าคุณเห็นประโยค "Born but with me" บนโซเชียลแล้วรู้สึกทะแม่งหู นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก! เพราะจริงๆ แล้ว ประโยคนี้ไม่ถูกหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แต่กลับกลายเป็นคำที่วัยรุ่นไทยใช้กันแพร่หลายบนโลกออนไลน์ในเชิงประชดประชัน “Born but with me” หมายถึงอะไร?ประโยคนี้ดัดแปลงมาจากภาษาไทยแบบคาราโอเกะ ว่า "เกิดแต่กับฉัน" ซึ่งใช้ในเวลาที่ตัวเองเจอแต่เรื่องแย่ๆ สถานการณ์ยากลำบาก หรือปัญหาที่ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยเจอ เช่น ทำไมเรื่องซวยๆ ต้องเกิดขึ้นกับเราคนเดียว? ทำไมคนอื่นสบาย แต่เราต้องเจอปัญหาตลอด? เป็นต้นตัวอย่างการใช้- เจอฝนตกหนักตอนออกจากบ้านคนเดียว เพื่อนรอดหมด → "Born but with me จริงๆ!"
- ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วลืมกระเป๋าสตางค์ → "Born but with me สุดๆ"แม้จะผิดแกรมม่า แต่ "Born but with me" ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่วัยรุ่นไทยสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สื่ออารมณ์ประชดประชันแบบขำๆ หากเห็นใครใช้คำนี้ ก็รู้ไว้เลยว่าพวกเขาอาจจะกำลังเจอเรื่องซวยๆ หรือ เรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิด อยู่นั่นเอง!

Born but with me เปิดความหมายศัพท์วัยรุ่นมาแรง อะไรๆ ก็ฉัน!
อ่าน

Born but with me เปิดความหมายศัพท์วัยรุ่นมาแรง อะไรๆ ก็ฉัน!

“Born but with me” เปิดความหมาย ศัพท์ฮิตวัยรุ่นที่ผิดแกรมม่า แต่โดนใจชาวโซเชียล อะไรๆ ก็เกิดแต่กับฉัน !ถ้าคุณเห็นประโยค "Born but with me" บนโซเชียลแล้วรู้สึกทะแม่งหู นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก! เพราะจริงๆ แล้ว ประโยคนี้ไม่ถูกหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แต่กลับกลายเป็นคำที่วัยรุ่นไทยใช้กันแพร่หลายบนโลกออนไลน์ในเชิงประชดประชัน “Born but with me” หมายถึงอะไร?ประโยคนี้ดัดแปลงมาจากภาษาไทยแบบคาราโอเกะ ว่า "เกิดแต่กับฉัน" ซึ่งใช้ในเวลาที่ตัวเองเจอแต่เรื่องแย่ๆ สถานการณ์ยากลำบาก หรือปัญหาที่ชาวบ้านทั่วไปไม่ค่อยเจอ เช่น ทำไมเรื่องซวยๆ ต้องเกิดขึ้นกับเราคนเดียว? ทำไมคนอื่นสบาย แต่เราต้องเจอปัญหาตลอด? เป็นต้นตัวอย่างการใช้- เจอฝนตกหนักตอนออกจากบ้านคนเดียว เพื่อนรอดหมด → "Born but with me จริงๆ!"
- ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วลืมกระเป๋าสตางค์ → "Born but with me สุดๆ"แม้จะผิดแกรมม่า แต่ "Born but with me" ก็เป็นอีกหนึ่งคำที่วัยรุ่นไทยสร้างขึ้นมาเพื่อใช้สื่ออารมณ์ประชดประชันแบบขำๆ หากเห็นใครใช้คำนี้ ก็รู้ไว้เลยว่าพวกเขาอาจจะกำลังเจอเรื่องซวยๆ หรือ เรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิด อยู่นั่นเอง!

Catch Me If You Can!!! ระทึก 7 นักกีฬาหลบหนีในแดนโสม หลังจบเอเชี่ยนเกมส์
อ่าน

Catch Me If You Can!!! ระทึก 7 นักกีฬาหลบหนีในแดนโสม หลังจบเอเชี่ยนเกมส์

ความเคลื่อนไหวหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 17 ณ เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยล่าสุดมีข่าวที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งหลังจบมหกรรมกีฬาระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะโอลิมปิกเกมส์ หรือ เอเชี่ยนเกมส์ ก็ตาม โดยล่าสุด มีเรื่องให้ตำรวจของเมืองอินชอนต้องปวดหัว เมื่อเกิดการหาายตัวไปของ 7 นักกีฬาจาก สี่ประเทศ ได้หายตัวไปหลังเสร็จสิ้นการแข่งขันเอเชียนเกมส์ โดยเป็น สามนักกีฬาจากเนปาล (สองคนจากกีฬาวูซู หนึ่งคนจากกีฬาเซปัคตะกร้อ), สองนักกีฬาจากศรีลังกา (วอลเลย์บอลชายหาด และ ฮอคกี้), บังคลาเทศ (คาราเต้) และปาเลสไตน์ (ยกน้ำหนัก) ซึ่งคาดว่า นักกีฬาทั้ง 7 คน รวมไปถึง อีก 1 นักข่าวจากปากีสถาน ที่หายตัวไปนั้น กำลังจะหลบหนี และต้องการหางานทำในเกาหลีใต้ เนื่องจาก แต่ละคนนั้น มาจากประเทศโลกที่สามทั้งสิ้น และเกาหลีใต้นั้น มีคุณภาพชีวิตและรายได้ที่เยอะกว่า โดยตอนนี้ ตำรวจกำลังเร่งหาตัวอย่างหนัก โดยขยายขอบเขตการค้นหาไปยังเมืองอันซาน ที่มักจะมีแรงงานหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฏหมาย ทั้งนี้ วีซ่าของทั้ง 7 นักกีฬาที่หายตัวไป จะหมดอายุลงในวันที่ 19 ตุลาคม นี้ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกาหลีใต้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เพราะในช่วงการแข่งขัน มหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 14 เมื่อปี 2002 ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ เจ้าภาพก็เคยประสบปัญหาแบบนี้มาแล้ว ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ที่ FB : TrueSport TW : True_Sport คลิกชม ตารางถ่ายทอดสดฟุตบอล ได้ที่นี่ ขอขอบคุณข่าวจาก http://www.reuters.com/ภาพจากอินเตอร์เนตแฟ้มข่าว

Daihatsu me:MO รถ EV คันเล็กคัสตอมตามใจได้ด้วย 3D Printing ของดีที่ญี่ปุ่น
อ่าน

Daihatsu me:MO รถ EV คันเล็กคัสตอมตามใจได้ด้วย 3D Printing ของดีที่ญี่ปุ่น

ยังไม่จบกับงาน Japan Mobility Show 2023 ที่ได้ไปชมคอนเซ็ปต์คาร์ดี ๆ จากประเทศญี่ปุ่น รอบนี้พาไปบูตของ Daihatsu ที่นำเสนอความน่ารักผ่านรถคันเล็กคัสตอมได้ด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) ในชื่อรุ่นว่า Daihatsu me:MO Daihatsu me:MO รถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่ออกแบบดีไซน์ได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ โดยอาศัยเทคโยโลยีการพิมพ์ 3 มิติเป็นวัสดุขนาดเล็ก เหมือนกับการต่อ LEGO เพื่อให้ได้รถส่วนตัวที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น ภายในห้องโดยสารเองก็สามารถปรับแต่งได้ว่าจะเป็นรถที่นั่งเดียวสำหรับผู้ขับขี่และเหลือพื้นที่ไว้บรรทุกของ หรือเพิ่มพื้นที่นั่งได้สูงสุด 4 ที่นั่งสำหรับครอบครัวย่อม ๆ ก็ทำได้ Daihatsu ได้เปลี่ยนวิธีการผลิตรถยนต์ไปโดยปริยาย ไม่ใช่แค่การออกแบบตัวรถ แต่ยังรวมไปถึงโครงสร้างตัวรถตั้งแต่แรกเริ่ม ไปจนถึงการออกแบบภายใน ที่ให้เจ้าของเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง วิธีการนี้ทำให้เราสามารถสร้างรถยนต์ที่ยั่งยืน ด้วยการออกแบบรถที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนจริง ๆ ตลอดจนทำให้เจ้าของรถอยู่กับรถที่ตัวเองออกแบบได้ยาวนานยิ่งขึ้นด้วย

