TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “My Engineer〜華麗なる工学部〜” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
"น้องรามสุดนิ่ง กับพี่คิงสุดหล่อ" จากซีรีส์ My Engineer มีช็อปมีเกียร์มีเมียรึยังวะ
วันนี้เราก็มีคู่วายจากซีรีส์ "My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ" มาแนะนำให้ทุกคนไปดูฟิน ๆ กันอีก 1 คู่ นั่นก็คือ น้องรามสุดนิ่ง กับพี่คิงสุดหล่อ โดย "ราม" ที่รับบทโดย หนุ่มเพิร์ธ "นคุณ สเกร" ที่จะเป็นคนนิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดกับใคร นอกจากกลุ่มเพื่อน ๆ แล้วก็จะหวง "เดือนหนาว" เป็นพิเศษ เพราะ "ราม" เห็น "เดือนหนาว" เป็นเพื่อนที่บอบบาง ส่วน "คิง" ที่รับบทโดย หนุ่มเล "ทะเล สงวนดีกุล" ที่จะเป็นรุ่นพี่คณะเดียวกันกับ "ราม" และเป็นพี่ที่สุดเก่งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่เรียนเก่งจนเพื่อน ๆ ทั้งคณะ ต้องมอบมงเรียนดีให้เลยทีเดียวนิสัยของเขาทั้งสองคนนั้น ต่างกันอย่างสิ้นเชิง "คิง" ชอบต้นไม้มาก พูดกับต้นไม้ทุกต้นที่เขาปลูก แต่เขากลัวสุนัขสุด ๆ แถมยังชอบพูดคุยกับรุ่นน้องแบบกันเองสุด ๆ ส่วน "ราม" ชอบสุนัขมาก และชอบให้อาหารสุนัขที่มหาวิทยาลัยทุกวัน แต่เขาไม่ค่อยพูดจากับใคร ถ้าไม่สนิทจริง ๆ เห็นนิ่ง ๆ แบบนี้ก็ใจดีมาก #เทพคิง #รามคิง เหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่ได้รู้จักกัน ก็เพราะว่าเพื่อนของ "คิง" นัดน้อง ๆ มาประชุมเรื่องการทำค่ายจิตอาสา ทีแรก "คิง" ก็จะลุกกลับบ้านแล้ว แต่พอน้อง ๆ ที่สนใจจะทำค่ายเดินเข้ามาประชุม "คิง" ก็มองไปเห็น "ราม" พอดี ทำให้ "คิง" รู้สึกว่าคนนี้แหล่ะ คือคนที่เขาตามหา พอประชุมเรื่องค่ายอาสาเสร็จ น้อง ๆ ก็พากันกลับ "คิง" จึงถามเพื่อนของเขาว่าน้องที่นั่งนิ่ง ๆ ไม่พูดไม่จากับใคร เป็นใคร ชื่ออะไร เพื่อนของเขาจึงบอกว่า "ไอ้คิงเป็นน้องรหัสกูเอง มันไม่ค่อยพูดกับใครหรอก แต่ถ้าจะทำความรู้จักกับมัน ก็ยากอยู่นะ กว่ากูจะรู้ชื่อมันก็ 3 วันอะ"พอ "คิง" ได้ยินแบบนั้น เขาก็เริ่มมีความสนใจ "ราม" ขึ้นมาทันที เพราะเขาอยากทำความรู้จักกับ "ราม" ให้มากขึ้น "คิง" ได้ตั้งชื่อให้ "ราม" ว่านิ่ง เพราะ "ราม" ไม่พูดกับเขาเลย มาลุ้นกันว่า "คิง" จะทำให้ "ราม" พูดกับเขาเป็นประโยคยาว ๆ ได้หรือไม่ เพื่อน ๆ ก็สามารถมาลุ้นด้วยกันได้ในซีรีส์เรื่อง "My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ" ได้ทางแอปพลิเคชัน We TV ทุกวันเสาร์ เวลา 20.00 น. รับรองว่าฟินสุด ๆ ไปกับความน่ารักของเขาทั้ง 2 คนแน่นอน ^^ภาพที่ 1 จาก Instagram : laylayyoภาพที่ 2 จาก Instagram : perth_ssขอบคุณภาพหน้าปกจาก We TV thailand และภาพประกอบ 3 - 5 จาก Trailer ละครไทย | My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ(My Engineer)
Normalism • 8 พ.ค. 63
อ่าน
My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ (WeTV)
เรื่องย่อ My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ (WeTV) อัพเดทตอนใหม่ทุกวันเสาร์ เวลา 20.00 น.
เรื่องย่อละคร • 2 เม.ย. 63
อ่าน
รีวิว My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ
- ซีรีส์ฉายผ่านทาง WeTV- กำกับโดย ผดุง สมาจาร (ลิท) My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ เป็นเรื่องราวความรักในรั้วมหาลัยของนักศึกษา ดำเนินเรื่องไม่ซับซ้อนย่อยง่าย สามารถเข้าใจได้ทันทีขณะรับชมโดยไม่ต้องค่อยตีความให้ปวดหัว ซึ่งจุดนี้ช่วยสร้างความสุขขณะรับชมเพราะจะทำให้ผู้รับชมแบ่งบานใจ ถ้าให้รีวิวเนื้อเรื่องอาจทำให้คุณผู้อ่านหมดสนุกได้เนื่องจากเป็นเรื่องราวของความรักทั่วไป ผู้เขียนจึงแนะนำเฉพาะคู่ที่ชื่นชอบเผื่อเป็นแนวทางในการตัดสินใจรับชมบ่น – เดือนหนาว บ่น รับบทโดย คูเปอร์ ( ภัทรพสิษฐ์ ณ สงขลา )เดือนหนาว รับบทโดย ปอย ( กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช )เรียกสั้น ๆ ว่า #บ่นเดือน เขาทั้งสองเป็นคู่หลักของซีรีส์เรื่องนี้ พบกันครั้งแรกโดยบังเอิญเพราะอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด เดือน ( เด็กปี 1 คณะแพทย์ ) พลั้งชกหน้าบ่นเนื่องด้วยความตกใจ บาดแผลและความเจ็บปวดในครั้งนี้จึงทำให้บ่น ( รุ่นพี่คณะวิศวกรรม ) ผู้ตกหลุมรักเดือนตั้งแต่แรกพบใช้เป็นเงื่อนไขต่อรอง เดือนต้องรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดโดยการนำดอกกุหลาบไปมอบให้บ่นที่ลานเกียร์วันละดอกจนครบ 30 วัน เดือนเป็นคนซื่อตามไม่ทันคนคิดอะไรก็จะพูดอย่างนั้นจึงตกหลุมพรางของบ่นได้ง่าย ตัวละครเดือนซื่อถึงระดับที่ผู้เขียนหงุดหงิดในบางฉากแต่ก็บ่งบอกว่านักแสดงมีความสามารถเล่นได้สมบทบาทชื่นชมครับ ในตอนหลัง ๆ เดือนก็เริ่มปกติขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดแล้ว บ่นจะจีบเดือนได้หรือไม่นั้นคงต้องให้ซีรีส์เฉลยนะครับราม – คิง ราม รับบทโดย เพิร์ธ ( นคุณ สเกร )คิง รับบทโดย เล ( ทะเล สงวนดีกุล )คู่นี้แผ่รังสีความรักที่รุนแรงมาก เพราะว่านิสัยตรงกันข้ามสุดขั้ว รามเป็นนักศึกษาปี 1 คณะวิศวกรรมบุคลิกพูดน้อยและจะพูดเฉพาะกับคนที่สนิทเท่านั้น จิตใจดีรักน้องหมา ส่วนคิงเป็นรุ่นพี่ในคณะบุคลิกเป็นที่ปรึกษาให้คนอื่นได้ คิงคือผู้ชายสายกลางที่ลงตัวมีจุดอ่อนคือกลัวน้องหมาเพราะมีปม สองคนนี้เจอกันได้เนื่องจากรามเป็นเพื่อนกับเดือนหนาวและรามก็เป็นน้องรหัสของเพื่อนคิงแต่เรื่องราวทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นหากคิงไม่หลงรักราม คิงจะตามจีบรามได้ด้วยวิธีใดเพราะรามจะพูดกับคนเฉพาะคนที่สนิท คิงจะสามารถเอาชนะใจรามได้หรือไม่ ก็ต้องไปช่วยลุ้นกันในซีรีส์ สิ่งที่ชอบในคู่นี้คือรู้ว่าคิงคิดอะไรแต่รามเดายากไม่รู้ว่าคิดอะไร คิดแค่ระดับพี่น้องกับคิงหรือคนรักแต่ไม่ต้องกลัวเพราะหนังไม่ดราม่า เป็นซีรีส์อารมณ์ดีดูแล้วมีความสุข ฟิน ๆเมฆ – บอสเมฆ รับบทโดย ราฟ ( เผิง จุนเจี๋ย )บอส รับบทโดย อินทัช ( ณภัทร เฉลิมพรภักดี )ออกตัวก่อนว่าผู้เขียนชอบคู่นี้มากที่สุดเพราะมีปมใหญ่กว่าคู่อื่น ๆ หลายคนอาจเคยผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับตัวละครมาแล้วในชีวิต คือ การแอบชอบเพื่อน ซีรีส์เรื่องใดเล่นประเด็นนี้เป็นต้องเจ็บแต่สำหรับเรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะจบยังไงต้องติดตาม ส่วนใหญ่ซีรีส์ถ่ายทอดผ่านมุมของเมฆที่ดันแอบชอบเพื่อนอย่างบอสแต่บอสเป็นคนที่ชอบหยอดความหวาน ความทะเล้น และมุขเสี่ยวให้กับผู้หญิงเป็นประจำ ฉะนั้นความเป็นเพื่อนของทั้งสองและความเป็นผู้ชายของบอสจึงทำให้เมฆกลัวการกล่าวคำว่ารักออกไปให้บอสได้รับรู้ หันกลับมาที่ตัวละครบอสกันบาง บอสเป็นตัวละครที่เดาไม่ออกเพราะสายตาตัวละครเหมือนมีอะไรบางอย่างซ้อนไว้แต่ดูไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีอะไร สร้างความสับสนให้ผู้เขียนมากว่าสรุปแล้วบอสคิดอย่างไรกับเมฆกันแน่ความรู้สึกต่อซีรีส์รู้สึกสบายใจเพราะไม่ต้องคิดอะไรมากถึงแม้จะมีหลายฉากที่ผิดพลาดหรือไม่สมเหตุสมผล เพราะดูตัวอย่างก่อนรับชมผู้เขียนก็สามารถคาดเดาและยอมรับได้ว่าซีรีส์ทำออกมาในรูปแบบใด ดังนั้นหากเราดูสื่อตรงความต้องการของเราและรู้จุดประสงค์ของซีรีส์ความคาดหวังจะไม่มากเกินไป ถ้าใครต้องการเสพสื่อที่สร้างความสุขและเสียงหัวเราะแนะนำ My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ แต่ถ้าคุณชอบความสมจริงไม่เวิ่นเว้อก็คงต้องผ่านเรื่องนี้ไป สำหรับวันนี้ขอบคุณครับขอบคุณ รูปภาพหน้าปกจาก WeTVขอบคุณรูปภาพประกอบ 1 / รูปภาพประกอบ 2 / รูปภาพประกอบ 3 / รูปภาพประกอบ 4 / รูปภาพประกอบ 5 และรูปภาพประกอบ 6 จาก YouTube ช่อง WeTV Thailand
คาทคุง • 28 เม.ย. 63
อ่าน
Ameca หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ลักษณะใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุดจาก Engineered Arts
หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์หรือหุ่นยนต์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Engineered Arts บริษัทเอกชนด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ในประเทศอังกฤษ เปิดตัวหุ่นยนต์ Ameca หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดในโลก โดยคลิปวิดีโอที่บริษัทเผยแพร่ออกมาผ่าน Vimeo, Youtube และช่องทางอื่น ๆ มีผู้ชมแล้วมากกว่า 1 ล้านครั้งภายในเวลาอันรวดเร็ว ความเหมือนมนุษย์ของหุ่นยนต์ Ameca ทำให้ผู้ชมหลายคนคิดว่าเป็นคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกสร้างขึ้นมาจากคอมพิวเตอร์กราฟิกส์Ameca หุ่นยนต์ลักษณะฮิวแมนนอยด์ที่ออกแบบมาเพื่อการแสดงท่าทางให้เหมือนมนุษย์มากที่สุด โดยการเลียนแบบร่างกายท่อนบนของมนุษย์ตั้งแต่บริเวณศรีษะ แขนทั้งสองข้าง บริเวณลำตัวและบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง แม้ในคลิปวิดีโอหุ่นยนต์ Amecaยังไม่แสดงท่าทางการเดินให้เห็นแต่ความเหมือนมนุษย์กลายเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อด้านวิศวกรรมหุ่นยนต์ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จในครั้งนี้ของบริษัท Engineered Arts ปูทางไปสู่เป้าหมายหุ่นยนต์ฮิวแมนอยด์ที่สมบูรณ์แบบAI x AB หรือ Artificial intelligence และ Artificial bodyเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ถูกนำเข้ามาใช้งานร่วมกับระบบไฮดรอลิก (Hydraulic system) ข้อต่อที่มีความละเอียดอ่อนคล้ายข้อต่อในร่างกายของมนุษย์มากที่สุด การเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ Ameca มีความนุ่มนวลดูเป็นธรรมชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ระบบปฏิบัติการที่ใช้กับหุ่นยนต์ Amecaมีชื่อว่า Tritium robot operating system ซึ่งบริษัทพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับหุ่นยนต์โดยเฉพาะเทคโนโลยีทั้งหมดของหุ่นยนต์ Amecaยืนอยู่บนแนวคิดหลัก 3 อย่าง ได้แก่ Modular by design ซอฟแวร์ระบบต่าง ๆ ของหุ่นยนต์จะต้องมีความง่ายต่อการปรับปรุงเพิ่มเติม Head in the clouds หุ่นยนต์เชื่อมต่อข้อมูลเข้ากับระบบคลาวด์เชื่อมต่อเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ทั่วโลก Natural motionการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลมีความสมจริงในลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด โดยเฉพาะการแสดงสีหน้าบอกอารมณ์ความรู้สึกขณะมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ปัจจุบันหุ่นยนต์ Amecaอยู่ในระหว่างการวิจัยพัฒนาเพิ่มเติมและเตรียมนำไปจัดแสดงภายในงานแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม CES 2022 ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 5-8 มกราคม ปี 2022 ในนครลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัทยังไม่ประกาศแผนการวางจำหน่ายหุ่นยนต์ Amecaในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ยุคใหม่กำลังเริ่มต้นในลักษณะของหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์เพื่อการเพิ่มปฏิสัมพันธ์และลดข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ข้อมูลจาก nypost.comภาพจาก engineeredarts.co.uk
TNN ช่อง16 • 5 ธ.ค. 64
อ่าน
สปอย์ ความรัก ของ รามคิง ในซีรีย์ My Engineer : มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ?