เปิด 3 ขั้นตอนใช้ "ESS Help Me" บริการแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคมรูปแบบใหม่
อ่าน

เปิด 3 ขั้นตอนใช้ "ESS Help Me" บริการแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคมรูปแบบใหม่

เปิด 3 ขั้นตอนใช้ ESS Help Me บริการแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคมรูปแบบใหม่ช่วยให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่างแม่นยำ พร้อมเตือนอย่าก่อกวนเจ้าหน้าที่ด้วยการแจ้งเหตุเท็จ มีโทษอาญาทั้งจำทั้งปรับน.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่ 4 หน่วยงานประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และกองทุนเสมอภาคทางการศึกษา ได้พัฒนาระบบการแจ้งเหตุทางสังคมรูปแบบใหม่ ESS Help Me (Emergency Social Services) ล่าสุดระบบดังกล่าวได้เริ่มเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 66 เป็นต้นมาทั้งนี้ Ess Help Me ปักหมุด หยุดเหตุฉุกเฉินทางสังคม ได้รับการพัฒนาให้ใช้งานได้บนแอปพลิเคชัน Line เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนที่ปัจจุบันมีการใช้บริการแอปพลิเคชันนี้อยู่มาก โดยระบบจะช่วยทั้งในด้านรวดเร็วในการแจ้งเหตุ มีการแชร์พิกัดจุดเกิดเหตุ ให้เจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำขั้นตอนการใช้งาน Ess Help Me ปักหมุด หยุดเหตุฉุกเฉินทางสังคมการใช้งานระบบนั้นเริ่มต้นด้วยการเพิ่มเพื่อนระบบในแอปพลิเคชัน Line โดยการค้นหาในช่องค้นหาเพื่อนด้วยคำว่า @esshelpme หลังจากนั้นก็สามารถดำเนินการแจ้งเหตุได้ด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ1)กดปุ่มแจ้งเหตุด่วน เมื่อกดแล้วระบบจะขึ้นตัวเลือกปัญหาที่ท่านพบโดยให้เลือก 1 ปัญหาจาก 5 ปัญหา ได้แก่ ข่มขู่ว่าจะทำร้ายหรือทำร้าย, กักขังหน่วงเหนี่ยว, เสี่ยงถูกล่วงละเมิดทางเพศ, ผู้คลุ้มคลั่งก่อให้เกิดเหตุร้าย และ มั่วสุมจนก่อให้เกิดเหตุร้าย2)แจ้งตำแหน่งเกิดเหตุ เมื่อเลือกปัญหาที่พบแล้วระบบจะขึ้นปุ่ม แชร์พิกัดตำแหน่ง ให้กดและเลือกตำแหน่งที่เกิดเหตุเพื่อให้เจ้าหน้าที่มายังจุดเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ3) กรอกเบอร์ติดต่อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเมื่อประชาชนผู้แจ้งเหตุดำเนินการครบทั้ง 3 ขั้นตอนระบบจะดำเนินการส่งข้อมูลการแจ้งเหตุไปยังสถานีตำรวจที่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด พร้อมกับแจ้งข้อความมายังผู้แจ้งเหตุ และเมื่อมีเจ้าหน้าที่ตำรวจรับทราบแล้วระบบจะแจ้งเตือนสถานะการรับทราบมายังผู้แจ้งเหตุอีกครั้งเพื่อให้ทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงทีมสหวิชาชีพจะถึงจุดเกิดเหตุในเวลาเท่าใดทั้งนี้ ประชาชนสามารถเพิ่มเพื่อนระบบ Ess Help Me ติดตัวไว้ แม้ยังไม่จำเป็นต้องแจ้งเหตุ เพื่อว่าเมื่อเกิดเหตุจะได้สามารถใช้งานระบบได้ทันที และแนะนำว่าให้ปักหมดข้อความในแอปพลิเคชัน Line ไว้บนสุดเพื่อการค้นหาที่รวดเร็วเมื่อประสบเหตุ โดยผู้ใช้ระบบ iOS ให้เลื่อนแชทไปทางขวาจะพบเครื่องหมายปักหมุดขึ้นมาที่ด้านซ้ายของข้อความ ส่วนระบบ Android ให้กดค้างที่แชทจะมีคำสั่งปักหมุดเด้งขึ้นมา เมื่อกดแล้วจะมีสัญลักษณ์ปักหมุดสีฟ้าอยู่น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า หน่วยงานผู้พัฒนาและดูแลระบบได้เน้นย้ำและเตือนว่า ขอให้ประชาชนที่ใช้ระบบแจ้งเหตุตามความเป็นจริง อย่าเข้าใช้ระบบเพื่อก่อกวนเจ้าหน้าที่เพื่อความสนุกสนานหรือคึกคะนอง เพราะนอกจากจะกระทบต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่จนส่งผลต่อการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่มีความเดือดร้อนจริงแล้ว การแจ้งเหตุอันเป็นเท็จโดยเจตนา จะถูกตั้งข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 384 มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับได้ภาพจาก AFP

Apple ไม่มีแผนจะนำ Touch ID กลับมาใช้ใน iPhone รุ่นใหม่ในอนาคต
อ่าน

Apple ไม่มีแผนจะนำ Touch ID กลับมาใช้ใน iPhone รุ่นใหม่ในอนาคต

หลังจากที่มรายงานว่า Apple ได้ปิดเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือสำหรับใช้ฟังก์ชัน Touch ID ไปแล้วนั้น ล่าสุด MacRumors ได้รายงานข้อมูลจากแหล่งข่าวในประเทศจีน อ้างว่า Apple จะไม่ติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใน iPhone รุ่นใด ๆ ต่อไปในอนาคต โดย iPhone SE (2022) จะเป็น iPhone รุ่นสุดท้ายที่ใช้ฟังก์ชัน Touch ID ได้ ทั้งนี้มีรายงานว่า Apple จะใช้ดีไซน์จอใหญ่เต็มพื้นที่ด้านหน้าตัวเครื่องสำหรับ iPhone SE รุ่นที่ 4 ซึ่งจะมาพร้อมฟังก์ชันสแกนใบหน้า Face ID แทนการติดตั้งเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือในหน้าจอสำหรับสแกนลายนิ้วมือดังที่สมาร์ตโฟน Android หลายแบรนด์ ใช้อยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Apple กำลังพัฒนาเซนเซอร์สำหรับติดตั้งในหน้าจอเพื่อใช้ฟังก์ชัน Face ID แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดแต่อย่างใด ที่มา : GSMArena

Me 3 กีตาร์อัจฉริยะเทคโนโลยีดนตรีโลกอนาคตที่มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส
อ่าน

Me 3 กีตาร์อัจฉริยะเทคโนโลยีดนตรีโลกอนาคตที่มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัส

บริษัท Lavaในประเทศจีนเปิดตัว Me 3 กีตาร์อัจฉริยะตัวแรกของโลก ผู้เล่นกีตาร์สามารถควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของกีตาร์ผ่านหน้าจอสัมผัสที่ติดตั้งไว้ด้านบนของตัวกีตาร์เปลี่ยนแปลงของกีตาร์เครื่องดนตรีสากลยอดนิยมจากเดิมที่สร้างจากไม้ไปเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบาแข็งแรงทนทานมีดีไซน์ภายนอกที่สวยงามทันสมัยและอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกีตาร์ที่ถูกเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์สมาร์ตโฟนกีตาร์เครื่องดนตรีสากลที่ได้รับความนิยมชนิดหนึ่งของมนุษย์ยาวนานกว่า 3,000 ปี แม้ในปัจจุบันจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพให้กลายเป็นกีตาร์ไฟฟ้าที่มีความทันสมัยในระดับหนึ่งแต่ยังห่างไกลคำว่ากีตาร์อัจฉริยะ (Smart Guitar) สิ่งที่ทำให้กีตาร์อัจฉริยะ Me 3 แตกต่างจากกีตาร์ไฟฟ้าทั่วไปและกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ การควบคุมการทำงานของกีตาร์ผ่านหน้าจอสัมผัสมัลติทัชขนาด 3.5 นิ้ว ผู้เล่นกีตาร์สามารถใส่เอฟเฟกต์ให้กับเสียงดนตรีในรูปแบบต่าง ๆแอปพลิเคชันพิเศษที่ติดตั้งมาให้ในตัวกีตาร์เพื่อช่วยในการฝึกสอนเล่นกีตาร์ เริ่มจากพื้นฐานการจับคอร์ดกีตาร์ต่าง ๆ จังหวะการดีดและบันทึกเสียงกีตาร์เพื่อประเมินความถูกต้องของการฝึกเล่นกีตาร์เสมือนครูฝึกผู้เชี่ยวชาญส่วนตัวคอยให้คำแนะนำในการเล่นกีตาร์ ระบบสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องเพื่อปรับปรุงแก้ไขพัฒนารูปแบบวิธีการเล่นกีตาร์จนผู้เล่นมีความเชี่ยวชาญ ผู้เล่นกีตาร์สามารถเชื่อมต่อกีตาร์เข้ากับสมาร์ตโฟนเพื่อแชร์แลกเปลี่ยนผลงานเพลงให้กับนักดนตรีอื่น ๆ กีตาร์สามารถชาร์จไฟฟ้าโดยระบบไร้สาย Wireless Charging คล้ายการชาร์จไฟฟ้าให้กับสมาร์ตโฟนก่อนหน้านี้บริษัท Lavaเคยเปิดตัวกีตาร์รุ่นU , ME PRO และ Me 2 ในช่วงปี 2017 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกีตาร์ไฟฟ้าที่มีการปรับปรุงพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนถึงรุ่นใหม่ล่าสุดกีตาร์อัจฉริยะ Me 3 ปัจจุบันบริษัทเปิดจำหน่ายกีตาร์อัจฉริยะ Me 3 โดยมีรูปแบบสีสันให้เลือก 6 สี ในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ผ่านทางเว็บไซต์และตัวแทนจำหน่าย เทคโนโลยีกำลังก้าวเข้ามามีบทบาทในวงการต่าง ๆ รวมไปถึงวงการเพลง กีตาร์เครื่องดนตรีที่มีภาพคุ้นตาในอดีตกำลังกลายเป็นกีตาร์อัจฉริยะที่สามารถทำอะไรได้หลายอย่างก้าวข้ามขีดจำกัดทางดนตรีและความไพเราะของเสียงเพลงข้อมูลจาก newatlas.comภาพจาก lavamusic.com

คาชิวาบะ เออิจิโร : โค้ชปีศาจจาก Touch ที่สะท้อนความเจ็บปวดของการเป็นเบอร์ 2
อ่าน