จากซีรีย์ยอดฮิตเอาใจสาววาย กับ ซีรีย์ My Engineer : มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ? ที่ทำให้ใครหลายคนต้องฟินไม่กับมันวันนี้เราขอพูดถึงคู่รอง รามคิง ที่กำลังเป็นกระแสในขณะนี้ กับความเหงาและความป่วนที่ทำให้ทั้งสองคนเกิดเป็นแรงดึงดูดที่อยากจะรู้จักกันเรื่องย่อ คิง รุ่นพี่วิศวะผู้เทพไปทุกเรื่องทำอะไรไม่เคยแพ้ใครแต่ดันแพ้หมากับรุ่นน้องมาดนิ่งผู้จะไม่คุยกับคนแปลกหน้าผู้รักสุนัขเป็นชีวิตจิตใจ เรื่องป่วนๆเกิดขึ้นเมื่อรุ่นพี่วิศวะอย่างพี่คิงชอบทำความรู้จักกับคนแปลกและอยากเอาชนะหนุ่มมาดนิ่งให้ได้ แต่ยิ่งใกล้มากเท่าไรยิ่งทำให้หัวใจของทั้งคู่หวั่นไหวจากการเอาชนะกลายเป็นความรู้สึกที่อยากอยู่ใกล้ จนเกิดเป็นความรักของเท่าสองคนฉากที่น่าสนใจ การเข้าหาของรุ่นพี่คิง ที่เรียกได้ว่าทำทุกวิถีทางเพื่อจะเข้าหาให้ได้ ทั้งติวหนังสือ ตามไปส่งที่บ้านเอาต้นไม้ไปให้ ของวิธีคุยโดยไม่ต้องพูดแม้เจอรามมักจะเจอหมาแต่เขาจะเลือกที่จะเจอรามมากกว่าการที่จะกลัวสุนัขโดยทุกครั้งที่รามพูดถือเป็นความสุขและความสำเร็จของเทพคิงซึ่งเป็นฉากที่ทำให้เราอมยิ้มกับความพยายาม คอยเอาใจช่วยให้เอาชนะใจได้เร็วๆการสารภาพของรู้สึกของราม (ตอนที่อยู่ในหนังสือ) เป็นช่วงที่คิงพยายามตัดใจกับรามเพราะทำอะไรไปรามก็ยังนิ่งเหมือนเดิมทำให้รู้สึกท้อและอยากที่หยุดความสัมพันธ์ทำให้รามต้องบอกความจริงก่อนที่ตัวเองจะเสียพี่คิงไป โดยเหตุผลที่เขามักทำตัวเงียบๆใส่เพราะต้องการให้พี่คิงสนใจเขาเพียงคนเดียวเพราะเป็นวิธีเรียกความสนใจของราม เป็นฉากที่อ่านแล้วรู้สึกอยากจะกรี้ดออกมาเพราะฟินมาก กับคำเฉลยทำให้รู้ว่า รามรักพี่คิงแค่ไหนรู้หรือไม่จริง ๆ ซีรีย์เรื่องนี้ ถึงแม้รามคิงจะเป็นคู่รองแต่ในหนังสือ พวกเขามีเล่มของตัวเองด้วยที่แตกต่างจากบอสเมฆที่เป็นเรื่องแต่งเสริมของในละครเอง ซึ่งรายละเอียดในหนังสือ มีความแตกต่างกับในซีรีย์ค่อนข้างมาก ให้เรื่องของรายละเอียด ลักษณะการบรรยาย ถ้าใครที่เคยอ่านหนังสือมาก่อนจะทำให้ดูหนังได้เข้าใจมากขึ้น ทั้งความคิดและการกระทำของตัวละครเองคะ เนื่องจากในซีรี่ย์มีการตัดเนื้อหาออกไปเยอะจากหนังสือเพราะต้องทำให้เรื่อง 2 เรื่องมาเล่นด้วยกันทำให้บางตอนหายไป แต่ด้วยการที่นักแสดงมีความตรงตามบทบาทในหนังสือ และสามารถแสดงออกมาได้อย่างสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกทำให้การแสดงของซีรี่ย์เรื่องนี้มีความน่าติดตาม สามารถแยกซีนคู่หลักได้ในหลายฉากเลยทีเดียวคะในความรู้สึกของบทความรักของคู่นี้คือความรักที่เริ่มจากความเข้าใจและใส่ใจซึ่งกันและกันจนมาเติมเต็มความต้องการที่ขาดหายไปของทั้งสองจนเกิดเป็นความรักที่ลึกซึ้ง แม้จะไม่มีคำพูดที่อ่อนหวานแต่เน้นที่การกระทำที่ทำให้รู้และเข้าใจว่าพวกเขารักกันแค่ไหน เหมาะกับคนชอบแนวรักสายซึนเป็นที่สุดเลยคะ รับรองเรื่องนี้โดนใจแล้วเพื่อนๆ คนไหนที่ชอบคู่นี้ ชอบฉากไหน สามารถคอมเม้นบอกกันมาได้เลยนะคะรูปภาพประกอบทั้งหมดจากค่าย Facebook และ We tv
Beam • 2 มิ.ย. 63
อ่าน
“แก๊ป” คู่กรณี “แสตมป์” ลาออกจากหน้าที่ Sound Engineer วง “Tilly Birds” แล้ว
แก๊ป คู่กรณีแสตมป์ ลาออกจากหน้าที่ Sound Engineer วง Tilly Birds แล้ว จากกรณีกระแสข่าวเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่าง แสตมป์ อภิวัชร์ นักร้องชื่อดัง กับคู่กรณีคือ แก๊ป ซาวด์เอ็นจิเนียร์วง Tilly Birds หลังจากที่เดินทางไปร่วมรายการ โหนกระแส ด้าน แก๊ป ได้ออกมาประกาศผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวของเขาว่า ได้ตัดสินใจลาออกจากการเป็น Sound Engineer ของวง Tilly Birds แล้ว พร้อมกับขอโทษสมาชิกวงและเพื่อนร่วมงานทุกคน ที่ทำให้เดือดร้อนจากเรื่องส่วนตัวของเขา จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมาจนถึงขณะนี้ ผมได้ตระ หนักดีว่า ในฐานะที่ต้องติดตามวงไปทำงาน อาจน้ำพาความยุ่งยากและปัญหามาให้วง ผมจึงขอลาออกจากการทำงานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และขอโทษที่ทำให้เรื่องส่วนตัวมีผลกระทบครับ
ดาราเดลี่บันเทิง • 20 ม.ค. 68
อ่าน
Aerospace Engineer x Seafood – ซีฟู้ดจากทะเล ขึ้นเครื่องบิน มาลงจาน
Seafoodไม่ว่าจะเป็นกุ้ง หอย ปู หรือปลา เป็นอาหารที่คนทั่วทั้งโลกต่างโปรดปราน ถ้าพูดถึงซีฟู้ดแล้ว ความสดใหม่ของวัตถุดิบถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด หากวัตถุดิบขาดความสดใหม่ ซีฟู้ดที่ควรจะแสนอร่อย จะกลายเป็นอาหารที่น่าสะอิดสะเอียน ผู้ประกอบการร้านอาหารและบรรดาคนรักซีฟู้ดต่างเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น การได้รับวัตถุดิบที่สดใหม่มาใช้ประกอบอาหารเป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก ที่มา: I Am Aerospace Engineer – ผมเป็นวิศวกรการบิน ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งซีฟู้ด ที่มีราคาสูง เนื่องด้วยคุณภาพและความสดใหม่ Yamaha และ Japan Airlines สองบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นเข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดี พวกเขาต้องการให้ซีฟู้ดอันทรงคุณค่า ส่งถึงร้านอาหารด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อคุณภาพที่สูงที่สุดของวัตถุดิบ และทำให้ลูกค้าได้ทานซีฟู้ดที่อร่อยที่สุด ด้วยเหตุนี้ วิศวกรของ Yamaha และ Japan Airlines จึงร่วมมือกันพัฒนาระบบขนส่งซีฟู้ดที่ใช้เวลาเพียง 1 วัน ในการส่งจากชาวประมงไปให้ร้านอาหาร โดยการใช้โดรน ที่มา: https://pixabay.com/photos/drone-logistics-drone-package-drone-2816244/ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการนำระบบนี้มาทดสอบการส่งอาหารทะเล จากเมืองคามิโคโตะบนเกาะนาคาโดริ ไปให้ร้านอาหารที่อยู่ในโตเกียว รวมเป็นระยะทางการเดินทางกว่า 1,000 กิโลเมตร การทดสอบเริ่มต้นจากการนำอาหารทะเลสด ๆ ใส่ในกล่องโฟมเก็บความเย็น จากนั้นโดรนเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์สี่จังหวะ “Fazer R G2” ที่พัฒนาขึ้นมาโดย Yamaha จะบินนำซีฟู้ดจากเกาะนากาโดริไปส่งที่เมืองไซไคบนเกาะคิวชู โดยใช้ระบบการบินอัตโนมัติระหว่างการบินข้ามทะเล ที่มา: Google Map การขนส่งด้วยโดรนใช้เวลาไปเพียง 40 นาที ซึ่งถือว่าเร็วมาก ๆ เมื่อเทียบกับการขนส่งแบบปกติที่ใช้รถร่วมกับเรือข้ามฟาก ที่ต้องใช้เวลารวมกว่า 3 ชั่วโมง เมื่อถึงที่เมืองไซไคแล้ว ซีฟู้ดจะถูกนำขึ้นเครื่องบินของ Japan Airlines เพื่อบินต่อไปยังโตเกียว ที่มา: Google Map ด้วยระบบนี้ อาหารทะเลสดใหม่จะไปถึงร้านอาหารภายในวันเดียวกัน ทำให้ร้านอาหารเสิร์ฟซีฟู้ดที่สดและอร่อยที่สุดให้ลูกค้าได้ในทุก ๆ วัน ซึ่งสำหรับคอซีฟู้ดแล้ว นี่คือนวัตกรรมที่ตอบโจทย์พวกเขาได้มากที่สุดแห่งยุค สามารถรับชมวิดิโอนำเสนอของโปรเจคได้ที่ลิงค์นี้เลยครับhttps://www.youtube.com/watch?v=tt5On4-C-FIfeature=youtu.be
ผมเป็นวิศวกรการบินIAmAerospaceEngin • 25 เม.ย. 63
อ่าน
ม.ศรีปทุม จัด“ SPU AI Prompt Mini Hackathon 2024” ปั้นเยาวชนไทยสู่เส้นทาง AI Engineer
ม.ศรีปทุม จัดเวทีแข่งขัน SPU AI Prompt Mini Hackathon 2024ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา ครั้งแรกในประเทศไทย มุ่งถ่ายทอดองค์ความรู้ สร้างทักษะ AI Engineer อาชีพมาแรงเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานทั่วโลกในยุคดิจิทัล มีนักเรียนสนเข้าร่วมการแข่งขันคับคั่งว่า 300 คน จาก 28 โรงเรียนทั่วประเทศ SPU AI Prompt Mini Hackathon 2024 คืออะไร ?คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้ร่วมมือกับ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ( NECTEC) สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย (AiAT) และ สมาคมส่งเสริมนวัตกรรมเทคโนโลยี ไซเบอร์ จัดเวทีแข่งขัน SPU AI Prompt Mini Hackathon 2024 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและอาชีวศึกษา ครั้งแรกของประเทศไทยเพื่อกระจายความรู้ บ่มเพาะ การสร้าง Prompt Engineer เพื่อให้มีความเข้าใจและใช้คำสั่งพัฒนา AI ให้ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ นับเป็นจุดประกายแนวทางให้เยาวชน โดยคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยี AI ต้องการกระจายองค์ความรู้เทคโนโลยี Al เพื่อบ่มเพาะทักษะ AI Engineer ให้กับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่สนใจเข้าสู่สายอาชีพ AI Engineerทีมชนะเลิศได้แก่ทีม Query Crafters รับเงินรางวัล 10,000 บาท รองชนะเลิศอันดับ 1 จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา รับเงินรางวัล 8,000 บาท และรองชนะเลิศอันดับ 3 ได้แก่โรงเรียนราชบพิธ รับเงินรางวัล 5,000 บาท ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากตัวแทนนักเรียนจากโรงเรียนชั้นนำทั่วประเทศ อาชีพ AI Engineer คืออะไร ?นายกนธี บุญมีประกอบ Super AI Engineer Machine Learning Scientist บริษัท ฟินีม่า จำกัด เปิดเผยว่า อาชีพ AI Engineer คือ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการนำปัญญาประดิษฐ์มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ หน้าที่หลัก ๆ คือการเขียนโปรแกรมหรือชุดคำสั่งด้วยเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์สามารถเรียนรู้ พัฒนา และสามารถตัดสินใจในเรื่องที่ซับซ้อนได้ด้วยตนเองอย่างถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นผู้นำข้อมูลใหม่ๆมาพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ในปัจจุบันกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในยุคปัจจุบันและอนาคตและเป็นอาชีพที่มีผลตอบแทนสูงมีโอกาสเติบโตในสายงานอย่างมากเนื่องจากธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมในประเทศกำลังมุ่งนำเอา AI เข้ามาประยุกต์ใช้ในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ประกอบกับ ในอนาคตอันใกล้ AI จะเข้าไปมีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และการทักษะพื้นฐานเช่นเดียวกับการใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์พื้นฐาน Word, Excel ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ทำให้เกิดความต้องการอาชีพ AI Engineer มาพัฒนา AI Prompt ที่ง่ายและสะดวก สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปอาชีพ AI Engineer อะไรบ้างที่ได้รับความสนใจ ?1. Prompt Engineer -อาชีพใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานปัญญาประดิษฐ์และ Natural Language Processing ต้องการมีทักษะความเข้าใจและการสร้างข้อความที่มีความหมายจากข้อมูลธรรมชาติ 2. AI and Machine Learning Engineer -อาชีพนี้เปรียบเสมือนผู้สร้างหัวใจหลักของ AI ช่วยศึกษา ออกแบบ และพัฒนา Algorithm ให้ระบบ AI สามารถทำงานและเรียนรู้ได้ด้วยตัวระบบเอง และประยุกต์ใช้ให้ตรงกับความต้องการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การแพทย์, การผลิต, การขนส่ง, การสื่อสาร, การเงิน3. Data Engineer - วิศวกรข้อมูล ทำให้ข้อมูลสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น ให้องค์กรสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์เป็น insight เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของธุรกิจAI เป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ปราลี มณีรัตน์ รักษาการคณบดีคณะเทคโนโลยีสารสนเทศมหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก โดยได้เข้ามามีบทบาทแทรกซึมอยู่ชีวิตมนุษย์อย่างรวดเร็ว และได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับธุรกิจในทุกอุตสาหกรรม หันมาให้ความสนใจและเริ่มลงทุนเพื่อสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้สามารถแข่งขันและเติบโตต่อไปได้ และยังเป็นกุญแจสำคัญของการพัฒนาประเทศมหาวิทยาลัยมองเห็นเทรนด์ดังกล่าวจึงได้เตรียมความพร้อมพัฒนาคน เข้าไปตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานเพื่อทันต่อการพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยี AI ในภาคเศรษฐกิจและสังคม ในมิติของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษามีสกิลการใช้ AI ชีวิตประจำวัน การปรับหลักสูตรคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างบุคลากรด้าน AI Engineer ป้อนให้ทันความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อบ่มเพาะเยาวชน ให้มีความพร้อมศึกษาต่อในสายอาชีพ AI Engineer