คาชิวาบะ เออิจิโร : โค้ชปีศาจจาก Touch ที่สะท้อนความเจ็บปวดของการเป็นเบอร์ 2

เขาคือโค้ชที่เข้ามาคุมมัธยมปลายเมอิเซอิชั่วคราว เป็นคนที่โค้ชนิชิโอะ โค้ชคนเก่าให้การรับรอง ว่าเป็นคนที่รักและทุ่มเทเพื่อเบสบอล แถมยังเคยเป็นอดีตกัปตันชมรมและเอสหมายเลข 4 ของทีม อย่างไรก็ดี ตอนที่มาถึงมันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเขาเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่รุนแรง ทั้งฝึกหนักเกินกว่าเหตุ ทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงกลั่นแกล้งสมาชิกชมรมเบสบอลจนลาออกไปหลายราย เกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เขามาถึงจุดนี้? ติดตามเรื่องราวของโค้ชปีศาจไปพร้อมกับ Main Stand โค้ชจอมโหด ปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ชมรมกีฬาญี่ปุ่น เป็นระบบและแข็งแกร่งจนกลายเป็นแหล่งผลิตนักกีฬาสู่สโมสรอาชีพ หรือทีมชาติ คือการมีโค้ชประจำ ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ครูในโรงเรียน แต่เป็นโค้ช ที่เข้ามาฝึกสอนนักเรียนโดยเฉพาะ เช่นกันกับ ชมรมเบสบอลของโรงเรียนมัธยมปลายเมอิเซอิ โรงเรียนของ อุเอสึงิ ทัตสึยะ และ คาสุยะ สองฝาแฝดตัวเอกจากมังงะเรื่อง Touch พวกเขามีโค้ช นิชิโอะ ชิเงโนริ เป็นผู้ฝึกสอนให้กับทีม Photo :www.anime-planet.com ทว่า ในขณะที่พวกเขากำลังมีลุ้นไปโคชิเอ็ง จากการที่ ทัตสึยะ ได้เข้ามาเป็นความหวังใหม่ หลังการเสียชีวิตของ คาสุยะ ชมรมก็ต้องได้รับข่าวร้าย เมื่อโค้ชนิชิโอะ ต้องวางมือเป็นการชั่วคราว จากปัญหาสุขภาพ แต่โค้ชนิชิโอะ ก็ยังมีความรับผิดชอบ เมื่อเขาได้ติดต่อ คาชิวาบะ เออิจิโร อดีตสมาชิกชมรมเบสบอลมัธยมปลายเมอิเซอิ ให้มาเป็นโค้ชรักษาการ พร้อมกับรับรองว่าถ้าหากเป็นโค้ชคนนี้ โคชิเอ็งอาจจะไม่ใช่ความฝัน "เขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติของมือโปรพร้อมอยู่ในตัวทีเดียว เขาเป็นกัปตัน เอสหมายเลข 4 ในปีนั้นเราเป็นตัวเก็งชนะเลิศ แต่ก็ไปได้ถึงแค่ 4 ทีมสุดท้ายเท่านั้น แต่ก็เป็นทีมที่เข้มแข็งจริง ๆ" โค้ชนิชิโอะ บอกกับผู้อำนวยการ อย่างไรก็ดี มันกลับทำให้ทีมต้องเจอกับฝันร้าย เพราะทันทีที่มาถึง โค้ชคาชิวาบะ ก็กลั่นแกล้งสมาชิกในทีมสารพัด ไม่ว่าจะเป็นให้ฝึกหนักเกินกว่าปกติ หรือถึงขั้นลงไม้ลงมือชกต่อยกับนักเรียน Photo :kknews.cc "ถ้าฉันไม่สั่งให้หยุดก็ห้ามหยุด ฟาดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะขาดใจ" โค้ชคาชิวาบะสั่งลูกทีม วิธีการฝึกของเขา ทำให้สมาชิกหลายคนทนไม่ไหว โดยเฉพาะสมาชิกใหม่ ที่พร้อมใจลาออกจากชมรม และแม้ว่า อาซากุระ มินามิ จะเอาเรื่องนี้ไปบอกผู้อำนวยการ แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ทำอะไร เนื่องจากเงื่อนไขที่โค้ชคาชิวาบะตั้งเอาไว้ "เขายอมมาเป็นแทนโค้ชให้เรา โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่ยุ่งกับวิธีการฝึกของเขา ให้เขาลองทำงานนี้ดูก่อนจนกว่าโค้ชนิชิโอะ จะหายดีกลับมา" ผู้อำนวยการบอกกับมินามิ อย่างไรก็ดี แท้จริงมันเป็นความเข้าใจผิดตั้งแต่ต้น คาชิวาบะคนพี่ คาชิวาบะคนน้อง คาชิวาบะ คือคนที่เคยเป็นอดีตเอสและกัปตันชมรมเบสบอลเมอิเซอิจริง และเป็นคนที่รักและทุ่มเทให้กับเบสบอลอย่างที่โค้ชนิชิโอะพูดเอาไว้ เพียงแต่คนที่มาเป็นโค้ชชั่วคราว นั่นไม่ใช่เขา แต่เป็นน้องชายของเขา Photo :renote.jp มันเป็นความเข้าใจผิดของโค้ชนิชิโอะ ที่ตอนแรกตั้งใจจะเชิญ คาชิวาบะ เออิอิจิโร มาเป็นโค้ช แต่คนที่เขาดึงตัวมานั้นกลับเป็นคนน้องที่ชื่อ คาชิวาบะ เออิจิโร ที่ชื่อของพวกเขาคล้ายกันมาก แม้ว่า คาชิวาบะคนน้อง จะเคยเป็นสมาชิกชมรมเบสของของเมอิเซอิ เหมือนกัน แต่ฝีมือของเขาห่างไกลจากพี่ชายพอสมควร แถมนิสัยยังไปคนละทาง โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์ที่รุนแรง และเคยเกี่ยวข้องกับแก๊งอันธพาล "คุณอาเคยเล่าให้ฟังว่าเคยเรียนกับโค้ชนั่นตอน ม.ต้น และ ม.ปลาย เห็นว่าพี่น้องคู่นี้เก่งเบสบอลมาก" ฮาราดะ โชเฮอิ เล่าให้ มินามิ ฟัง "คนพี่อายุมากกว่า 3 ปี เป็นคนที่มีชื่อเสียงมากทีเดียว เอสหมายเลข 4 กัปตันที่เก่งกาจของชมรมเบสบอลเมอิเซอิ เขาเป็นคนที่รักเบสบอลจากใจจริง และทำทุกอย่างเพื่อทีม" "ในปีที่พี่ชายเรียนจบ น้องชายก็เข้าเรียนและเข้าชมรมเบสบอล กัปตันทีมในตอนนั้นเห็นแก่ความดีของคาชิวาบะคนพี่ ก็เลยให้มาเป็นมือขว้าง ถึงขนาดจะให้เป็นเอสเลยทีเดียว" "แต่ว่าคาชิวาบะ ฝีมือไม่เท่าพี่ ก็เลยไม่ได้รับการยอมรับ แถมคาชิวาบะเคยยุ่งกับพวกอันธพาล เลยทำให้เขามีปัญหาขึ้นไปอีก" การทำไม่ได้อย่างที่คนคาดหวังว่าจะเป็นเหมือนพี่ ได้กลายเป็นดาบทิ่มแทงคาชิวาบะคนน้อง เขาถูกกลั่นแกล้งจากรุ่นพี่ เพื่อบีบให้ลาออกจากชมรม จนสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวจริง ๆ และออกไปจากชมรมอย่างเจ็บปวด ด้วยเหตุนี้ทำให้ คาชิวาบะ เคียดแค้นชมรมเบสบอลเมอิเซอิมาก เขารอวันที่จะล้างแค้นมาตลอด และโอกาสก็มาโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อโค้ชนิชิโอะ ติดต่อให้เขาไปเป็นโค้ชชั่วคราวด้วยความเข้าใจผิด หลังเจ้าตัวล้มป่วยอย่างกะทันหัน ทำให้เขาตั้งใจที่จะใช้ความรุนแรงเข้ามาทำลายชมรมเบสบอลแห่งนี้ ทั้งการซ้อมสุดโหด ที่หวังบีบให้สมาชิกลาออกจนแข่งต่อไปไม่ได้ หรือการที่แทบจะไม่ได้แนะนำอะไรเลยในการซ้อมและการแข่งเพื่อให้ทีมแพ้เร็วที่สุด Photo :renote.jp "ขอให้ไอ้พวกที่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ได้เจอความผิดหวังไปตลอดชีวิต ขอให้ได้เห็นทีมเบสบอลของเมย์เซย์ เป็นตัวตลกเถอะ" คาชิวาบะ คิดในใจ ความมุ่งมั่นที่จะล้างแค้นของคาชิวาบะ นั้นรุนแรงมาก เพราะแม้แต่ตอนที่รุ่นพี่ รู้แผนการณ์ของเขา และบอกให้เลิกทำ เนื่องจากเด็กในทีมปัจจุบันไม่ได้ผิดอะไร แต่เขาก็ยืนยันว่าจะทำลายชมรมเบสบอลของเมอิเซอิต่อไป "แกคิดว่าฉันมาเป็นโค้ชให้เด็กพวกนี้ทำไม มาเพื่อทำให้พวกรุ่นพี่ชมรมเบสบอลอย่างพวกแก อับอายขายขี้หน้า จนไม่กล้าบอกใครไงล่ะ" คาชิวาบะ บอกกับรุ่นพี่ นอกจากนี้ ยังมีอีกอย่างที่เขาอยากจะทำลายเช่นกัน ตัวเองในอดีต นอกจากวิธีการซ้อมสุดโหดแล้ว การกลั่นแกล้งเอสของทีม ก็เป็นอีกวิธีที่ คาชิวาบะ นำมาใช้เพื่อหวังทำลายชมรมเบสบอลเมอิเซอิ และมันก็ทำให้ ทัตสึยะ กลายเป็นคนที่โดนโค้ชเล่นงานเป็นพิเศษ คาชิวาบะ มักจะสั่งให้ทัตสึยะ ทำอะไรที่หนักกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นแบกที่ยกน้ำหนักแล้วกระโดดไปรอบสนาม น็อคบอลซ้ำ ๆ จนล้มพับ หรือตั้งใจตีบอลอัดไปที่ตัวหรือหน้าในระหว่างซ้อม Photo :kknews.cc มันคือการตัดกำลังคีย์แมนของทีม เพราะหาก ทัตสึยะ ยอมแพ้ และขอลาออกไป ความแข็งแกร่งโดยรวมของทีมก็น่าจะลดลง