TNN ช่อง16 • 2 ก.พ. 67
อ่าน
Share สิ่งดีๆ ที่ได้จากการทำงานเป็น “Engineer” ที่ Japan
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกๆ ท่าน เป็นยังไงกันบ้างครับ ช่วงนี้เข้าหน้าฝนกันแล้ว ฝนตกเกือบทุกวัน ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับผมในครั้งนี้ผมจะมาแชร์ถึงประสบการณ์ดีๆ ที่ผมได้จากการที่มีโอกาส ได้ไปงานเป็น “วิศวกร” ที่ญี่ปุ่นมา เกือบ 2 ปี นะครับ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ไม่เคยลืมเลยนะครับผมในช่วงก่อนที่จะเดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่น ผมตื่นเต้นมากๆ ในยุคสมัยนั้น (เมื่อ 15 ปีที่แล้ว) เทคโนโลยีต่างๆ ก็ยังไม่ทันสมัยมากนักในบ้านเรา จึงทำให้มุมมองของผมเอง กับประเทศญี่ปุ่นนั้น น่าจะมีความแตกต่างกันมาก แล้วผมเองจะสามารถทำงานให้เขาได้หรือเปล่า คิดหนักมากๆ ในตอนนั้นแต่พอได้ไปเริ่มงานในวันแรก ก็ยิ่งตื่นเต้นมากๆ นะครับ ได้ไปเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น เรียนภาษาญี่ปุ่น (ตอนนี้ลืมแล้วนะครับ) ในตอนนั้น มีความรู้สึกว่าสนุกมากๆ ไม่ได้มีอะไรยากเลย หากเรามีความตั้งใจที่จะทำมันนะครับหลังจากเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็ย้ายเขาไปทำงานในโรงงาน ซึ่งการทำงานในโรงงานวันแรกนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ยากมากพอสมควร เพราะการสื่อสารยากมากๆ คนญี่ปุ่นน้อยมากๆ ที่จะพูดภาษาอังกฤษได้นะครับ ผมต้องใช้ทั้งภาษาไทย ภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ และภาษามือในการสื่อสารกันหลังจากผ่านไปสักระยะ ก็เริ่มปรับตัวได้นะครับ ได้เริ่มทำงานอย่างจริงจัง เริ่มต้องทำ Project เพื่อปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ ลดของเสีย เพิ่มยอดการผลิต ซึ่งถือว่าเป็นงานที่ท้าทายมากๆ แต่ก็นับว่าสนุกมากๆ เหมือนกันนะครับ เพราะผมได้ทำงานในสิ่งที่ผมชอบหลังจากที่ทำ Project ได้สำเร็จผ่านไปได้ด้วยดี ผมก็มีโอกาสได้เป็น รุ่นพี่ในการสอน วิศวกรใหม่ ชาวญี่ปุ่น กับการปรับปรุงพัฒนา Production Line นับว่าสนุกมากๆ และก็ได้เพื่อนใหม่ๆ อีกมากมายโดยรวมแล้ว สิ่งดีๆ ที่ผมได้เรียนรู้จากการทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นก็คือ ระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา การทำงานเป็นทีม การคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหาเป็นขั้นเป็นตอน มีหลักการชัดเจน การพัฒนาความรู้ความสามารถของตัวเอง ได้เรียนรู้ถึงวิธีการนำเสนอผลงาน ได้เรียนรู้ถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ยังไม่มีในบ้านเราในตอนนั้น ได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของชาวญี่ปุ่น ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่น อาหารญี่ปุ่น และที่สำคัญได้เพื่อนๆ ชาวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมากมาย ด้วยนะครับผมหากน้องๆ รุ่นใหม่ๆ มีโอกาสที่จะไปทำงานในต่างแดน ไม่ว่าจะเป็นประเทศอะไรก็ตาม ผมเองก็อยากจะสนับสนุน เพื่อเป็นผลประโยชน์ให้กับตัวน้องๆ เองนะครับ ส่งผลดีกับตัวเอง สามารถเพิ่มความรู้ความสามารถของเราได้มากกว่าเดิม ได้ประสบการณ์ดีๆ กลับมามากมาย แน่นอนครับผมสุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากถึงน้องๆ ทุกๆ ท่าน ขอให้ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน ทำให้เต็มที่ ทำมันด้วยใจรัก แล้วน้องๆ ทุกๆ ท่าน จะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนกลับมาแน่นอนครับผม ขอบคุณมากครับภาพหน้าปกจาก: Pixabay / bewkamanภาพลำดับที่ 1 - 6 จาก: เป็นภาพจากผู้เขียนเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WANDIntelligence • 6 ต.ค. 65
อ่าน
My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ? ซีรีส์วายที่จบลงไปอย่างสวยงามพร้อมกับต้อนรับ Ss2 อย่างเป็นทางการ!
บทความนี้เรามาพูดถึงซีรีส์วายที่พึ่งจบไปหมาด ๆ นั่นก็คือ My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ? เรียกเสียงฮือฮาของแฟน ๆ ไปอย่างล้นลามจากที่แฟน ๆ ขอกันมาว่าอยากที่จะให้มี ซีซั่นที่ 2 เพราะว่าเรื่องบางเรื่องก็ยังไม่เคลียร์และจนมาถึงตอนสุดท้าย ซึ่งเป็นตอนจบของซีรีส์เรื่องนี้คำขอก็ได้สมหวัง เรามาดูกันดีกว่าว่า เรื่องนี้จะน่าสนใจอย่างไรและคู่หลักเรื่องนี้จะมีทั้งหมดกี่คู่ ไปดูกันค่ะMy Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ? เรามาพูดถึงเนื้อเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้กันก่อนดีกว่า ต้องเกริ่นก่อนว่า ซีรีส์เรื่องนี้จะมีอยู่ทั้งหมด 4 คู่หลักด้วยกัน! เยอะใช่ไหมล่ะซึ่งทั้ง 4 คู่ ต่างก็มีนิยายเล่มหลักของตัวเองด้วยเช่นกัน แต่ว่าไม่ได้มีทุกคู่นะคะ เอาเป็นว่าเพื่อน ๆ ลองไปศึกษากับนิยายที่เป็นเล่มอาณาจักรของ My Engineer ด้วยตัวเองแล้วกันเนอะจะได้ไม่งง เพราะถ้าให้นักเขียนอธิบายคงไม่ไหวและยาวแน่ ๆ 5555 ในคณะวิศวะกรรมศาสตร์ของมหาลัยแห่งหนึ่ง "บ่น" วิศวะปี 2 หล่อถึงขั้นเดือนมหาลัยได้มาเจอกับ "เดือนหนาว" เป็นนักศึกษาแพทย์ปี 1 แต่การเจอกันของเขาทั้งสองนั้นก็เกิดเรื่องได้ทุกที จนทำให้เดือนต้องรับผิดชอบการกระทำของตน โดยการซื้อดอกกุหลาบให้บ่นเป็นเวลา 1 เดือน "ราม" นักศึกษาแพทย์ปี 1 ซึ่งอยู่ในกลุ่มเพื่อนของเดือนเขาเป็นคนรักเพื่อนมีความเป็นห่วงมาก ๆ และยังมีความโลกส่วนตัวสูง ไม่ยอมพูดคุยกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่สนิทด้วยจนมีความหนึ่งเขาได้เจอกับ "พี่คิง" ซึ่งเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกับบ่น เป็นคนช่างพูดช่างคุย สนุกสนานแต่ก็ยังมีติส ๆ อยู่ในตัว แถมยังเรียนเก่งจนได้ฉายามาว่า เทพคิง หึ ต่างกันมากเลยใช่ไหมล่ะและเมื่อรามได้มาเจอกับเทพคิง.... เกิดอะไรขึ้นน้า เดาได้ไม่อยากก็ไม่คุยกับพี่คิงเลยหน่ะสิ พี่คิงเหมือนพูดอยู่คนเดียว 555 เคยแอบรักเพื่อนสนิทกันไหม? "เมฆ" อยู่แก๊งเดียวกับบ่น เป็นคนที่เงียบ ๆ แต่มีความกวน ที่ตอนนี้กำลังตกอยู่ในเฟรนโซน....ก็ไม่พ้นเพื่อนสนิทในแก๊งเดียวกับเขาอย่าง "บอส" เป็นคนสร้างสีสัน ชอบเล่นมุกแป้กตลอดสนิทกับเมฆตั้งแต่เข้ามหาลัยจนได้ฉายาคู่จิ้น ผัวเงียบเมียเกรียน ความเฟรนโซนนี้มันเจ็บจังเลย สงสารเมฆ "ธารา" รุ่นพี่นักศึกษาแพทย์ปีที่ 5 ของเดือน เป็นคนที่ดูอบอุ่นมาก ๆ โชคชะตาก็พามาเจอกับ "ฟรองก์" หนุ่มบริหารที่ไม่ถูกกับบ่นเอาสะเลย เป็นคนที่อัธยาศัยดียิ้มเก่ง ทำให้สาว ๆ หลาย ๆ คนแพ้ความทะเล้นของหนุ่มบริหารคนนี้ แต่การมาเจอกับพี่ธารานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้ดีเอาสะเลย เพราะ.....เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้การเจอกันครั้งแรกของเขาทั้งสองเกิดการทะเลาะกัน ความไม่เข้าใจกัน มาดูกันว่า เดือนจะทำข้อตกลงของบ่นได้หรือไม่และความสัมพันธ์ของทั้งสองจะเป็นอย่างไรต่อไปแล้วสงสัยไหมว่ารามคิงจะรักกันได้อย่างไร ความรักของเมฆบอสที่เจอกันทุกวันใกล้ชิดกันทุกวันการแอบรักเพื่อนสนิทของเมฆ ตัวเมฆนั้นจะกล้าที่จะบอกความรู้สึกข้างในไหม รวมถึงคู่ธาราฟรองก์จะเกิดการสปาร์คกันตอนไหน ซีซั่นแรกจะโฟกัสถึงคู่บ่นเดือนสะส่วนใหญ่ แต่คู่หลักเรื่องนี้ที่บอกไปว่ามีถึง 4 คู่ด้วยกันและแต่ละคู่จะมีเรื่องราวความรักแตกต่างกันไป หลากหลาย ซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนว Feel Good ถ้าใครชอบใส ๆ ไม่มีฉากอย่างว่าปนตลกเฮฮา สดใส ถ้าคนชอบแนวนี้ก็ชอบมาก ๆ กับเรื่องนี้ค่ะบ่น - เดือนหนาวคูเปอร์ ภัทรพสิษฐ์ ณ สงขลา รับบท บ่นปอย กฤษณพงศ์ สุนทรชัชเวช รับบท เดือนหนาว คู่ของบ่นเดือนนี้ก็คือมีความ Feel Good สูงมากบวกกับความที่งอนกันบ่อยมากด้วย แต่ด้วยความที่เดือนจะมีความใส อ๊อง ๆ เอ๋อ ๆ ไปสักหน่อยและบ่นก็จะมีความเอาแต่ใจ ปากร้ายสมกับเป็นเด็กวิศวะ จุดเริ่มต้นของคู่นี้ก็คืออย่างที่บอกไปเลยก็คือเดือนต้องซื้อดอกกุหลาบไปให้บ่นทุก ๆ เช้าที่ลานเกียร์หน้าคณะวิศวะกรรมศาสตร์ ทำให้ทั้งสองคนเริ่มสนิทกันมากขึ้นทุก ๆ วัน สัมภาษณ์ความคิดเห็นจากคนที่ได้ดูเรื่องนี้จนจบซีซั่นแรก- สำหรับคู่บ่นเดือนก็ เห็นความพยายามของเดือนที่แบบซื้อดอกไม้มาให้ พล็อตเรื่องของคู่นี้ก็ปกติไปเรื่อย ๆ มีความน่ารักในตัวของเดือนและก็มีความแกล้งของบ่นเป็นความรักที่ไม่หวือหวาแต่ว่าก็มีความหวานซ่อนอยู่และก็งอนกันเก่งมาก การแสดงก็ดูขัด ๆ นิดหน่อย แต่โดยรวมก็ดีค่ะ น่ารักดี^^ราม - คิงเพิร์ธ นคุณ สเกร รับบท รามเล ทะเล สงวนดีกุล รับบท คิง รามคิงเป็นคู่ที่รู้สึกว่าดูเหมือนมันมีมิติมากกว่าคู่อื่น เพราะคู่นี้มีความแตกต่างกันสุดขั้ว คนหนึ่งก็นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่ค่อยพูด อีกคนก็ช่างพูด จนรามได้ฉายาจากเทพคิงว่า ไอ้นิ่ง แต่นอกจากจะมีความแตกต่างทางด้านนิสัยของทั้งสองคนแล้ว ยังมีปัญหาครอบครัวฝั่งของรามเข้ามาเกี่ยวข้องและความรู้สึกที่สับสนของพี่คิง ทำให้คู่นี้เกิดความดราม่าขึ้นสัมภาษณ์ความคิดเห็นจากคนที่ได้ดูเรื่องนี้จนจบซีซั่นแรก- ดีจริง ๆ เทพคิงก็มีความชวนคุยก่อนเหมือนสนใจกันก่อนอันดับแรก ส่วนรามก็จะมีความนิ่ง ๆ ส่วนการแสดงก็เล่นได้เนียนมากค่ะ ฟินสุด ๆ เข้ากันได้ดีเมฆ - บอสราฟ เผิง จุนเจี๋ย รับบท เมฆ อินทัช ณภัทร เฉลิมพรภักดิ์ รับบท บอส คู่เมฆบอส เฟรนโซนแอบรักเพื่อนตั้งแต่เข้ามหาลัยจนถึงปี 2 เมฆนี่แหละ เวลาดูก็จะเจ็บแทนเมฆอึดอัดแทนเมฆไปหมดคือมันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามาก ๆ บางคนอาจจะเข้าถึงคู่นี้ได้ง่ายกว่าคู่อื่น ๆ ส่วนบอสก็เฮฮา ปล่อยมุกแต่ไม่ได้จริงจัง ทำให้เมฆรู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจและบอกใครไม่ได้...สัมภาษณ์ความคิดเห็นจากคนที่ได้ดูเรื่องนี้จนจบซีซั่นแรก- คู่นี้ก็โอเคนะคะสำหรับเมฆบอส แต่ก็เหมือนเฟรนโซนก็เจ็บ เนื้อเรื่องมันมาจากความเป็นเพื่อนกันแต่สุดท้ายก็แฮปปี้ดีค่ะ การแสดงของคู่นี้ ด้วยความที่คนที่รับบทเป็นเมฆเขาก็เป็นคนจีนด้วยก็ดูขัด ๆ นิดหน่อยค่ะธารา - ฟรองก์เอ็มดี ณัฐพงศ์ พิบูลธนเกียรติ รับบท ธาราเชน ณัชพล ชีวะปัญญาโรจน์ รับบท ฟรองก์ ถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่นี้จะมาที่หลังคู่อื่น ๆ แต่ก็ไม่ทำให้ความฟินลดน้อยลงไปเลย หมอธาราและฟรองก์ ความรู้สึกมันเริ่มหลังจากที่พี่หมอช่วยดูแลคุณแม่ของฟรองก์ที่ป่วยไว้ จากที่ไม่ได้รู้สึกดีกับพี่หมอเท่าไรแต่พอได้รู้จักมากขึ้นทุก ๆ วัน มันก็มีความรู้สึกดี ๆ เพิ่มพูนขึ้นสัมภาษณ์ความคิดเห็นจากคนที่ได้ดูเรื่องนี้จนจบซีซั่นแรก- คู่พี่หมอก็พี่หมอดีมากเลยค่ะ555 ชอบพี่หมอนะแต่อยากให้เข้าเป็นแฟนกันมากกว่า ส่วนการแสดงดี ดีมากเลย เล่นโอเคเล่นดีเข้ากันมาก ๆ เลยค่ะ หลังจากที่จบซีซั่นแรกไปแล้วและต้อนรับซีซั่นที่ 2 เรามาดูกันว่ามีเรื่องอะไรและคู่ไหนที่ยังไม่เคลียร์กันบ้าง!เรามาวิเคราะห์กันเป็นคู่ ๆ ดีกว่า - คู่บ่นและเดือนจากที่งอนกันไปกันมาจนเจอบททดสอบต่าง ๆ มามากมาย ในซีซั่นนี้ก็จบแบบ Happy มาก ๆ นักเขียนว่าไม่มีอะไรที่ต้องกังวลแล้วนะสำหรับคู่นี้^^ - คู่รามคิง คู่นี้ก็คือหลังจากที่พี่คิงทำให้รามเปิดใจ จนทำให้ทั้งสองสนิทกันมากขึ้น ความแตกต่างของนิสัยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร ทำให้เทพคิงนั้นสับสนกับความรู้สึกตัวเองเองสะงั้น! พี่คิงเลยพยายามทำตัวออกห่างจากรามแต่ก็ไม่สำเร็จและได้บอกความรู้สึกกับรามในที่สุดและเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เป็นเรื่องที่ค้างคาสำหรับคู่นี้ ก็ต้องไปรอติดตามในซีซั่นที่ 2 แต่! อย่าลืมว่ารามก็มีปัญหาส่วนตัวเรื่องครอบครัวอีก ก็ต้องรอดูว่าคู่นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป นักเขียนว่า คู่รามคิง ซีซั่น 2 ต้องออกมาบ่อยกว่าซีซั่นแรกแน่ ๆ - คู่เมฆบอสก็จบไปอย่างสวยงามจากที่เมฆได้บอกความรู้สึกกับเพื่อนสนิทอย่างบอสไปแล้ว หลังจากที่อึดอันใจมานานแสนนานก็ตรงกับจังหวะนั้นพอดีที่ บอส เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับเมฆ แต่ก่อนที่จะจบลงนั้น ฝน ที่กลับมาหาบอส ทำให้เมฆเกิดความรู้สึกที่แบบ เรื่องระหว่างเราคงเป็นไปไม่ได้จริง ๆ แต่ทั้งคู่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี จนทำให้ทั้งสองคนเป็นคู่ที่หวานอีกคู่หนึ่งในคณะวิศวะ เป็นคู่จิ้นกันมานาน ในที่สุดก็ได้เป็นคู่จริงสมใจ^^ - คู่ธาราและฟรองก์ คู่นี้จบไปอย่างขัดมาก ๆ อะไรเนี่ย จบไปกับประโยคของหมอธาราที่ว่า "ก็เราเป็นพี่น้องกันนี่" ฟรองก์ก็น่าเสียไปเลยจ้า หมอนะหมอ ทำไมถึงพูดออกมาแบบนั้น... แต่พอรู้ว่าจะมีซีซั่นที่ 2 ก็รู้เลยว่าบทของธาราฟรองก์นี่ต้องมาบ่อยแน่นอนเพราะว่ามันยังไม่เคลียร์กันมาก ๆ ยังไงก็ต้องรอดูกันต่อไปนะคะ^_^ สุดท้ายนี้ต้องบอกก่อนเลยว่า นักเขียนไม่ได้อ่านนิยายของซีรีส์เรื่องนี้มาก่อน นักเขียนก็ใส่ความคิดของนักเขียนกับซีรีส์เรื่องนี้ลงไปบ้าง ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ดูได้เรื่อย ๆ และคลายเครียดจริง ๆ ใครไม่คิดมากเรื่องการแสดงหรือฉากต่าง ๆ ไม่ติดก็อะไรก็สามารถดูเรื่องนี้ได้อย่างมีความสุข เพราะนักแสดงเรื่องนี้เป็นนักแสดงหน้าใหม่เกือบ ๆ ทุกคน แต่ด้วยเนื้อเรื่องของซีรีส์เรื่องนี้ทำให้ไม่ได้ติดอะไรมาก โดยรวมถือว่าดีเลยค่ะ เรามาลุ้นกันดีกว่าว่าใน ซีซั่นที่ 2 ของ My Engineer มีช็อป มีเกียร์ มีเมียรึยังวะ? จะมาในรูปแบบไหนและมีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง ปูเสือรอกันเลย! รูปภาพโดย : ภาพหน้าปก (เพจ Facebook : The series My Engineer) / ภาพ 1 (เพจ Facebook : The series My Engineer) / ภาพ 2 (เพจ Facebook : The series My Engineer) / ภาพ 3 (เพจ Facebook : The series My Engineer) / ภาพ 4 (เพจ Facebook : The series My Engineer) / ภาพ 5 (เพจ Facebook : The series My Engineer) / ภาพ 6 (เพจ Facebook : The series My Engineer) / ภาพ 7 (เพจ Facebook : The series My Engineer)ขอบคุณเพจ : Facebook : The series My Engineerเรียบเรียงการเขียนโดย : P-P-L-L-16
P-P-L-L-16 • 28 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิว ตำแหน่งงาน วิศวกรกระบวนการผลิต (Process Engineer)? ทำงานเกี่ยวกับอะไรบ้าง? มีรายได้ดีไหม?
ภาพหน้าปกจาก: ภาพจากผู้เขียนเอง รีวิว ตำแหน่งงาน วิศวกรกระบวนการผลิต (Process Engineer)? ทำงานเกี่ยวกับอะไรบ้าง? มีรายได้ดีไหม?สำหรับ Process Engineer นั้นในแต่ละองค์กร ก็จะมี scope หน้าที่รับความบผิดชอบ ที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับองค์กรนั้นๆ จะทำการ Set ไว้อย่างไร และ Process Engineer ยังแบ่งออกเป็นหลายส่วนงาน ตามกระบวนการในโรงงานอีกด้วยนะครับ แต่ผมจะขอ อธิบายแบบทั่วๆไป โดยเน้นงานในโรงงาน เป็นหลักนะครับ ภาพจาก: ภาพจากผู้เขียนเองProcess Engineer จะมีหน้าที่หลักๆ เลยนะครับ คือ การจัดเตรียมกระบวนการผลิต เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร วิธีการ มาตรฐาน คุณภาพของชิ้นงาน การตรวจสอบ การทดสอบ และ อื่นๆ เพื่อที่ให้มีความพร้อมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ก่อนที่จะเริ่มการผลิตจริงๆ นะครับ เพื่อให้ลูกค้าได้รับชิ้นงานที่มีคุณภาพตามความต้องการ ซึ่งงานของ Process Engineer นั้นจะอยู่ในกระบวนการระหว่าง RD กับ Production เอาแบบเข้าใจง่ายๆ เลยก็คือ ผู้ที่ต้องเตรียมการทุกๆอย่าง เพื่อที่ทาง ฝ่ายผลิต จะได้ทำงานให้ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด โดยที่มีต้นทุนที่เหมาะสมนั้นเอง นอกจากหน้าที่หลักๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น Process Engineer ต้องเป็น Leader ในการแก้ไข ปัญหาต่างๆใน องค์กร เป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานอื่นๆ อีกด้วย เช่น Leader ในการวิเคราะห์แก้ไขปัญหาในกระบวนการ ซึ่งจะต่างกับ Production Engineer ที่ต้องเป็น Leader ในการแก้ไขปัญหา Production Line และ Process Engineer ยังต้องทำ Continuous Improvement ของ กระบวนการผลิต หรือ Process อีกด้วย เช่น ปรับปรุงอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักร ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดเวลาให้น้อยลง หรือ อาจจะปรับปรุงพัฒนา Condition ต่างๆ เพื่อให้งานมีคุณภาพที่ดีขึ้น ด้วยต้นทุนที่น้อยลง เป็นต้นนอกจากนี้ Process Engineer ยังต้องทำหน้าที่อื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา และที่สำคัญ หากขึ้นชื่อว่าเป็น วิศวกร แล้วนั้น ความปลอดภัยในการทำงานต้องมาอันดับแรก ต้องคอยดูแลเรื่อง Safety, 5ส และ สิ่งแวดล้อมในการทำงานอีกด้วยภาพจาก: ภาพจากผู้เขียนเองสำหรับความสามารถหลักๆ ที่ Process Engineer ต้องมีก็คือ สิ่งแรกที่ Process Engineer ควรจะมีก็คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ และพื้นฐานการคำนวณต่างๆ เช่น คำนวณหาแรง, คำนวณหาพื้นที่, การคำนวณอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางวิศวกรรมศาสตร์ เพราะในชีวิตการทำงานจริงๆ ต้องได้ใช้เกือบทุกวันนะครับต่อไปก็คือ ความสามารถในการพูด นำเสนอ และ การสื่อสาร เพราะการทำงานต้องได้ใช้ ความสามารถเหล่านี้ ในการเจรจากับ suppliers และทีมงาน และยังต้องทำการนำเสนองานให้กับ Management team ต้องเป็น Project Leader ในการติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์เครื่องมือ ต่างๆสิ่งถัดไปที่ Process Engineer ควรจะมีก็คือ ความสามารถในการจัดการ หรือ management เช่น การบริหารจัดการเวลา, การบริหารจัดการกับ Activity ต่างๆ, เป็น Project Leader ในการ Manage project ต่างๆ เป็นต้นถัดไปก็คือ Process Engineer จะต้องมีความสามารถ ในการโน้มน้าว ผู้อื่นให้เชื่อมั่นและปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน เช่น มีพนักงานคนหนึ่งอายุงานมากๆแล้ว ทำงานแบบเดิมๆมานานนับหลายสิบปี แต่วิธีการที่ทำอยู่ มันยังไม่ดีมากที่สุด Process Engineer ต้องมีความสามารถในการโน้มน้าวให้พนักงานคนนี้ เชื่อในวิธีการที่ทำการออกแบบมา และเชื่อว่าดีกว่าวิธีการเดิมแน่นอนถัดไป Process Engineer ต้องมีความละเอียดในการทำงาน ต้องใส่ใจรายละเอียดในทุกๆ ขั้นตอนในการทำงาน เพราะ ทุกกระบวนการที่ได้ออกแบบไปนั้น ย่อมมีผลกระทบทั้ง คุณภาพ ต้นทุน และ ความปลอดภัย อีกด้วยถัดไปก็คือ ความสามารถใน computer program ที่เกี่ยวข้อง เช่น Microsoft Office, AutoCAd, SolidWork, UG หรือ อื่นๆ ถัดไปที่ Process Engineer ต้องมีก็คือ ความสามารถในด้าน ภาษา เนื่องจากว่า บ้างที คนที่มาติดตั้งเครื่องจักร หรือ Suppliers มักจะเป็นคนต่างชาติ ซึ่งบ้างที ต้องใช้การสื่อสารกัน ด้วยภาษาอังกฤษ ครับจริงๆแล้ว Process Engineer ต้องมี Skill หลายๆ อย่าง หลายๆ ด้าน เพราะทุกอย่างที่ Process Engineer ออกแบบกระบวนการผลิตนั้น มันจะมีผลกระทบ กับทั้งระบบของกระบวนการ ถ้าออกแบบมาดี ผลงานในระยะยาวก็ออกมาดี และถ้าหาก ออกแบบมาไม่ดี ผลงานที่ออกมาก็จะไม่ดี เช่นเดียวกัน ครับผม และบางที อาจจะโดนด่า และ โดนคนอื่นๆ โยนความผิดให้ไปตลอดกาล จนกว่าจะเลิกการผลิต ชิ้นงานนั้นๆไป ยังไงก็ต้องระวังไว้ให้มากๆ นะครับภาพจาก: ภาพจากผู้เขียนเองเงินเดือน Process Engineer อยู่ที่ประมาณเท่าไหร่?สำหรับ Process Engineer จบใหม่ๆ เลย ยังไม่มีประสบการณ์เลย ก็จะเริ่มอยู่ที่ประมาณ 18,000 – 27,000 บาท และถ้ามีประสบการณ์มากกว่า 1 – 5 ปี ก็จะอยู่ที่ประมาณ 30,000 – 60,000 บาท และหากประสบการณ์มากกว่า 5 ปี ก็จะอยู่ประมาณ 65,000 – 85,000 บาท ครับผมภาพจาก: Pixabay / Gerd Altmannต่อไปมาดูความก้าวหน้า ของตำแหน่ง Process Engineer กันนะครับ Process Engineer จะต้องเติบโต ขึ้นมาเป็น Process Engineering Manager, Plant Manager, Factory Manager, COO หรือ CEO เลยทีเดียว และถ้าหากต้องการที่จะไปทำธุระกิจ ของตัวเอง ก็ยังสามารถ ทำได้เนื่องจากว่า มีความรู้ทั้งทางเทคนิค มีเทคนิคและความรู้ในการบริหารจัดการ Projects ทั้ง ต้นทุนการผลิต และการ คำนวณกำไร การบริหารจัดการกับคน และยังมี connection กับ supplier และ ลูกค้า ที่มากพอสมควร เนื่องจาก Process Engineer ต้องทำงานติดต่อทั้ง ฝั่ง ลูกค้า Designer ฝ่ายหลิต จัดซื้อ การตลาด คุณภาพ ซ่อมบำรุง planning Logistic warehouse และ suppliers อีกด้วย เพราะต้องเป็นคน ออกแบบ กระบวนการทั้งระบบ เรียกได้ว่า ครบทั้งวงจรเลยครับ ซึ่งทำให้ง่ายมากๆ ถ้าหากต้องการที่จะเปิดธุระกิจของตัวเองขึ้นมาเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WANDIntelligence • 24 พ.ค. 64
อ่าน
รีวิว ตำแหน่งงาน Maintenance Engineer หรือ วิศวกรซ่อมบำรุง!!! มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง? มีรายได้ดีไหม?