และเป้าหมายในการผ่านไปเล่นโคชิเอ็งก็แทบจะปิดประตูไปได้เลย อย่างไรก็ดี ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ คาชิวาบะ ไม่ชอบหน้า ทัตสึยะ นั่นคือรู้สึกว่าทัตสึยะเหมือนเงาสะท้อนตัวเองในอดีต คาชิวาบะ มองว่าอันที่จริง ทัตสึยะ มีชะตากรรมไม่ต่างจากเขา นั่นคือการตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของพี่ชาย/น้องชายที่เก่งกว่า และทำให้ผู้คนมองข้ามตัวตนที่แท้จริงพวกเขาไป แต่ ทัตสึยะ ดีกว่าเขาตรงที่น้องชายผู้เก่งกาจคนนั้นมาเสียชีวิตไปอย่างกระทันหัน จนทำให้คนที่ด้อยกว่าอย่าง ทัตสึยะ ได้ขึ้นมาโดดเด่น ในแบบที่ คาชิวาบะ ไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสตลอดชีวิต "น้องชายที่ดีกว่าแทบทุกอย่าง ผลการเรียนเป็นเลิศ เป็นเอสตั้งแต่ปีหนึ่ง ส่วนแก เมื่อเทียบกับวีรบุรุษนั่นแล้ว ไม่มีทางโงหัวได้ตลอดชีวิต" คาชิวาบะ บอกกับ ทัตสึยะ "แต่ตอนนี้แกกลับได้เป็นเอสของเมอิเซอิ มันตายได้จังหวะพอดี สมใจแกใช่มั้ย" Photo :kknews.cc นอกจากนี้ เขามองว่า ทัตสึยะ คือคนที่ฉวยโอกาส เพราะตำแหน่งเอสที่ได้มา แท้จริงควรจะเป็นของ คาสุยะ แท้ ๆ ทัตสึยะ แค่ "โชคดี" ที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ แถมยังกลายเป็นที่สนใจจากคนรอบข้างและสื่อ จากความตายของน้องชาย "ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถึงจะแพ้แบบไหน นักข่าวก็เขียนถึงแกอย่างสวยหรู พี่ชายที่ต่อสู้อย่างห้าวหาญ เพื่อสานฝันน้องชาย" คาชิวาบะ พูดต่อ สิ่งนี้คล้ายกับเรื่องระหว่างเขากับพี่ชายในอดีต ที่เขาต้องมาเป็นผู้รับผิดแทน เออิอิจิโร พี่ชายที่ไปซิ่งรถโดยไม่มีใบขับขี่จนเกิดอุบัติเหตุ เพียงเพราะว่าพี่ชายของเขาเก่งกว่า มีความสำคัญมากกว่าในฐานะเอสของเมอิเซอิ ในขณะที่เขาต้องเผชิญกับผลกระทบที่เลวร้ายหลังจากนั้น "ผู้ที่สมควรรับผิดชอบที่แท้จริง ไม่ใช่คาชิวาบะคนน้องทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่เป็นคนพี่ที่ทำ ในตอนนั้นทีมชนะตัวแทนเขตด้วย คาชิวาบะ คนน้องเลยตัดสินใจยอมรับว่าเป็นคนทำ เพื่อพี่ชายของตัวเอง และเพื่อเบสบอลเมอิเซอิ" ฮาราดะ เล่าเรื่องในอดีตของโค้ชคาชิวาบะให้ มินามิ ฟัง "ในตอนนั้น คาชิวาบะ คนน้อง นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อชมรมเบสบอล แต่ว่าเมื่อผู้มีพระคุณคนนั้น เข้าโรงเรียนและเข้าชมรมเบสบอล เพื่อต่อความฝันของพี่สู่โคชิเอ็ง แต่เรื่องอุบัติเหตุนั้นทำให้เขาได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชาจากคนในชมรม จนต้องเลิกเล่นและออกไป" Photo :kknews.cc และมันก็กลายเป็นปมในใจเขามาตลอด เป็นความเจ็บปวดของการเป็นเบอร์ 2 เพราะไม่เพียงแต่ถูกนำไปเปรียบเทียบเท่านั้น แต่กลับต้องมาเป็นแพะรับบาปกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ เพื่อให้พี่ชาย ได้เฉิดฉายต่อไป ทำให้ คาชิวาบะ รู้สึกทนไม่ได้กับการมีอยู่ของ ทัตสึยะ ในทีม เพราะทั้งที่ตอนแรกมีชะตากรรมไม่ต่างจากเขา แต่กลับหลุดพ้น และก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นของทีม เขาจึงตั้งใจที่จะทำลายเอสคนนี้เช่นเดียวกับชมรมเบสบอลเมอิเซอิ ด้วยการกดดันและบีบบังคับให้ทำตามเงื่อนไขยาก ๆ เช่นไม่ยอมให้ลงเล่นเป็นพิชเชอร์ตัวจริง หรือขู่ว่าจะเปลี่ยนตัวหากทำพลาดเกิน 3 ครั้ง อย่างไรก็ดี มันกลับไม่ได้ผล เพราะ ทัตสึยะ กับเขาไม่เหมือนกัน พี่น้องที่รักกัน มองอย่างผิวเผิน ทัตสึยะ และ คาสุยะ อาจจะดูเป็นคู่แข่งกัน ทั้งในสนามเบสบอลและสนามความรัก แต่ความเป็นจริงมันไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย เพราะ ทัตสึยะ รักน้องชายของเขาสุดหัวใจ Photo :renote.jp ทัตสึยะ เลือกที่จะอยู่ใต้ร่มเงาของน้องชาย ด้วยการเสียสละไม่ลงแข่งทั้งในสนามกีฬา และสนามหัวใจ เขาตัดสินใจเล่นกีฬาชนิดอื่น ทั้งที่มีพรสวรรค์ในด้านเบสบอล ในขณะที่เรื่อง มินามิ เขาก็หลีกทางให้ เพราะรู้ว่านี่คือคนที่น้องชายรัก แม้ว่า มินามิ จะรักเขาก็ตาม ทำให้พวกเขาแตกต่างจากพี่น้องคาชิวาบะ และไม่ว่าคนจะเอา ทัตสึยะ ไปเปรียบเทียบกับน้องชายที่เก่งกว่าแค่ไหน แต่เขาก็ยืนยันว่านี่คือตัวเขา ทัตสึยะ ไม่ใช่ คาสุยะ แม้ว่าเขาจะเป็นฝาแฝด มีใบหน้า หรือท่วงท่าที่คล้ายกันมากแค่ไหน นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ทำให้ ทัตสึยะ ขึ้นมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ ก็เพราะความรักที่เขามีต่อ คาสุยะ เขาอยากจะทำให้ฝันของน้องชายเป็นจริง นั่นคือการพาทีมเข้าไปเล่นในโคชิเอ็ง และทำให้เขาพยายามฝึกซ้อมตามโค้ชสั่ง ไม่ว่าจะหนักแค่ไหนก็ตาม "ฉันจะเป็น อุเอสึกิ ทัตสึยะ ที่เหลวไหลแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉันต้องพาแกไปโคชิเอ็งให้ได้ ใช่ไหม คาสุยะ" ทัตสึยะพูดในใจ Photo :nemlog.nem.social มันคือสิ่งที่ทำให้ คาชิวาบะ ไม่สามารถทำลาย ทัตสึยะ ลงได้ ในทางกลับกันกลับยิ่งทำให้พวกเขาไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น เมื่อวิธีการของเขาที่ไม่ได้เกลียดเบสบอลจริง ๆ ได้ทำให้มัธยมเมอิเซอิ ผ่านเข้าไปเล่นในโคชิเอ็งได้สำเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่าง ทัตสึยะ กับ คาชิวาบะ จึงกลายเป็นภาพสะท้อนชั้นดีของคนที่ต้องตกอยู่ในฐานะเบอร์ 2 ว่าสุดท้ายจะเลือกทำแบบไหน หากตกอยู่ในสถานการณ์นี้ จะนั่งเฉย ๆ คอยอิจฉาคนที่ได้เป็นเบอร์ 1 แบบคาชิวาบะ หรือถีบตัวเองเพื่อให้พ้นร่มเงาของคนที่เก่งกว่าแบบทัตสึยะ แบบไหนที่จะไม่มานั่งเสียใจภายหลัง ทุกคนน่าจะรู้ดี แหล่งอ้างอิง https://bibi-star.jp/posts/13306http://www.theanimereview.com/reviews/touch3.htmlhttps://www.otaquest.com/why-the-touch-anime-was-popular-in-the-80s/https://baseballcontinuum.com/2016/01/29/blogathon-16-international-baseball-culture-mitsuru-adachis-touch-part-1-which-ironically-doesnt-have-much-baseball-in-it/https://honeysanime.com/top-manga-by-mitsuru-adachi/ ------------------------------------------------- ข่าวที่เกี่ยวข้อง Dunkman : รองเท้าของ "แชค" ที่ก็อป Air Jordan มาทั้งดุ้น แต่ขายได้มากกว่าร้อยล้านคู่ เหตุผลที่แท้จริง : ทำไม มาร์คัส แรชฟอร์ด ถึงได้ขึ้นปกนิตยสาร TIME ? ------------------------------------------------- ดูสดฟรี!! ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ทุกสัปดาห์ พร้อมกีฬาชั้นนำระดับโลกแบบจัดเต็ม ต้อง App TrueID เท่านั้น รวมข้อมูลแก้ไขปัญหาการใช้งาน รับชม หรือโปรโมชันกิจกรรมต่างๆ คลิกที่นี่ เก็งไม่มีพลาด! ฟันธงคู่ไหนเด็ด! เจาะลึกก่อนเกมพรีเมียร์ลีก สมัครทาง SMS พิมพ์ R1 ส่งมาที่ 4238066 หรือคลิกที่แบนเนอร์ด้านล่างนี้ใช้ฟรี 7 วัน!!!!

2 ทศวรรษจากคลิปสั้น "Me at the Zoo" สู่ จุดเริ่มต้น YouTube
อ่าน

2 ทศวรรษจากคลิปสั้น "Me at the Zoo" สู่ จุดเริ่มต้น YouTube

วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2548 นับเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สื่อดิจิทัล เมื่อจาวิด คารีม (Jawed Karim) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง ได้อัปโหลดวิดีโอความยาว 19 วินาทีภายใต้ชื่อ "Me at the Zoo" สู่แพลตฟอร์มใหม่ที่เขาและเพื่อนร่วมก่อตั้งสตีฟ เฉิน (Steve Chen) และแชด เฮอร์ลีย์ (Chad Hurley) ได้บ่มเพาะขึ้น นั่นคือ YouTube เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งการรับชมและแบ่งปันวิดีโอผ่านระบบออนไลน์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน จากจุดเริ่มต้นด้วยคลิปวิดีโอธรรมดา ณ สวนสัตว์ซานดิเอโก YouTube ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2549 บริษัทได้ถูก Google เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่า 1.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 61,050 ล้านบาท ในช่วงเวลาเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา YouTube ได้วิวัฒนาการจากเว็บไซต์สำหรับการแบ่งปันวิดีโอสู่การเป็นจักรวรรดิสื่อระดับโลกที่มีอิทธิพลอย่างมหาศาล นักวิเคราะห์จากมอฟเฟตต์นาธานสัน (MoffettNathanson) บริษัทวิเคราะห์ทางการเงินและการลงทุนที่มีชื่อเสียง ประเมินว่า หาก YouTube เป็นธุรกิจอิสระ จะมีมูลค่าระหว่าง 475 ถึง 550 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 17.575 ถึง 20.35 ล้านล้านบาทและข้อมูลจากซิมิลาห์เว็บ (Similarweb) แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล ระบุว่า YouTube เป็นเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกรองจาก Google เท่านั้น และนับถึงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีวิดีโอมากกว่า 2 หมื่นล้านรายการ ซึ่งครอบคลุมทั้งดนตรี วิดีโอสั้น (Shorts) พอดแคสต์ และอื่น ๆ ได้ถูกอัปโหลดสู่แพลตฟอร์มดังกล่าว และไมเคิล นาธานสัน (Michael Nathanson) หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งมอฟเฟตต์นาธานสัน (MoffettNathanson) กล่าวว่า "นี่คือผู้ชนะในตลาดสตรีมมิ่ง Youtube ไม่จำเป็นต้องลงทุนในเนื้อหา เพียงแต่หวังว่าชุมชนครีเอเตอร์จะเข้ามาสร้างธุรกิจของพวกเขาบนแพทฟอร์มด้วยตัวเอง"อีกทั้งยังคาดการณ์ว่า YouTube มีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทสื่อที่มีรายได้มากที่สุดภายในปี พ.ศ. 2568 แซงหน้า Disney เสียอีกการเติบโตของบริการวิดีโอนี้มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากบริการสมัครสมาชิก Premium, Music และ YouTube TV Nathanson ประมาณการว่า YouTube Premium และ Music มีผู้สมัครสมาชิกรวมกันประมาณ 107 ล้านราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 145 ล้านรายภายในสิ้นปี พ.ศ. 2570 ในขณะเดียวกัน YouTube TV คาดว่าจะมียอดผู้สมัครสมาชิกประมาณ 11.5 ล้านรายภายในสิ้นปีเดียวกันย้อนกลับไปในยุคบุกเบิก ภาพของ YouTube นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากปัจจุบัน วิดีโอแรก "Me at the Zoo" มีความยาวเพียง 19 วินาที ที่ จาวิด คารีม (Jawed Karim) ยืนอยู่หน้าช้าง ณ สวนสัตว์ซานดิเอโก วิดีโอถัดมาและวิดีโออื่น ๆ ในช่วงแรกแสดงให้เห็นถึงความง่ายในการเข้าถึงของแพลตฟอร์ม ใคร ๆ ก็สามารถสร้างและอัปโหลดวิดีโอได้ แม้ว่าเนื้อหาจะดูธรรมดาเพียงใดก็ตาม และต่อมา TikTok กลายเป็นผู้นำตลาดวิดีโอสั้นในปัจจุบัน การเติบโตของ TikTok ทำให้แพลตฟอร์มอื่น ๆ รวมถึง YouTube ต้องปรับตัวและเปิดตัวฟีเจอร์วิดีโอสั้นของตนเองอย่าง Shorts Shorts ในปัจจุบันมีความแตกต่างจากวิดีโอ YouTube ในยุคแรกอย่างมาก โดยมักมีการวางแผนและการผลิตที่ซับซ้อนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไป YouTube ยังคงเป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับผู้สร้างเนื้อหา และยังคงพยายามพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงผู้ชม นอกจากความสำเร็จและการเติบโต YouTube ยังคงเผชิญกับความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างและการดำเนินงานของแพลตฟอร์มในอนาคต การตัดสินของศาลรัฐบาลกลางเมื่อไม่นานมานี้ที่ระบุว่า Google มีอำนาจผูกขาดในตลาดโฆษณาออนไลน์อย่างผิดกฎหมาย อาจนำไปสู่มาตรการแก้ไขที่ส่งผลกระทบต่อ YouTube ได้ อย่างไรก็ตาม YouTube ได้ปฏิวัติวงการสื่อออนไลน์อย่างแท้จริง และยังคงเป็นผู้เล่นหลักที่มีอิทธิพลอย่างมากในการแข่งขันในยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเดินทางจากคลิปวิดีโอสั้นๆ สู่จักรวรรดิสื่อระดับโลกแสดงให้เห็นถึงพลังของการเปิดกว้าง การเข้าถึง และการสร้างสรรค์ของชุมชนออนไลน์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ YouTube ได้บ่มเพาะมาตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา

เปิดประวัติ แตงโม Take Me Out หนุ่มทรงแบดส่งตรงจาก USA
อ่าน

เปิดประวัติ แตงโม Take Me Out หนุ่มทรงแบดส่งตรงจาก USA

เป็นกระแสร้อนในช่วงข้ามคืนสำหรับ หนุ่มโสด ที่มาออกรายการ Take Me Out แตงโม หนุ่มทรงแบดอายุ 22 ปี ที่ถูกสาวๆกดปิดไฟใส่รัวๆจนโดน BLACK OUT จากทัศนคติบางอย่างที่สาวๆส่วนใหญ่ไม่ชอบกันสักเท่าไร เรามาดูประวัติของหนุ่มโสดรายนี้กันว่ามีที่มาอย่างไรบ้างประวัติ แตงโม Take Me Outแตงโม มี ชื่ออังกฤษว่า จูเลียน เป็นชาวอเมริกันมาจากเมืองซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย โดยเจ้าตัวเคยเปิดเผยผ่านช่องยูทูป American Thai guy โดยเจ้าตัวบอกว่าที่ชื่อแตงโม เนื่องจากไม่อยากถูกเรียกว่าฝรั่ง เลยชื่อแตงโมแทน เนื่องจากเรียกได้ง่ายๆซึ่งแตงโมบอกเหตุผลที่ย้ายมาอยู่ไทย เพราะเคยเป็นเด็กดื้อเกเร เรียนไม่จบ ตนเองรู้สึกว่าอเมริกากำลังจะแย่ เลยติดตามลุงมาที่ประเทศไทย เพราะลุงอยู่นี่มานาน 10 ปีแล้ว โดยตนเองนั้นเป็นฝรั่ง 100% ไม่ใช่ลูกครึ่ง ตนเองมีเพื่อนเป็นคนไทยหลายคนก็เลยฝึกฝนภาษาไทยจนพูดได้" style="height: 370px;">โดยปัจจุบัน แตงโม มีช่องยูทูปส่วนตัว Tangmo Talking และ ช่องทางการติดตามบน TikTok : tangmoracing คาดว่า แตงโม เป็นที่รู้จักมากขึ้นคือคลิปใน TikTok ของช่อง englishplease14feb ในคลิปที่มีชื่อว่า แตงโมรู้สึกยังไงบ้างที่ได้กลับมาไทย หลังจากกลับไปอยู่อเมริกามา 2 เดือน ซึ่งมียอดวิวกว่า 6.8 ล้านวิวเลยทีเดียว ทั้งนี้ปัจจุบัน เจ้าตัวได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันนานถึง 5-6 ปีแล้ว" style="height: 810px;">p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 13.0px Thonburi} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; font: 13.0px 'Helvetica Neue'} span.s1 {font: 13.0px 'Helvetica Neue'} span.s2 {font: 13.0px Thonburi}ข้อมูลจาก:รวบรวมโดยTNNภาพจาก :IG tangmoracing

ฟีเจอร์ AI ‘Help me write’ ในแอป Gmail กำลังทยอยอัปเดตลง Android และ iOS
อ่าน

ฟีเจอร์ AI ‘Help me write’ ในแอป Gmail กำลังทยอยอัปเดตลง Android และ iOS

ฟีเจอร์ ‘Help me write’ สั่งให้ AI ช่วยเขียนอีเมลตามคำอธิบายพร้อมใช้งานแล้วบนแอปพลิเคชัน Gmail และล่าสุดกำลังทยอยอัปเดตให้กับผู้ใช้ระบบ Android และ iOS หลังจากการประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ Help me write ในงานประชุมนักพัฒนา Google I/O 2023 เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาที่ผู้ใช้สามารถสั่งให้ AI ช่วยคิด และพิมพ์เนื้อหาอีเมล Gmail ตามคำอธิบาย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการปล่อยอัปเดตใช้งานฟีเจอร์ Help me write Gmail บนเวอร์ชันเว็บไซต์ให้กับผู้ใช้ที่ลงทะเบียนทดลอง Workspace Lab การปล่อยอัปเดตฟีเจอร์ Help me write ในเวอร์ชันแอปพลิเคชัน Android และ iOS จะมีวิธีการใช้งานแบบเดียวกันในเวอร์ชันเว็บไซต์ โดยตัวปุ่ม Help me write จะอยู่มุมขวาล่าง และเมื่อกดปุ่มคำสั่งจะมีกล่องข้อความให้ผู้ใช้สามารถใส่คำอธิบายที่ต้องการใช้ AI ช่วยเขียนเนื้อหาอีเมลออกมาโดยอัตโนมัติ แต่เป็นที่น่าเสียดายฟีเจอร์นี้ยังรองรับการใช้งานกับภาษาอังกฤษเท่านั้นในตอนนี้ ที่มา : 9to5google