ภาพหน้าปกจาก: Pixabay / Life-Of-Pixรีวิว ตำแหน่งงาน Maintenance Engineer หรือ วิศวกรซ่อมบำรุง!!! มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง? มีรายได้ดีไหม? โดยทั่วไปแล้ว ในบริษัท หรือองค์กร ทั่วๆไปนั้น จำเป็นต้องมี วิศวกรทำงานประจำอยู่ ไม่มากก็น้อย ถ้าหากที่ไหนมี วิศวกรทำงานประจำอยู่มาก ก็แสดงให้เห็นถึง ประสิทธิภาพขององค์กรได้ ว่ามีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ยิ่งมีวิศวกรมากเท่าไหร่ ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ องค์กร ว่ามีประสิทธิภาพมากเท่านั้นภาพจาก: Pixabay / whitesessionถ้าหากจะพูดถึง “วิศวกรซ่อมบำรุง” หรือ “Maintenance Engineer” หลายๆ คน คงจะนึกถึงผู้ชายที่ถืออุปกรณ์ช่างอยู่ตลอดเวลา แต่งตัวสกปรก เสื้อผ้าเลอะเทอะเปื้อนน้ำมัน เปื้อนจาระบี ซึ่งก็เป็นความคิดที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดนะครับ เนื่องจากว่า คำว่าช่างซ่อมนั้น ก็จะมีหน้าที่แตกต่างกัน มีหน้าที่ ที่หลากหลาย แตกต่างกันไป ผมจะมาขออธิบายถึง “วิศวกรซ่อมบำรุง” แบบคร่าวๆ แบบเข้าใจง่ายๆ ให้ทุกๆ ท่าน ได้เข้าใจกัน ว่า “วิศวกรซ่อมบำรุง” นั้น มีหน้าที่อะไรบ้าง? ในองค์กร และมีรายได้ดีไหม?แผนกซ่อมบำรุงนั้น ในแต่ละองค์กร ก็จะมีความแตกต่างกันไป ตามโครงสร้างของแต่ละองค์กร ซึ่งผมจะขออธิบายถึง “วิศวกรซ่อมบำรุง” ที่ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตป็นหลักนะครับ เนื่องจากว่า ประสบการณ์ของผมเอง ส่วนใหญ่ก็จะทำงานในโรงงานการผลิต เท่านั้นนะครับภาพจาก: Pixabay / jarmoluk"ปัจจุบันนี้ ช่างซ่อมบำรุง ก็จะมีทั้ง ผู้ชาย และผู้หญิง ไม่ได้มีข้อห้ามใดๆนะครับว่า ผู้หญิงห้ามทำงานช่าง อันนี้ขึ้นอยู่กับ ฝีมือล้วนๆ นะครับ ซึ่ง แผนกซ่อมบำรุง สามารถแบ่งสายงายย่อยออกไปอีกได้หลักๆ ดังนี้"1. Facility Utility Maintenance หรือ หน่วยงานซ่อมบำรุงทั่วไป คือ งานซ่อมสร้างหรืองานก่อสร้าง งานไฟฟ้า งานระบบน้ำ และงานทั่วๆไป ซึ่งในส่วนงานของ Facility Utility เช่น งานซ่อมสร้างหรืองานก่อสร้าง, งานไฟฟ้า, งานระบบน้ำ และ งานทั่วๆ ไป2. Machine Maintenance หรือ หน่วยงานซ่อมบำรุงเครื่องจักร คือ ต้องทำการดูแล รักษา และซ่อมบำรุง เครื่องจักรทั้งหมดในองค์กร ซึ่งสามารถแบ่งออกหลักๆได้ 2 ส่วน คือ Mechanical Machine Maintenance หรือ หน่วยงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่ดูแลระบบของเครื่องกล และ Electrical Machine Maintenance หรือ หน่วยงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่ดูแลระบบของไฟฟ้า รวมไปถึงระบบ PLC Software Program และอื่นๆ 3. Die Tooling Maintenance หรือ หน่วยงานซ่อมบำรุงแม่พิมพ์ และอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Jig Fixture เป็นต้น 4. IT หรือ Information Technology หรือ หน่วยงานซ่อมบำรุงที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ ระบบเน็ตเวิค Email และ อินเตอร์เน็ต 5. Store Maintenance หรือ หน่วยงานที่มีไว้ดูแลเกี่ยวกับ ชิ้นส่วนต่างๆ Spare parts และอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการซ่อมบำรุงทั้งหมด บางที่ อาจจะแยก Store ตามแผนก แต่บ้างที่ก็ไม่ได้แยก รวมทั้งมหดไว้ที่เดียวกัน ภาพจาก: Pixabay / jtronics80หน้าที่หลักๆ ของ “วิศวกรซ่อมบำรุง” หรือ “Maintenance Engineer” หน้าที่โดยรวมๆ ก็จะเหมือนกัน คล้ายๆกัน นะครับ ถึงแม้อาจจะอยู่ในคนละส่วนงานกันก็ตาม1. ทำการวางแผนในการซ่อมบำรุง หรือที่เรียกว่า PM (Preventive Maintenance) ก็คือการวางแผนซ่อมบำรุงรักษา อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายหกเดือน รายปี เป็นต้น ซึ่งระยะเวลาก็นำมาจาก คู่มือ หรืออาจกำหนดเองจากประสบการณ์ เพื่อป้องกันไม่ให้ เครื่องจักร หรือ อุปกรณ์ต่างๆ เกิดการ Breakdown ขึ้น หรือหยุดการผลิตขึ้นนั้นเอง2. ทำการแก้ไขปัญหาเครื่องจักร และอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ตามที่มีการร้องขอมา ที่เรียกว่า ใบแจ้งซ่อม หรือ Work Order นั้นเอง โดย วิศวกรซ่อมบำรุง จะต้องทำการพิจารณา และวิเคราะห์อาการ สอบถามอาการ เบื้องตันจาก ผู้ออกใบแจ้งซ่อมมาให้ละเอียด หลังจากนั้นก็พาทีมงานเข้าไปจัดการซ่อมแซม ในกรณีที่ ไม่สามารถซ่อมแซมเองได้ วิศวกรซ่อมบำรุงต้องทำหน้าที่ในการติดต่อประสานงาน หาช่างซ่อมภายนอกเข้ามาจัดการซ่อมแซม 3. จัดทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดการสูญเสียของเครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ เช่น จัดทำ กิจกรรม LEAN, 5S, KAIZEN และ กิจกรรมอื่นๆ เป็นต้น เพื่อเป็นการลดความสูญเสียต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับ เครื่องจักร เครื่องมือ และอุปกรณ์ และยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน และทำให้พื้นที่มีความสะอาดบรรยากาศน่าทำงานมากขึ้น ส่งผลทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นไปด้วย เช่นกัน4. วิศวกรซ่อมบำรุงต้องเป็น ผู้นำในการจัดทำ TPM (Total Productive Maintenance) เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพผลิต เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องจักร หรือ OEE เพิ่มผลกำไร และลดของเสียให้เป็นศูนย์ ตามหลักการ 8 เสาหลักของระบบ TPM5. ควบคุมดูแล Spare part หรือ อะไหล่ในการซ่อมบำรุง วิศวกรซ่อมบำรุง ต้องเป็นคน ควบคุม Stock ของ Spare part ทั้งหมด และควบคุม Spec ของชิ้นส่วนทั้งหมด รวมไปถึงอุปกรณ์ เครื่องมือ ต่างๆ ด้วย เพื่อเป็นการ ควบคุมต้นทุน เพื่อให้องค์กร ได้มีกำไรมากที่สุด สำหรับเงินเดือนของ “วิศวกรซ่อมบำรุง” เด็กที่ยังไม่มีประสบการณ์ก็จะอยู่ประมาณ 18,000 ถึง 22,000 บาท ต่อ เดือน หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละคน จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับฝีมือ และประสบการณ์นะครับ แต่ วิศวกรซอมบำรุง จะมีเงินพิเศษมากกว่า แผนกอื่นๆนะครับ เช่น OT, หรือ ค่าทักษะต่างๆ เป็นต้นภาพจาก: Pixabay / jarmoluk"หวังว่า คงจะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆคนนะครับ คงพอจะเข้าใจตำแหน่งงานของ “วิศวกรซ่อมบำรุง” หรือ “Maintenance Engineer” มากขึ้นนะครับ หากมีคำถามอะไร ก็สามารถสอบถามกันเข้ามาได้เลยนะครับ ขอบคุณมากครับ"ภาพหน้าปกจาก: Pixabay / Life-Of-Pixภาพจาก1: Pixabay / whitesessionภาพจาก2: Pixabay / jarmolukภาพจาก3: Pixabay / jtronics80ภาพจาก4: Pixabay / jarmoluk เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WANDIntelligence • 29 พ.ค. 64
อ่าน
รีวิว ตำแหน่งงาน “Manufacturing Engineer” หรือ “วิศวกรการผลิต” มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง? มีเงินเดือนดีไหม? ความก้าวหน้าเป็นอย่างไร?
ภาพหน้าปกจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsรีวิว ตำแหน่งงาน “Manufacturing Engineer” หรือ “วิศวกรการผลิต” มีหน้าที่ทำอะไรบ้าง? มีเงินเดือนดีไหม? ความก้าวหน้าเป็นอย่างไร? สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกๆ คน สำหรับหลายๆ คน ที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ก็จะรู้ดีว่า ในโรงงานอุตสาหกรรมนั้น ก็จะมีตำแหน่งงานมากมาย และตำแหน่งงานหนึ่งที่มีความสำคัญในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นก็คือ “วิศวกร” เพราะเหล่า “วิศวกร” จะเป็นกำลังหลักๆ เลย ในการขับเคลื่อนองค์กร ให้มีกำไร ให้มีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการผลิต นั้นเองภาพจาก: Pixabay / PublicDomainPicturesซึ่งตำแหน่งงานที่เกี่ยวกับ “วิศวกร” นั้นก็มีมากมายหลากหลายเช่นกัน ยอกตัวอย่างเช่น Production Engineer, Process Engineer, Maintenance Engineer หรือ Quality Engineer เป็นต้น แต่สำหรับที่เราจะพูดถึงในครั้งนี้นั้นก็คือ “Manufacturing Engineer” หรือ “วิศวกรการผลิต” นะครับผมก่อนอื่นผมขออธิบายให้ทุกๆ ท่าน ได้ทราบก่อนนะครับว่า “Manufacturing Engineer” หรือ “วิศวกรการผลิต” นั้น คืออะไร? หมายความว่าอย่างไร?คำว่า “Manufacturing” แปลว่า “การผลิต” ส่วนคำว่า “Engineer” แปลว่า “วิศวกร” ซึ่งนำ 2 คำนี้มารวมกัน ก็จะเป็น “Manufacturing Engineer” ที่แปลว่า “วิศวกรการผลิต” นั้นเองนะครับที่นี้เรามาดูหน้าที่กี่ทำงานของ “Manufacturing Engineer” หรือ “วิศวกรการผลิต” กันนะครับว่า มีหน้าที่ทำอะไรกันบ้างในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อนนะครับว่า ผมจะอธิบายหน้าที่การทำงานของ “Manufacturing Engineer” ตามที่ผมเคยทำงานผ่านมานะครับ รายละเอียดของเนื้องานอาจจะไม่เหมือนกับหลายๆ คน แต่ผมคิดว่าน่าจะคล้ายๆ กัน น่าจะไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่นะครับภาพจาก: Pixabay / Ekkasit Chaingam“Manufacturing Engineer” หรือ “วิศวกรการผลิต” จะมีหน้าที่หลักๆ เลยนะครับ คือ ดูแลฝ่ายผลิต ไม่ว่าจะเป็นการ ออกแบบ, ดูและงบประมาณต้นทุน และดูแลการติดตั้ง เครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงพื้นที่การทำงานด้วย เพื่อให้ฝ่ายผลิตทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด ต้องทำการทำงานร่วมกับ “แผนกวางแผนการผลิต” เพื่อทำการวางแผนการผลิตในส่วนงานของตัวเอง“Manufacturing Engineer” ยังต้องทำการปรับปรุงพัฒนาฝ่ายผลิตในส่วนงานที่รับผิดชอบ ลดต้นทุน ลดเวลาในการผลิต เพิ่ม Productivity เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และ ควบคุมกระบวนการผลิตให้ได้มาตรฐาน ให้ได้คุณภาพตามความต้องการของลูกค้าด้วยนอกจากนี้ “Manufacturing Engineer” ยังต้องดูแลงาน Projects เช่น การทดลองผลิตภัณฑ์ ในกรณีที่เป็น New Projects หรือ มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ในกระบวนการผลิต ทั้ง Process และ Product ด้วยเช่นกัน หรือถ้าหากเป็น โรงงานอุตสาหกรรมผลิตยานยนต์ ก็ต้องรับผิดชอบงานในด้าน APQP และ เอกสาร PPAP ด้วย นะครับผม ไม่ว่าจะเป็น Control Plan, PFMEA, Work Instruction และ อื่นๆ เป็นต้นเพื่อนๆ หลายๆ คน คงจะมีคำถามใช่ไหมครับว่า ทำไมหน้าที่การทำงาน มันคล้ายๆ กับ “Production Engineer” กับ “Process Engineer” เลย คำตอบก็คือ จะว่าไปแล้ว รายละเอียดของหน้าที่การทำงานนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละองค์กร จะกำหนดไว้อย่างไรด้วยนะครับภาพจาก: Pixabay / x3แต่ส่วนตัวผมเองคิดว่า “Manufacturing Engineer” ก็คือการนำหน้าที่การทำงานของ “Production Engineer” กับ “Process Engineer” และมีหน้าที่การทำงานบางส่วนของ “Project Engineer” และ “Quality Engineer” รวมอยู่ด้วย เอาง่ายๆ เลยนะครับ ว่า ทำทุกอย่างที่อยู่ในส่วนที่ตัวเองดูแลอยู่นั้นเอง ครับผม ไม่ว่าจะเป็น กระบวนการการผลิต, เครื่องจักรและอุปกรณ์, กำลังคนทำงาน, ลดของเสีย, ปรับปรุงคุณภาพ, ปรับปรุงกระบวนการผลิต, ลดต้นทุน และ อื่นๆ เป็นต้น ครับผมสำหรับเงินเดือนเริ่มต้นของตำแหน่งงาน “Manufacturing Engineer” ของคนที่พึ่งเริ่มทำงาน โดยยังไม่มีประสบการณ์เลยนะครับ ก็จะอยู่ที่ประมาณ 18,000 – 25,000 บาท ต่อ เดือน ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถด้วยนะครับ บางคนอาจจะเก่งภาษาต่างประเทศ หรือมีความสามารถอื่นๆ ก็อาจจะได้เงินเดือนที่สูงมากกว่านี้ได้นะครับสำหรับการเจริญเติบโตของตำแหน่งงาน “Manufacturing Engineer” นี้นะครับ ก็จะเริ่มจาก Engineer และเลื่อนตำแหน่งเป็น Manager และก็เป็น General Manager และก็เป็น Director เป็น President และ COO สุดท้ายก็เป็น CEO นะครับ หรือถ้าหากใครต้องการจะไปเปิดกิจการของตัวเอง ก็จะได้ความรู้จากการที่ดูแลฝ่ายผลิต ซึ่งง่ายต่อการไปเปิดโรงงานของตัวเองได้เช่นกันนะครับภาพจาก: Pixabay / Christian Reilผมหวังว่า คงจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆ คนนะครับ หลายๆ คน คงจะมีความกระจ่างมากขึ้นนะครับ สำหรับ ตำแหน่งงาน “Manufacturing Engineer” หากมีคำถามเพิ่มเติมก็สอบถามเข้ามาได้เลยนะครับ ขอบคุณมากๆ ครับผมภาพหน้าปกจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจาก: Pixabay / PublicDomainPicturesภาพจาก: Pixabay / Ekkasit Chaingamภาพจาก: Pixabay / x3ภาพจาก: Pixabay / Christian Reil
WANDIntelligence • 17 มิ.ย. 64
อ่าน
เว็บไซต์ Search Engine ที่คุณรู้จักและใช้งานมากที่สุดคือเว็บอะไร?
เว็บไซต์ Search Engine ที่คุณรู้จักและใช้งานมากที่สุดคือเว็บอะไร? เชื่อว่าหลายคนอาจเทใจให้ "กูเกิล" (Google) ไม่ว่าอยากรู้เรื่องอะไรแค่พิมพ์สิ่งที่อยากรู้ ทุกเรื่อง สารพัดจากหลากหลายเว็บไซต์ต่าง ๆ เสิร์ฟข้อมูลมาไว้บนเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และวันนี้ใครได้เริ่มต้นใช้งานกูเกิลจะเห็น Logo สุดน่ารักสื่อถึงวันเกิด google วันนี้จะพาไปรู้จัก เว็บไซต์ Search Engine สุดนิยมของคนไทยกัน Google คืออะไร? ทำอะไรได้บ้าง? เป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลในโลกของอินเตอร์เน็ต โดยค้นหาข้อมูลจากข้อความ หรือตัวอักษรที่พิมพ์เข้าไป แล้วทำการค้นหาข้อมูล รูปภาพ หรือเว็บเพจที่เกี่ยวข้องนำมาแสดงผล เว็บไซต์ Google ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่ต้องการค้นหาข้อมูล หรือสารพัดที่ผู้ใช้งานอยากรู้ ทุกอย่างจะถูกค้นขึ้นมาให้เห็นและรวดเร็ว ส่วนสถิติการใช้งานกูเกิล "คำ" ที่คนไทยค้นหามากที่สุด ปี 2563 ที่ผ่านมา พบว่า 5 คำฮิตจนกลายเป็นเทรนด์ ได้แก่ เราไม่ทิ้งกัน คนละครึ่ง โควิด-19 DLTV เยียวยาเกษตรกร นอกจาก google จะเป็นเว็บไซต์ Search Engine ให้เราใช้ได้ค้นหา "คำ" ที่ต้องการ เพื่อใช้ในการศึกษา อ่านบทความ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง กูเกิลยังมีบริการด้านอื่น ๆ บนอินเทอร์เน็ตอีกมากมาย ขอยกตัวอย่างที่ทกคนต้องคุ้นเคย 1. จีเมล Gmail บริการอีเมล หลายคนต้องมีแน่นอนสำหรับบริการอีเมลที่ทั้งใช้ง่าย ไว้ติดต่อส่งรับเมล 2. กูเกิล ด็อกส์ Google Docs อีกหนึ่งบริการใช้งานซอฟต์แวร์สำนักงานรวมถึง เวิร์ด สเปรดชีต พรีเซนเตชัน ให้ผู้ใช้สามารถได้ฟรีออนไลน์ โดยเพิ่มเติมความสามารถในการแชร์และให้ผู้ใช้หลายคนสามารถแก้ไขไฟล์เดียวกันพร้อมกันได้โดยผู้ใช้ โดยเริ่มพัฒนาจากซอฟต์แวร์ ไรต์รี (Writely) และ กูเกิล สเปรดชีตส์ (Google Spreadsheet) เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2550 3.กูเกิล แมปส์ Google Maps และบริการที่คุ้นเคยต้องมีติดสมาร์ทโฟนในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกล นั่นคือกูเกิลแมปส์ หรือแผนที่ ค้นหาที่อยู่ ค้นหาธุรกิจและร้านอาหาร และนี่คือบริการส่วนหนึ่งจาก Google เอาล่ะ ลองมารู้จักประวัติ Google กันหน่อยทำไมเว็บไซต์หน้าขาว ๆ ถึงได้รับความนิยมของคนทั่วโลก เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? ใครคือคนสร้าง Google ให้คนทั่วโลกใช้? เว็บไซต์วิกิพีเดีย ระบุว่า กูเกิล (อังกฤษ: Google Inc.; แนสแด็ก: GOOG และ LSE: GGEA) เป็นบริษัทมหาชนอเมริกัน มีรายได้หลักจากการโฆษณาออนไลน์ที่ปรากฏในเสิร์ชเอนจินของกูเกิล อีเมล แผนที่ออนไลน์ ซอฟต์แวร์จัดการด้านสำนักงาน เครือข่ายออนไลน์ และวิดีโอออนไลน์ รวมถึงการขายอุปกรณ์ช่วยในการค้นหา กูเกิลสำนักงานใหญ่ที่รู้จักในชื่อกูเกิลเพล็กซ์ตั้งอยู่ที่เมืองเมาน์เทนวิว รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีพนักงาน 16,805 คน (31 ธันวาคม พ.ศ. 2550)[ต้องการอ้างอิง] โดยกูเกิลเป็นบริษัทอเมริกันที่ใหญ่ที่สุดที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดัชนีดาวโจนส์ (ข้อมูล 31 ตุลาคม พ.ศ. 2550) กูเกิลก่อตั้งโดย แลร์รี เพจ และ เซอร์เกย์ บริน ขณะที่ทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งภายหลังทั้งคู่ได้ก่อตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2541 ในโรงจอดรถของเพื่อนที่ เมืองเมนโลพาร์ก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย [9] และมีการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก เมื่อ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เพิ่มมูลค่าของบริษัท 1.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหลังจากนั้นทางกูเกิลได้มีการขยายตัวตลอดเวลาจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่และการซื้อกิจการอื่นรวมเข้ามา เช่น กูเกิล ดีปไมด์ รวมถึงก่อตั้งบริษัทลูกอย่างกูเกิล เอกซ์กูเกิลได้ถูกจัดอันดับให้เป็นบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาโดยนิตยสารฟอร์จูน[10] ซึ่งมีคติพจน์ประจำบริษัทคือ Don't be evil อย่างไรก็ตามทางบริษัทได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในด้านการละเมิดข้อมูลส่วนตัว การละเมิดลิขสิทธิ์ และการเซ็นเซอร์ในหลายส่วน วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558 แลร์รี เพจ และเซอร์เกย์ บริน สองผู้ก่อตั้งกูเกิล ได้ตั้งบริษัทใหม่ชื่อ "แอลฟาเบต" (Alphabet) โดยมีแผนจะใช้บริษัทนี้เป็นบริษัทแม่แทน และลดขนาดองค์กรกูเกิลลงเพื่อความคล่องตัวทางธุรกิจ[ ต่อมาวันที่ 1 กันยายน ปีเดียวกัน กูเกิลได้เปลี่ยนโลโก้บริษัทใหม่ Bing คู่แข่งกูเกิลที่ไม่ธรรมดา? อีกหนึ่งเว็บไซต์ Search Engine ที่คนไทยใช้ไม่น้อยเหมือนกันสำหรับ Bing เครื่องมือค้นหา ตัวใหม่จาก Microsoft ที่มีความโดดเด่นและพิเศษด้วย Gimmick ให้เล่น เช่น Theme หน้า Bing.com ที่เปลี่ยนไปทุก ๆ วัน และหน้าตาที่ดึงดูดการใช้งาน หรือดึงความสนใจ ทำให้เป็นเว็บไซต์ Search Engine ที่น่าใช้อีกตัวแถมยังครองใจผู้ใช้งานบางส่วนได้อีกด้วย ถือเป็นคู่แข่ง Google ที่ไม่ธรรมดาเลยนะ -------------------- เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ทันความเคลื่อนไหว ได้ความรู้ที่ถูกต้อง ส่งตรงถึงมือคุณคลิกเลย!! รู้ทันกันโควิด หรือกด*301*35# โทรออก
ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี • 27 ก.ย. 64
อ่าน
9 Search Engine ทางเลือกแทนการใช้ Google
คิดว่าทุกคนคงเคยใช้ Search engine อยาก Google กันทุกคนอยู่แล้ว โดย Google เป็น Search engine ที่แทบทุกคนเลือกใช้งานและการค้นหามากกว่า 90% เกิดขึ้นบน Google แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่จะใช้แทน Google ได้ ทั้งมีความปลอดภัยและมีประโยชน์ที่แตกต่างจาก Google ว่าแต่มีตัวไหนบ้าง ไปดูกัน 1. BingBing เป็น Search engine ที่พัฒนาโดย Microsoft และมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นที่สองรองจาก Google โดยเริ่มเปิดใช้งานตั้งแต่ปี 2009 และต้นแบบของ Bing มาจาก Search engine ที่พัฒนาโดย Microsoft เองที่ชื่อว่า MSN Search และ Live Searchโดยเราสามารถใช้งาน Bing คล้ายๆ กับการใช้งานบน Google โดยสามารถค้นหาจากข้อความ วิดีโอ รูปภาพ แผนที่ ผลิตภัณฑ์และอื่นๆแล้วอะไรที่ทำให้ Bing แตกต่าง?Bing ดีกว่าตรงที่ทำให้การค้นหาวิดีโอเป็นเรื่องง่าย เราจะเห็นรูปขนาดย่อและเมื่อเราเลื่อนเมาส์ไปชี้แล้ว Bing จะเล่นตัวอย่างของวิดีโอนั้นแบบสั้นๆ ให้ดูด้วย 2. YahooYahoo เป็นอีก Search engine ทางเลือกและมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ลำดับที่สาม ตามหลัง Google และ Bing อยู่ ถูกพัฒนาโดย David Filo และ Jerry Yang ในปี 1994 โดย Yahoo จะเป็นที่นิยมในช่วงปี 90 และก่อนปี 2000แล้วอะไรที่ทำให้ Yahoo แตกต่าง?ถ้าเราใช้ Yahoo ในบริการอื่นๆ เช่น การเงิน, กีฬา, อีเมล หรือ Yahoo Answers สิ่งเหล่านี้ Yahoo จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เราจะได้ข้อมูลมากกว่าหัวเรื่องซึ่งละเอียดกว่า Search engine อื่นๆ พอตัว 3. DuckDuckGoDuckDuckGo เป็นอันดับในเรื่องของความปลอดภัยและสิทธิ์ของผู้ใช้งาน โดยจะไม่เก็บหรือนำข้อมูลของผู้ใช้งานไปวิเคราะห์หรือทำอะไรต่อให้วุ่นวาย โดยถูกพัฒนาเมื่อปี 2008 โดย Gabriel Weinberg โดย DuckDuckGo จะหาข้อมูลจาก 400 แหล่งข้อมูลที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการค้นหาของตัวเองและยังเป็นพันธมิตรกับ Bing อีกด้วยหนึ่งในคุณสมบัติเด่นที่ทำให้ DuckDuckGo แตกต่างคือไม่ได้ใช้การค้นหาในเทคนิคที่เรียกว่า "Filter bubbles" โดยถ้ามีการใช้เทคนิค "Filter bubbles" นี้ผลลัพธ์จากการค้นหาจะถูกปรับแต่งตามประวัติการใช้งานเว็บที่ของเรา ทำให้ผลลัพธ์ของการค้นหานั้นแตกต่างจากที่อื่นๆแล้วอะไรที่ทำให้ DuckDuckGo แตกต่าง?DuckDuckGo มอบความปลอดภัยให้แก่เรา โดยจะไม่เก็บข้อมูลของผู้ใช้ ประวัติการใช้งานเว็บและอื่นๆ ทำให้เชื่อใจได้ว่า ข้อมูลส่วนตัวของเราจะถูกนำไปใช้งานต่อ (สังเกตเวลาเราใช้งาน Search engine ที่อื่นๆ อาจจะมีโฆษณาบางอย่างตามมาให้เห็น นั่นล่ะครับ เค้าใช้ข้อมูลเราอยู่ 🙄) 4. Baiduหลายๆ คนอาจจะตกใจกับชื่อนี้ แต่จริงๆ แล้ว Baidu เป็นทางเลือกหนึ่งของ Search engine ในประเทศจีน โดยลักษณะการใช้งานและผลลัพธ์นั้นจะคล้ายๆ กับ Google แล้วอะไรที่ทำให้ Baidu แตกต่าง?ในประเทศจีน Baidu ได้เปรียบ Google และถ้าเรามีธุรกิจที่ต้องการให้คนจีนค้นหาเจอนั้น แทนที่จะไปทำให้เว็บของเราหาพบใน Google ได้ง่าย ก็ให้เราไปโฟกัสที่การค้นหาด้วย Baidu แทนนะครับ 5. YandexYandex ได้รับความนิยมในประเทศรัสเซีย โดยมีสัดส่วนในตลาดอยู่ที่ลำดับที่ 5 และ Yandex นั้นไม่ใช่แค่ Search engine แต่ยังมีบริการอื่นๆ เช่นการเดินทาง, อี คอมเมิร์ซ, โฆษณาออนไลน์ และอื่นๆ คล้ายๆ กับ Google นอกจากนี้ Yandex ยังมีโปรแกรม Browser ของตัวเองอีกด้วยแล้วอะไรที่ทำให้ Yandex แตกต่าง?Yandex มีคุณสมบัติคล้ายกับ Google แต่จะให้ผลลัพธ์ของการค้นหาสิ่งที่อยู่ในรัสเซียได้ดีกว่า และครองส่วนแบ่งการตลาดในรัสเซียอยู่ที่ 56% อีกด้วย นอกจากนี้ Yandex ยังเป็นที่นิยมในยูเครน เบลารุส คาซักสถาน ตุรกี อุซเบกิสถาน ซึ่งถ้าเรามีธรุกิจที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มประเทศเหล่านี้ เราจึงควรพัฒนาเว็บไซต์ให้ค้นหาได้ดีใน Yandex 6. TwitterTwitter ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเว็บ Social media แต่ว่าก็เป็น Search engine ที่เก่งตัวหนึ่งเลย ถ้าเราต้องการข่าวสารล่าสุด ข่าวที่เป็นที่นิยม Search engine ตัวใดก็ไม่สามารถที่จะต่อกรกับ Twitter ได้แล้วอะไรที่ทำให้ Twitter แตกต่าง?Twitter ได้เปรียบที่มีข้อมูลล่าสุดอยู่เสมอและมีความเร็วเป็นอย่างมาก ดังนั้นถ้าต้องการข้อมูลแบบนาทีต่อนาที Twitter คือทางเลือกที่ดีกว่า 7. StartPageStartPage เป็น Search engine ที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ที่สุดอีกตัวหนึ่ง โดย StartPage จะไม่เก็บข้อมูลของผู้ใช้ อย่างเช่น IP address ไม่ตรวจสอบข้อมูลภายในเครื่องของเรา ไม่ดูพฤติกรรมการใช้งานของเรา โดยผลลัพธ์ของการค้นหานั้นจะได้ต่อมาจากผลของ Google ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าจะได้ข้อมูลไม่ครบถ้วนแล้วอะไรที่ทำให้ StartPage แตกต่าง?StartPage มอบความปลอดภัยให้แก่เรา โดยเราไม่ต้องมอบข้อมูลส่วนตัวให้กับ Search engine อื่นๆ ให้เค้าเอาไปใช้งานต่อ 8. EcosiaEcosia เป็น Search engine ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก โดยการค้นหาด้วย Ecosia ในแต่ละครั้ง Ecosia จะปลูกต้นไม้ทั่วทุกมุมโลกจากกำไรที่เค้าได้รับ โดย Ecosia จะบริจาคเงินประมาณ 80% ของกำไรเพื่อนำไปปลูกต้นไม้ ถ้าตีเป็นจำนวนครั้งก็จะอยู่ที่การค้นหา 50 ครั้งต่อต้นไม้ 1 ต้นEcosia ใช้ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ที่ได้จาก Bing แต่ก็มีการค้นหาของตัวเองที่ไม่ขึ้นอยู่กับ Bing อีกด้วยแล้วอะไรที่ทำให้ Ecosia แตกต่าง?นอกจากเพื่อรักษาโลกให้น่าอยู่ ลดการใช้คาร์บอนแล้ว Ecosia ยังมอบความปลอดภัยโดยที่ไม่เก็บข้อมูลของผู้ใช้อีกด้วย โดยข้อมูลของผู้ใช้งานจะถูกลบภายใน 1 สัปดาห์ 9. SwisscowsSwisscows เป็น Search engine ที่ใช้กับมากในสวิตเซอร์แลนด์ ผลลัพธ์นั้นจะมาจาก Bing โดยข้อมูลที่ใช้ในกระบวนการค้นหานั้นจะเป็นภาษาเยอรมันSwisscows เป็นอีก Search engine หนึ่งที่ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้งาน ทำให้ไม่มีอะไรมากวนใจผู้ใช้หลังจากค้นหาข้อมูลไปแล้วแล้วอะไรที่ทำให้ Swisscows แตกต่าง?ความปลอดภัยเป็นหัวใจหลักของ Swisscows และ Search engine นี้ยังกรองเนื้อหาที่มีความรุนแรงหรือไม่เหมาะสมออกให้ด้วยครบทั้ง 9 ตัวแล้ว น่าจะมีทางเลือกอื่นๆ ให้ใช้งานนอกจาก Google กันบ้างแล้วนะครับภาพโดยนักเขียนหมีขั้วโลก ทอดกรอบ〔´(エ)`〕อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