LAVA ME PRO กีตาร์คาร์บอนไฟเบอร์ ผลงานชนะเลิศ iF Product Design Award 2021
อ่าน

LAVA ME PRO กีตาร์คาร์บอนไฟเบอร์ ผลงานชนะเลิศ iF Product Design Award 2021

Carbon Fiber เป็นวัตถุดิบที่ได้ทำให้กีตาร์กลายเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม มันสามารถเพื่มอายุการใช้งานให้กีตาร์ได้นานขึ้นมากถึง 4 เท่า ทำให้เสียงมีเอกลักษณ์มากขึ้น เป็นการยกระดับเสียงอะคูสติกขึ้นไปอีกขั้น และที่โดดเด่นที่สุด คือมันได้กลายเป็นกีตาร์แบบหนึ่งเดียวที่ไม่มีกระบวนการประกอบเกิดขึ้น (ไม่มีการใช้กาว เหล็กดัด หรืออุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติมใด ๆ)LAVA ME PRO คือกีตาร์เพียงชิ้นเดียวในโลกที่ทำขึ้นจาก Carbon Fiber สำหรับใช้เพื่อส่งเข้าประกวดในงาน iF Product Design Award 2021 โดยเฉพาะ LAVA ME PRO มีรูปลักษณ์เป็นกีตาร์แบบหนึ่งเดียวที่ไม่มีกระบวนการประกอบ ขึ้นรูปโดยใช้ Carbon Fiber ทั้งหมด ทำให้มันไม่มีรอยต่อ คงทน และน้ำหนักเบามากขึ้นเป็นอย่างมาก และแม้ LAVA ME PRO จะเป็นกีตาร์อะคูสติก มันมาพร้อมกับปิ๊กอัพที่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นกีตาร์ไฟฟ้าได้ มีแผงควบคุมปรีแอมป์และปิ๊กอัพอยู่ที่ด้านบนของตัวกีตาร์ ทำให้เราสามารถปรับแต่งเสียงได้อย่างละเอียดตามที่ต้องการด้วย Carbon Fiber ทำให้ LAVA ME PRO มีเสียงที่ดังและคมชัดมาก ๆ โดดเด่นในลักษณะกึ่งอะคูสติก ที่มีความเป็นทั้งกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า ตัวโครง Carbon Fiber ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโครงสร้างรังผึ้งที่เบา แต่คงทน ซึ่งถูกนำไปใช้ในการผลิตเครื่องบิน LAVA ME PRO ได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวด iF Product Design Award 2021iF Product Design Award 2021 เป็นงานประกวดที่มีประวัติยาวนานมากว่า 65 ปี โดยเริ่มจัดครั้งแรกตั้งแต่ปี 1950 โดยเป็นงานที่จะให้เราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ โครงการ หรือไอเดียต่าง ๆ ตามใจตัวเรา สามารถดูผลงานทั้งหมดได้ที่นี่[คลิก]แหล่งที่มาyankodesign.com

“ASW” ผนึก “MEA” ติดตั้งนวัตกรรมอัจฉริยะ PLUG ME EV รับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า
อ่าน

“ASW” ผนึก “MEA” ติดตั้งนวัตกรรมอัจฉริยะ PLUG ME EV รับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า

#ทันหุ้น - แอสเซทไวส์ ต่อยอดแนวคิด GrowGreen จับเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้า ผนึกกำลัง การไฟฟ้านครหลวง (MEA) ติดตั้งเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ด้วยนวัตกรรมใหม่ล่าสุด PLUG ME EV เพื่อยกระดับการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้าน ชูจุดเด่นสะดวกสบาย - ลดค่าใช้จ่าย และมีจุดให้บริการมากถึง 12 ช่องจอด พร้อมนำร่องติดตั้งเป็นครั้งแรกที่โครงการ แอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช คอนโดมิเนียมใหม่สไตล์รีสอร์ท เตรียมพร้อมขยายการให้บริการไปยังโครงการอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต นายวุฒิ วิพันธ์พงษ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารความยั่งยืนทางธุรกิจและสิ่งแวดล้อม บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW กล่าวว่า เทรนด์การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV Car) ในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น เห็นได้จากข้อมูลสถิติการจดทะเบียนรถไฟฟ้า 100% ในปี 2023 ที่มีเกือบ 80,000 คัน เพื่อรองรับเทรนด์การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรงในขณะนี้ แอสเซทไวส์จึงได้จับมือกับ การไฟฟ้านครหลวง นำเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) นวัตกรรมใหม่ล่าสุด PLUG ME EV เข้ามาติดตั้งเป็นที่แรกในโครงการ แอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช คอนโดมิเนียมใหม่สไตล์รีสอร์ท ที่ปัจจุบันมีลูกบ้านเข้าอยู่อาศัยแล้ว เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับลูกบ้านแอสเซทไวส์ ในการเข้าถึงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นแนวคิดการพัฒนาธุรกิจแบบยั่งยืน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนวัตกรรมนี้สอดคล้องกับความตั้งใจของแอสเซทไวส์ ภายใต้แนวคิด GrowGreen ด้าน Energy Efficiency และ Clean Air ที่ส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าทดแทน และยังช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ที่มีการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยคำนึงถึง ESG ในทุกมิติ ตลอดจนเป็นสนับสนุนนโยบายในระดับประเทศที่ส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้มากขึ้น การร่วมมือในครั้งนี้ ถืออีกหนึ่งความใส่ใจในการพัฒนาโครงการของแอสเซทไวส์ ที่มีแนวคิด We Build Happiness เพื่อสร้างความสุขให้กับลูกบ้าน เรามีความมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตในการอยู่อาศัยของลูกบ้านให้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยนวัตกรรม PLUG ME EV ของ MEA นั้น ยังเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่มีระบบอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าในคอนโดมิเนียม ที่มีจำนวนผู้พักอาศัยเป็นจำนวนมาก โดยได้ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าในโครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช มากถึง 12 ช่องจอด ซึ่งรองรับการชาร์จในรูปแบบ Smart Chargingที่สามารถจัดการพลังงานในสถานีชาร์จให้เหมาะสมกับการใช้ไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลาของโครงการให้มีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งลูกบ้านสามารถชาร์จรถได้ข้ามคืน โดยการชาร์จในลักษณะนี้เป็นการช่วยถนอมแบตเตอรี่โดยไม่ให้เกิดความร้อนมากเท่ากับการชาร์จเร็ว และการบริหารสถานีชาร์จยังดำเนินการโดยนิติบุคคลของโครงการ ซึ่งสามารถคิดค่าบริการได้ถูกกว่าสถานีชาร์จภายนอก อีกทั้งยังเป็นรายได้ของนิติบุคคลอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายการติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ไปยังโครงการต่าง ๆ ในอนาคต เพื่อรองรับการขยายตัวการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยอนุรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม สู่การอยู่อาศัยที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืนต่อไป นายวุฒิ กล่าว ด้านนายจาตุรงค์ สุริยาศศิน รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง หรือ MEA กล่าวว่า การร่วมมือกับแอสเซทไวส์ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในการเข้ามาติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ภายใต้นวัตกรรม PLUG ME EV ในรูปแบบที่อยู่อาศัยประเภทกลุ่มอาคารคอนโดมิเนียม และยังเป็นการขยายพื้นที่การให้บริการของการไฟฟ้านครหลวงให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกบ้านของแอสเซทไวส์ และผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป โดยนวัตกรรม PLUG ME EV รูปแบบโมเดลหัวชาร์จ Type-2 ขนาดพิกัด 7.4 กิโลวัตต์เป็นระบบอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นที่อาคารสำนักงานหรืออาคารชุดที่ใช้ 1 ชุดควบคุมในการควบคุมและบริหารจัดการหัวชาร์จประจำช่องจอดรถยนต์ไฟฟ้า สามารถขยายจำนวนได้สูงสุด 32 หัวชาร์จ เหมาะกับพื้นที่อาคารสำนักงานหรือคอนโดมิเนียมที่มีผู้ใช้งานรถ EV จำนวนมาก โดยที่ Plug ME EV ยังสามารถปรับการใช้พลังงานในระบบไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และผู้ใช้บริการสามารถมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย อีกทั้งยังได้รับประสิทธิภาพจากการใช้งานสูงสุดอีกด้วย นายจาตุรงค์ กล่าว

Daihatsu เปิดตัวรถยนต์ “me: MO” ปรับแต่งได้ตามใจด้วยชิ้นส่วนพิมพ์ 3 มิติ
อ่าน

Daihatsu เปิดตัวรถยนต์ “me: MO” ปรับแต่งได้ตามใจด้วยชิ้นส่วนพิมพ์ 3 มิติ

จะดีแค่ไหนถ้ารถยนต์ที่เราขับอยู่ทุกวันนี้ สามารถปรับแต่งหน้าตาให้เข้ากับสไตล์เจ้าของได้อยู่เรื่อย ๆ และนี้คือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่พัฒนาด้วยแนวคิดดังกล่าว ในชื่อว่า มีโม (me:MO) จากแบรนด์รถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ไดฮัทสุ (Daihatsu) โดยนำเสนอต้นแบบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่สามารถปรับแต่งโมดูลชิ้นส่วนแบบพิมพ์ 3 มิติได้ตามต้องการภาพจาก Daihatsume:MO เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบ BEV ซึ่งย่อมาจาก Battery Electric Vehicleหรือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีเครื่องยนต์สันดาป โดยบริษัทได้อกแบบให้ตัวรถมีขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองสำหรับจุดเด่นของรถคันนี้ ก็คือการออกแบบให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ เป็นโมดูลแบบพิมพ์ 3 มิติ ที่ทำให้เจ้าของรถ สามารถสั่งปรับแต่งชิ้นส่วนเหล่านี้ได้ทั้งภายในและภายนอก อีกทั้งยังสามารถเลือกปรับรูปแบบเบาะในห้องโดยสารตามความต้องการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งเบาะเดี่ยว หรือเบาะสำหรับครอบครัว ทำให้ตัวรถดูมีเอกลักษณ์ตามสไตล์ของผู้ใช้งานมากขึ้นภาพจาก Daihatsuซึ่งบริษัทมองว่าการออกแบบตัวรถให้สามารถถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนโมดูลต่าง ๆ ได้ง่ายนี้ จะช่วยเรื่องความยั่งยืนในการใช้งานระยะยาวของรถ เนื่องจากผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งตัวรถ ให้เหมาะกับการใช้งานหรือความชอบได้เรื่อย ๆสำหรับสเปกของรถคันนี้ จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 2 ประตูขนาดกะทัดรัด โดยมีความยาวตัวรถอยู่ที่ 2.9 เมตร กว้าง 1.4 เมตร และสูง 1.5 เมตร และคาดว่าจะใช้ระบบส่งกำลังที่ให้ระยะทางวิ่งได้สูงสุดอยู่ที่ 160 กิโลเมตรภาพจาก Daihatsuอย่างไรก็ตามทางบริษัท Daihatsu ยังไม่ได้เผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์คันนี้ เช่น มอเตอร์ ขนาดแบตเตอรี่ หรือราคาจำหน่ายออกมา แต่ได้นำต้นแบบรถยนต์คันนี้ ไปเผยโฉมเรียกน้ำย่อยกันแล้วในงาน Japan Mobility Show 2023งานแสดงยานยนต์ครั้งใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นในกรุงโตเกียว ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาข้อมูลจากinterestingengineering, ubergizmo

งานเข้า...อาร์มี แฮมเมอร์ นักแสดง Call Me By Your Name ถูกตำรวจสอบคดีข่มขืน!!!
อ่าน

งานเข้า...อาร์มี แฮมเมอร์ นักแสดง Call Me By Your Name ถูกตำรวจสอบคดีข่มขืน!!!

รอยเตอร์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม มีหญิงสาวชื่อ เอฟฟี่ ออกมากล่าวหาว่าถูก อาร์มี แฮมเมอร์ นักแสดงอเมริกันวัย 34 จากภาพยนตร์เรื่อง The Social Network และ Call Me By Your Name ข่มขืนเธอเมื่อ 4 ปีที่แล้วในลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ขณะที่ตำรวจเปิดเผยว่า ระหว่างนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจลอสแองเจลิสกำลังสอบสวนหาข้อเท็จจริงอยู่ อย่างไรก็ตาม ทนายความของแฮมเมอร์ ออกมาปฎิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และว่าเป็นการกล่าวหาที่ รุนแรง ทั้งยังว่าการมีเพศสัมพันธ์ของลูกความตนกับเอฟฟี่เป็นไปด้วยความสมัครใจของทั้งคู่ รอยเตอร์ เล่าว่าข้อกล่าวหาข่มขืนที่กลายเป็นข่าวตอนนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือนมกราคม ปี 2564 มีผู้หญิงหลายรายออกมากล่าวหาว่าถูกแฮมเมอร์ทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจ และว่า นักแสดงนายนี้ได้โพสต์แชร์จินตนาการทางเพศที่รุนแรง ขณะที่ตอนนั้นแฮมเมอร์ ได้ออกมาพูดว่าเขาจะไม่ตอบโต้กับสิ่งที่เขาขอเรียกว่า การโจมตีทางออนไลน์ที่เลวร้าย แต่ผลของการกล่าวหาต่างๆนั้น ก็ส่งผลให้แฮมเมอร์ถูกตัวแทนของเขาบอกเลิกทำงานด้วย และชวดงานแสดงภาพยนตร์ไป 2 เรื่อง ทั้งนี้รอยเตอร์ ระบุว่า ผู้หญิงที่ระบุว่าตัวเธอชื่อเอฟฟี่ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคมว่า เธอมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแฮมเมอร์มา 4 ปี ซึ่งระหว่างนั้นแฮมเมอร์ยังแต่งงานอยู่กินกับ เอลิซาเบธ แชมเบอร์ พิธีกรรายการทีวี ซึ่งตอนนี้แยกทางกันแล้ว เมื่อวันที่ 24 เมษายน ปี 2560 อาร์มี แฮมเมอร์ ข่มขืนฉันอย่างทารุณในลอสแองเจลิสนานกว่า 4 ชั่วโมง ระหว่างนั้นเขาจับหัวฉันกระแทกกับกำแพง ทำให้ใบหน้าฉันฟกช้ำ เขายังกระทำรุนแรงต่อฉันอีกหลายอย่าง ซึ่งฉันไม่ได้สมัครใจ เอฟฟี่ วัย 24 บอก กลอเรีย ออลเรด ทนายของเอฟฟี่ เปิดเผยว่า ลูกความของเธอได้ให้หลักฐานแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ขณะที่เอเอฟพี อ้างโฆษกตำรวจแอลเอ เปิดเผยว่า แฮมเมอร์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในคดีข่มขืน ซึ่งมีการแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ รวมทั้งไม่เปิดเผยด้วยว่า ใครเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดี เอเอฟพี รายงานว่า หญิงสาวในคลิปวิดีโอที่ที่เผยเมื่อวันที่ 18 มีนาคมเล่าทั้งน้ำตาตอนหนึ่งว่า ระหว่าง 4 ชั่วโมงนั้น ฉันพยายามจะหนี แต่เขาไม่ยอมปล่อยฉันไป ฉันคิดว่าเขากำลังจะฆ่าฉัน แต่จากนั้นเขาก็จากไปโดยไม่เป็นห่วงเลยว่า ฉันจะเป็นยังไง แอนดรูว์ เบร็ตเลอร์ ทนายของแฮมเมอร์ มีแถลงการณ์ว่า นับแต่วันแรก คุณแฮมเมอร์ยืนยันว่าทุกการติดต่อของเขากับเอฟฟี่ และกับคู่นอนคนอื่นๆของเขาเป็นไปด้วยความสมัครใจและมีการพูดคุยตกลงกันก่อนแล้ว และเป็นการกระทำที่ต่างรับรู้ สมยอมร่วมกัน เอเอฟพี เล่าว่า หญิงชื่อเอฟฟี่ ซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในยุโรป รู้จักกับแฮมเมอร์ทางเฟซบุ๊กเมื่อปี 2559 และตกหลุมรักนักแสดงหนุ่ม หลังจากออกมาเปิดเผยเรื่องถูกข่มขืน เธอบอกว่าเธอต้องเผชิญกับความทุกข์ และเคยคิดอยากฆ่าตัวตาย ทั้งยังรู้สึกผิดที่ไม่ได้ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เร็วกว่านี้ และหวังว่าแฮมเมอร์จะต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น