หมีขั้วโลก ทอดกรอบ • 17 ก.พ. 65
อ่าน
27 กันยายน วันเกิดกูเกิล (Google) เว็บไซต์ Search Engine ของคนทั่วโลก
"วันเกิดกูเกิล (Google)" ตรงกับวันที่ "27 กันยายน" ของทุกปี โดยกูเกิล เป็นเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิน (Search Engine) ที่คนทั่วโลกรู้จัก และใช้ค้นหาข้อมูลมากมาย วันนี้เราจึงจะพามาเปิด ประวัติกูเกิ้ล ว่า Google เกิดจากอะไร ใครเป็น ผู้ก่อตั้ง Google กูเกิล (Google) เป็นเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิน (Search Engine) ที่ก่อตั้งโดย แลร์รี เพจ (Larry Page) และเซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) โดยทั้งสองคนพบกันที่มหาวิทยาลัย Stanford University และได้เริ่มทำงานร่วมกันโดยตั้งใจสร้างระบบ Search Engine บนอินเทอร์เน็ต หรือเครื่องมือค้นหาที่มีการจัดระเบียบข้อมูลจำนวนไม่จำกัดบนเว็บ และสามารถแสดงผลการค้นหาจากคีย์เวิร์ด ด้วยการจัดอันดับจากเว็บไซต์ที่มีคนเข้าลิงก์มากที่สุดไปถึงน้อยที่สุด ซึ่งเป็น Thesis ระดับปริญญาเอก ของทั้งสองคน โดยทั้งสองคนใช้พิ้นที่โรงรถในการทำงาน จนหลังจากนั้นพวกเขาสามารถสร้างเครื่องมือค้นหาอย่างกูเกิล (Google) และเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 กันยายน ทำให้วันที่ 27 กันยายน กลายเป็นวันเกิดกูเกิล และเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2541 พวกเขาก็ได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท Google ขึ้น และจดทะเบียน Domain Name ชื่อ Google.com ขึ้นในวันที่ 15 กันยายน 2541 เมื่อ Google.com กลายเป็นเว็บไซต์ที่คนนิยมใช้มากขึ้น ก็ได้จับมือกับ yahoo เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ยิ่งทำให้ Google.com มียอดผู้ใช้บริการมากขึ้น จนแตะ 100 ล้านครั้งต่อวัน ภายใน 1 ปี และได้ Google ได้พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาซอฟต์แวร์ ระบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน เช่น Google.com เว็บไซต์ให้บริการค้นหาข้อมูล Google Earth ให้บริการดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมทั่วโลก Google Chrome ซอฟต์แวร์เบราว์เซอร์สำหรับท่องอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ Google Maps ซอฟต์แวร์สำหรับค้นหาแผนที่ทั่วโลก Google SketchUp ซอฟต์แวร์สำหรับวาดภาพสเก็ตช์และภาพสามมิติ Google Calandar บริการปฏิทินและนัดหมายต่าง ๆ Google Docs ซอฟต์แวร์สร้างเอกสารจากแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งบนคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน Google Mail หรือ Gmail บริการอีเมลคุณภาพที่เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องอินเทอร์เน็ตทั่วโลก Google Translate บริการแปลข้อความผ่านเว็บไซต์ที่สามารถแปลได้หลายภาษา Google Video บริการวิดีโอออนไลน์ Google Sky บริการดูดาวและระบบสุริยะผ่านเว็บไซต์ Google Talk หรือ Gtalk ซอฟต์แวร์สำหรับพูดคุย รับ-ส่งข้อมูลต่าง ๆ เชื่อมโยงกับ Gmail Google Pack ชุดดาวน์โหลดที่ประกอบด้วยโปรแกรมของ Google Google Wave บริการรับ-ส่งข้อมูล เกม และแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนอินเทอร์เน็ต และอีกสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมายของ กูเกิล (Google)ที่พัฒนาตอบโจทย์ผู้ใช้งาน เรียกได้ว่า เป็นเครื่องมือค้นหาคนทั่วโลกนิยมใช้งาน มีมากกว่า 100 ภาษาเพื่อการค้นหาและตอบคำถามหลาย ๆ ล้านล้านครั้งในแต่ละปี
ข่าวต่างประเทศ • 27 ก.ย. 65
อ่าน
Microsoft เคยพยายามโน้มนาวให้ Apple ใช้ Bing เป็น Search Engine ไปจนถึงขอให้ซื้อ Bing
ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา Bloomberg รายงานว่า Apple ได้ได้เจรจากับทาง Microsoft เกี่ยวกับการซื้อขายกิจการ Bing ในปี 2020 ซึ่งล่าสุดมีข้อมูลจากเอกสารยื่นต่อศาลเพิ่งถูกเปิดผนึกในสัปดาห์นี้ เป็นรายะละเอียดเกี่ยวกับการซื้อขายกิจการระหว่าง Apple และ Microsoft ตามรายงานของ CNBC เอกสารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคดีของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่กล่าวหาว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในอุตสาหกรรมการค้นหาหรือ Search แต่ในเอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณะเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น Google ได้เผยการเจรจาระหว่าง Apple และ Microsoft เพื่อยืนยันว่า Google ไม่ได้ผูกขาด แต่มีการแข่งขันกันอยู่ เนื้อหาในเอกสารของ Google ระบุว่า Microsoft เคยเสนอให้ Apple ใช้ Bing เป็น Search Engine ถึง 7 ครั้ง ได้แก่ปี 2009, 2013, 2015, 2016, 2018 และปี 2020 แต่ Apple เลือกที่จะไม่ใช่เนื่องจากประสิทธิภาพด้านการค้นหาที่ไม่ดีพอ “ในแต่ละครั้ง Apple ได้พิจารณาคุณภาพของ Bing เทียบกับ Google Search อย่างละเอียด และ APple สรุปใช้ Google Search เป็นตัวเลือกเริ่มต้นที่ดีกว่าสำหรับผู้ใช้งาน Safari นั่นแหละคือการแข่งขัน” – Google อธิบายในเอกสาร Google ยังบอกอีกว่า Microsoft ได้ติดต่อกับ Apple ในปี 2018 เพื่อโน้มน้าวเรื่องการปรับปรุงคุณภาพการค้นหาของ Bing ซึ่งเป้าหมายของ Microsoft คือการขาย Bing ให้กับ Apple หรือก่อตั้งกิจการ/เป็นพาร์ตเนอร์ที่ใช้ Bing ร่วมกัน แม้ว่าฉากหน้าจะมี iOS และ Android ที่เป็นระบบปฏิบัติการคนละขั้ว แต่เบื้องหลังก็เป็นเรื่องของธุรกิจ โดย Google ยอมจ่ายให้ Apple กว่าปีละพันล้านเหรียญเพื่อให้ Google Search เป็น Search Engine หลักบนระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ของ Apple ที่มา 9to5Mac
แบไต๋ • 25 ก.พ. 67
อ่าน
Apple อาจกำลังพัฒนาระบบค้นหาข้อมูล Search Engine ของตนเองเตรียมแขง Google
บริษัท แอปเปิล (Apple)บริษัทเทคโนโลยีอันดับหนึ่งของโลกอาจเตรียมเข้าสู่การแข่งขันในตลาดค้นข้อมูล Search Engine ที่มีจ้าวตลาดผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง Google สื่อต่างประเทศ 9to5mac รายงานว่าบริษัท แอปเปิล (Apple) ได้เข้าซื้อกิจการบริษัท เลเซอร์ไลค์ (Laserlike) ในปี 2018ภายหลังการเข้าซื้อกิจการบริษัท เลเซอร์ไลค์ (Laserlike) ผู้ร่วมต่อตั้งและผู้บริหาร ศรีนิวาสัน เวนกัตจารี (Srinivasan Venkatachary) ได้เข้ามาทำงานในบริษัท แอปเปิล (Apple) ในตำแหน่งระดับหัวหน้าและสมาชิกในทีมกว่า 200 คน ทำหน้าที่พัฒนาฟีเชอร์สำหรับ Spotlight ระบบคำแนะนำใน Siriปัจจุบัน ศรีนิวาสัน เวนกัตจารี (Srinivasan Venkatachary) อดีตผู้บริหารของเลเซอร์ไลค์ (Laserlike) ได้ย้ายไปทำงานให้กับ Google เรียบร้อยแล้ว ในทีมงานที่รับผิดชอบเรื่องปัญญาประดิษฐ์และมีส่วนสำคัญในการติดต่อผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ในแวดวงต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งรวมไปถึงเขาเป็นคนหนึ่งที่ทราบข้อมูลภายในบริษัท แอปเปิล (Apple) พอสมควรแม้ว่าบริษัท แอปเปิล (Apple) กำลังพัฒนาระบบค้นข้อมูล Search Engine จริงหรือไม่แต่เชื่อว่าหากบริษัทมีแผนการพัฒนาจริงจะต้องใช้เวลาอีก 3-4 ปี ในการพัฒนาระบบค้นข้อมูลและเปิดใช้งานทั่วโลกบริษัท แอปเปิล (Apple)และกูเกิล (Google) เป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่งในการทำธุรกิจ กล่าวกันว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมากูเกิลได้จ่ายเงินจำนวนมากกว่า 700 ล้านบาท เพื่อให้ผลการค้นของกูเกิลอยู่ในอันดับแรก ๆ ของแอปพลิเคชันบนระบบปฏิบัติการ iOS ซึ่งดีลดังกล่าวสามารถเพิ่มผู้ใช้งานได้ทั้งสองฝ่ายที่มาของข้อมูล 9to5mac.comที่มาของรูปภาพpixabay.com
TNN ช่อง16 • 13 พ.ย. 65
อ่าน
[รีวิว] Wallpaper Engine ทำ Wallpaper เคลื่อนไหวง่าย ๆ
[รีวิว] Wallpaper Engineพูดถึง Wallpaper หลาย ๆ คนก็อาจจะมีหน้าจอ desktop ที่ตั้งรูปหน้าจอในแบบที่เราชอบกันอยู่แล้วใช่ไหม แต่วันนี้ผมมีซอฟแวร์เจ๋ง ๆ มาแนะนำที่จะเปลี่ยนวอลเปเปอร์หน้าจอธรรมดาของคุณให้ กลายเป็นวอลเปเปอร์ที่สวยงามและถูกใจคุณเองด้วย มีหลายวอลเปเปอร์ให้คุณเลือกใช้งาน ทั้ง ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวระดับ HD ก็มีเป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายโปรแกรมรองรับภาษาไทย และมีตั้งค่าเพื่อปรับระดับคุณภาพของวอลเปเปอร์ ให้เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ของคุณWallpaper Engine เป็นโปรแกรมที่ช่วยอำนวยความสดวกในการเปลี่ยนวอลเปเปอร์บนหน้าจอของเราเหมาะสำหรับคนที่ต้องการวอลเปเปอร์หน้าจอที่สวยและคุณภาพ โปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมเปลี่ยนวอลเปเปอร์ที่มากกว่าการเปลี่ยนวอลเปเปอร์แบบธรรมดาทั่วไป เราสามารถทำให้หน้าจอเราเป็นได้ทั้ง เคลื่อนที่และเสียงเวลาเปิดเสียงนี้โครตเท่บอกเลยครับ และยังสามารถเป็นเกมให้เล่นได้อีกด้วย อย่างเช่นก็ เราใช้เมาส์กดที่หน้าจอก็จะเป็นการควบคุมหรือทำให้วอลเปเปอร์ขยับได้ อันนี้ก็แล้วแต่เราจะใช้วอลเปเปอร์อันไหนมีหลายลูกเล่นต่างกันไปโปรแกรมนี้เราสามารถปรับภาพได้สูงสุด ตามสเปคหน้าจอเราเลยอันนี้ดีมากส่วนตัวผมใช้ภาพ 2k สวยมาก ๆ แต่ข้อเสียเวลาเราใช้ภาพที่ใช้กราฟิกสูงคือเวลาอยู่หน้าจอ desktop ค้างไว้ จะกินทรัพยากรของเครื่องเราเยอะมากทั้ง CPU และ GPU แนะนำให้เวลาเล่นเกมอย่าเล่นเป็นวินโดว์หรือการใช้กราฟิกร่วมกับหน้า เพราะมันจะทำให้เราเล่นเกมแลคได้ เราสามารถทำวอลเปเปอร์ไปลง workshop ของ steam ได้เพื่อให้คนมาโหลดใช้งานของเราเหมือนกับที่เราไปหาโหลดของคนอื่นมาใช้Wallpaper Engine ปล่อยให้ดาวน์โหลดในปี 2018 และจนถึงปัจจุบันก็ยังติด Top Sell ของ Steam ในหมวดหมู่ Software ขอบอกเลยโปรแกรมนี้ชาวเกมเมอร์ทุกคนต้องมี อิอิความต้องการสเปคคอมพิวเตอร์ของ Wallpaper Engine OS: Windows 7 (with Aero), 8.1, 10Processor: 1.66 GHz Intel i5 or equivalentMemory: 1024 MB RAMGraphics: HD Graphics 4000 or aboveDirectX: Version 10Storage: 512 MB available spaceดาวน์โหลด : Wallpaper Engine เครดิตรูปภาพจาก Wallpaper Engine
Game MR • 24 ส.ค. 63
อ่าน
รีวิวตำแหน่งงาน “Supplier Development Engineer” ในโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต มีหน้าที่อะไรบ้าง? มีรายได้ประมาณเท่าไหร่? และมีความก้าวหน้าเป็นอย่างไร?
ในโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต ก็จะมี “วิศวกร” ประจำอยู่ในหลายๆ ส่วนงาน ที่มีหน้าที่แตกต่างกันไป ซึ่งในแต่ละส่วนงานก็จะมีหน้าที่หลักที่เหมือนกัน คือ ทำงานให้สำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และทำการขับเคลื่อนองค์กรให้มีความเจริญก้าวหน้าเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ นั้นเองครับผมในครั้งนี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ และรีวิว ตำแหน่งงานวิศวกร ในหน่วยงานที่ทำการดูแลจัดการ และพัฒนาผู้ผลิต หรือ หน่วยงาน Supplier Management และตำแหน่งงานที่ผมกำลังจะพูดถึงนั้นก็คือ “Supplier Development Engineer” หรือ “วิศวกรปรับปรุงดูแลและพัฒนาผู้ผลิต”ตัวผมเองมีโอกาสในการทำงานในตำแหน่งงานนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่ง ประมาณ 5 ปี เป็นหนึ่งในตำแหน่งงานที่ผมชอบมากๆ และทำงานมีความสุขมากๆ ครับผม ซึ่งผมจะนำประสบการณ์ที่ผมทำงานในตำแหน่งนี้มา มาเล่าให้เพื่อนๆ ทุกๆ ท่านได้รับทราบถึงรายละเอียดกันนะครับ เผื่อเพื่อนๆ หลายๆ ท่าน สนใจอยากจะทำงานในตำแหน่งนี้นะครับผม“Supplier Development Engineer” หรือเรียกย่อๆ ว่า “SDE” มีหน้าที่หลักๆ คือ ต้องทำการปรับปรุงดูแล แลพัฒนาขับเคลื่อน Supplier ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งด้าน Quality, Cost, Delivery และ Safety เพื่อให้ Supplier สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้อย่างสูงสุด“Supplier Development Engineer” ต้องทำการ Sourcing Supplier ใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพ ต้องเป็น Leader ในการ Audit New Supplier รวมไปถึง Regular Audit อีกด้วย เพื่อขับเคลื่อนให้ Supplier มีการปรับปรุงพัฒนาอยู่ตลอดเวลา“Supplier Development Engineer” ต้องทำการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพของ Supplier ต้องคอยผลักดันให้ Supplier ทำการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทันสมัย เพื่อที่จะให้ตอบรับกับคุณภาพที่ต้องการ“Supplier Development Engineer” ต้องทำการบริหารจัดการกับ Supplier เกี่ยวกับกิจกรรมการพัฒนาต่างๆ เอกสารมาตรฐานต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น APQP, PPAP, FMEA, SPC หรือ เอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ “Supplier Development Engineer” ยังต้องทำการ Cost Reduction กับ Supplier อีกด้วย เพื่อทำการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และกำไรให้กับองค์กร นะครับผม ในมุมมองของผมเองที่เคยทำงานในตำแหน่งนี้มานะครับ ผมขอสรุปว่า “Supplier Development Engineer” มีหน้าที่หลักๆ ในการดูแลปรับปรุงพัฒนา และรักษามาตรฐานของ Supplier ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Quality, Cost, Delivery และ Safety โดยเข้าไปผลักดัน Supplier ด้วยวิธีการต่างๆ เทคนิคต่างๆ เช่น การไปทำงานร่วมกับ Supplier หรือการไป Audit Supplier อย่างสม่ำเสมอ เป็นต้น ครับผมสำหรับคุณสมบัติหลักๆ ที่ทาง “Supplier Development Engineer” ต้องมีติดตัวนะครับ มีดังนี้นะครับ คือโดยปกติแล้ว “Supplier Development Engineer” จะแบ่งงานการดูแลออกเป็นหมวดหมู่ ยกตัวอย่างเช่น Plastic Parts, Metal Parts, Electronics Parts, Aluminum Die Casted Parts หรือ อื่นๆ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละองค์กรจะทำการกำหนดขึ้นมานะครับโดยที่ทาง “Supplier Development Engineer” ที่ดูแลในหมวดนั้นๆ ก็ต้องมีความรู้เฉพาะทางในหมวดหมู่นั้นๆ ด้วย บางคนอาจจะเคยทำงานเป็น Supplier Quality Engineer, Production Engineer, Quality Engineer, Process Engineer หรือวิศวกรด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมาก่อน นะครับ“Supplier Development Engineer” ต้องมีความรู้ในด้านการ Audit ต้องเข้าใจในมาตรฐานต่างๆ เช่น IATF16949, ISO, VDA หรืออื่นๆ เพราะ “Supplier Development Engineer” ต้องเป็น Leader ในการทำการ Audit Supplier นะครับผม สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ นะครับ ที่ผมอยากจะบอก นั้นก็คือ “Supplier Development Engineer” ต้องทำงานร่วมกับหลายๆ หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น Supplier, Customer, Sale, Production, Process, Planning, Quality, Purchasing และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนะครับ หรือเรียกว่า Cross-Functional Team นั้นเองครับผม ซึ่งตอนที่ผมทำงานในตำแหน่งนี้อยู่นั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ และไม่น่าเบื่อเลย เพราะในแต่ละวันก็จะมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาให้แก้ไขอยู่ตลอดเวลา ครับผมสำหรับรายได้ของตำแหน่ง “Supplier Development Engineer” ก็ถือว่ามากอยู่พอสมควรนะครับ เนื่องจากว่าเป็นตำแหน่งงานที่ต้องการคนที่มีประสบการณ์สูง และคนที่มีความรู้เฉพาะทางในหมวดหมู่งานนั้นๆ นะครับ ส่วนมากแล้วมักจะต้องการคนที่มีประสบการณ์ในโรงงานการผลิตมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี เงินเดือนเริ่มต้นก็จะอยู่ที่ 45,000 – 60,000 THB เลยทีเดียว ใครจะได้เงินเดือนมาก หรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การทำงาน และความรู้ ความสามารถด้วยนะครับผม ซึ่งตอนที่ผมทำงานในตำแหน่งนี้ ผมเริ่มต้นรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 6 หลักเลยทีเดียวนะครับผม ถือว่าเป็นตำแหน่งงานที่น่าสนใจมากๆ เลยทีเดียวครับผมส่วนการเจริญก้าวหน้าในตำแหน่งงานของ “Supplier Development Engineer” ก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กรนะครับ แต่ผมจะยกตัวอย่างในองค์กร ที่ผมเคยทำงานอยู่ละกันนะครับโดย “Supplier Development Engineer” จะทำการเติบโตไปเป็น Supplier Development Manager และต่อไปเป็น Regional Supplier Development และต่อไปเป็น Global Supplier Development และเติบโตไปเป็น Director Supplier Management บ้างคนก็ไปถึง President Supplier Management เป็นต้น ครับผมนี้ก็เป็นประสบการณ์ของผมเอง ที่เคยทำงานในตำแหน่งนี้มา นำมาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้รับทราบกัน ผมคิดว่า ตำแหน่งงานนี้ มีความไม่น่าเบื่อ ต้องเดินทางตลอดเวลาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ หากเพื่อนๆ คนไหนที่ต้องการความท้าทาย ก็สามารถลองดูได้นะครับผม หากมีข้อผิดพลาดประการใด ผมต้องขออภัยไว้ด้วยนะครับผม ขอบคุณมากๆ ครับผม ภาพหน้าปกจาก: Pixabay / StockSnapภาพจากลำดับที่ 1 จาก: Pixabay / Ronald Carreñoภาพจากลำดับที่ 2 จาก: Pixabay / Gerd Altmannภาพจากลำดับที่ 3 จาก: Pixabay / Gerd Altmannภาพจากลำดับที่ 4 จาก: Pixabay / Gerd Altmannภาพจากลำดับที่ 5 จาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจากลำดับที่ 6 จาก: Pixabay / Gerd Altmannภาพจากลำดับที่ 7 จาก: Pixabay / Diggity Marketingภาพจากลำดับที่ 8 จาก: Pixabay / Gerd Altmann เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WANDIntelligence • 20 ต.ค. 65
อ่าน
OPPO เตรียมอัปเดต HyperTone Image Engine ของ Find X7 Ultra ให้กับไลน์อัป Find N และ Reno 11
HyperTone Image Engine เป็นเทคโนโลยีใหม่ของ OPPO ที่จะเข้ามาเสริมด้านการถ่ายภาพให้สวยงามยิ่งขึ้น โดยฟีเจอร์นี้ได้นำมาใช้กับเรือธงกล้องโหดรุ่นล่าสุดอย่าง Find X7 Ultra และมีการเปิดเผยว่าจะมีอัปเดตให้กับ Find N3, N3 Flip รวมถึง Reno11 Pro ที่ยังไม่เปิดตัวด้วย แม้ OPPO จะระบุว่า ฟีเจอร์บางส่วนอาจขึ้นอยู่กับชนิดของฮาร์ดแวร์ แต่ก็มีส่วนที่สามารถนำมาใช้ได้ เช่น แกนหลักของอัลกอริทึม, ลักษณะภาพถ่าย, และสไตล์ที่จะสามารถส่งต่อให้กับสมาร์ตโฟน Oppo รุ่นอื่น ๆ ได้ ในเบื้องต้น OPPO กล่าวว่า HyperTone engine เป็นการนำ AI มาใช้ลด Noise และใช้การปรับเพิ่มความสว่างของเม็ดพิกเซลด้วยเทคโนโลยีโฟตอนเมตริก (photon matrix technology) ซึ่ง engine ประมวลผลภาพแบบใหม่นี้จะทำให้ภาพความคมชัด (clarity) เพิ่มขึ้น 30% และช่วยลด noise ได้ถึง 60% ที่มา: GSMArena
แบไต๋ • 9 ม.ค. 67
อ่าน
รีวิวตำแหน่งงาน “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่” ในโรงงานอุตสาหกรรมการผลิต มีหน้าที่อะไรบ้าง? มีรายได้ประมาณเท่าไหร่? และมีความก้าวหน้าเป็นอย่างไร?
สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกๆ ท่าน สำหรับในครั้งนี้ เราจะมาพูดคุยกันเกี่ยวกับ รายละเอียดของ รายละเอียด และหน้าที่การทำงานของ “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่” กันนะครับเพื่อนๆ หลายๆ ท่านคงจะมีข้อสงสัยกันอยู่มากพอสมควร หรืออาจจะยังไม่รู้ว่าตำแหน่งงานนี้ทำหน้าที่อะไรบ้าง จึงทำให้ยังมีความลังเลอยู่ในการสมัครงาน เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดกันเลยนะครับก่อนอื่น ผมจะขออธิบายถึงหน้าที่หลักๆ ของ “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่” ก่อนนะครับ ซึ่งในแต่ละองค์กรก็จะมีความรับผิดชอบที่ต่างกัน แตกต่างกันไปตาม Product ของ องค์กรนั้นๆ นะครับ แต่ในบทความนี้ ผมจะขออ้างอิงกับประสบการณ์ของผมเอง ที่ Product เป็น Automotive Parts นะครับสำหรับหน้าที่ความรับผิดชอบหลักๆ ของ “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่” ก็ตามชื่อตำแหน่งเลยนะครับ คือ ต้องดูแลปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ภายในองค์กร นั้นเอง รายละเอียด ดังนี้ นะครับ1. ประเมินกระบวนการผลิต ความสามารถในการผลิต วางแผนการผลิต และออกแบบการผลิต เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และทันตามระยะเวลาที่ลูกค้ากำหนดไว้2. ทำการประเมิน product drawing และ specification และ มาตรฐานต่างๆ, จัดทำ feasibility of drawing, จัดทำ DFM (design for manufacturing) และทำการจัดทำ master schedule plan3. รับผิดชอบในการปรับปรุงพัฒนา development, trial, monitoring result, สรุปผลการทดลอง นำไปสร้างเป็นมาตรฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น condition parameter standard, inspection standard, packaging standard, work-instruction, process flow chart, FMEA, control plan, APQP, PPAP และเอกสารอื่นๆ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของลูกค้า4. เป็นผู้นำในการดำเนิน project และเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อให้ project ดำเนินการไปได้อย่างราบรื่น และในกรณีที่ project มีปัญหาเกิดขึ้น ก็ต้องเป็นผู้นำในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอีกด้วยนะครับ5. หลังจากที่ project สามารถ mass production ได้แล้ว ยังต้องทำการปรับปรุงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ นั้นก็คือการทำ continuous improvement นั้นเองครับผมนี่ก็เป็นเพียงรายละเอียดบางส่วนของหน้าที่การทำงานหลักๆ ของ “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่” ซึ่งอาจจะมีแตกต่างกันไปบ้างแล้วแต่องค์กรนะครับ แต่หลักๆ แล้ว ก็คือ มีหน้าที่รับผิดชอบในการปรับปรุงพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ตั้งแต่เริ่มต้น จนไปถึง สามารถผลิตส่งให้ลูกค้าได้ตามความต้องการ และทันตามเวลาที่กำหนดไว้ นั้นเองครับผมสำหรับคนที่จะมาทำงานในตำแหน่ง “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่” โดยส่วนใหญ่แล้วนะครับ ผมคิดว่าต้องมีคุณสมบัติหลักๆ ดังนี้1. ปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมศาสตร์ หรือสาขาที่เกี่ยวข้องหรือประสบการณ์เทียบเท่า2. มีประสบการณ์ในงานสายการผลิต กระบวนการผลิต และควรที่จะมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ขององค์กรนั้นๆ ด้วยนะครับ เช่น โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ก็ควรที่จะมีประสบการณ์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้นครับผม3. มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาได้ดี ทำงานภายใต้ความกดดันได้ดี และมีความสามารถในการจัดการ project ได้ดี4. มีความรู้ในระบบ และมาตรฐานต่างๆ เช่น ISO, IATF, ระบบการควบคุมคุณภาพ, ระบบอนามัยสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย5. มีความรู้ ความสามารถในด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เช่น Microsoft Office, Auto Cad, 3D model program และโปรแกรมอื่นๆ ที่เกี่ยวกับงานทางด้าน Engineering เป็นต้นสำหรับเงินเดือนเริ่มต้นของ “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่”ส่วนมากแล้วก็จะเหมือนกับ วิศวกรในตำแหน่งอื่นๆ คือจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 25,000 บาท ต่อ เดือน ส่วนต่อไปใครจะได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ และประสบการณ์ของแต่ละคนเองนะครับ แต่จากประสบการณ์ของผมที่เคยเห็นมา สูงสุดคนที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี จะมีเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 100,000 – 150,000 บาท ต่อ เดือนเลยทีเดียวนะครับความก้าวหน้าของตำแหน่งงาน “New Model Engineer” หรือ “วิศวกรผลิตภัณฑ์ใหม่” ก็สามารถเลื่อนตำแหน่งเป็น Engineering Manager ต่อไปก็จะเป็น General Engineering Manager และเติบโตไปเป็น Engineering Director และเป็น Plant Manager และเป็น COO ตามลำดับนะครับผมทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงข้อมูลบางส่วนที่ผมนำมาจากแหล่งข้อมูลความรู้ และจากประสบการณ์การทำงานของผมเอง เพื่อให้เพื่อนๆ ได้รับทราบกันนะครับ ข้อมูลบ้างอย่างอาจจะมีข้อผิดพลาดก็ขออภัยไว้ใน ที่นี้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากๆ ครับผมหวังว่า บทความนี้คงจะมีประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ใช้ในการประกอบการตัดสินใจในการเลือกสายงาน นะครับผม สุดท้ายก็ขออวยพรให้ทุกๆ ท่าน ประสบความสำเร็จ และสมหวังทุกประการ ครับผม ขอบคุณมากๆ ครับผมภาพหน้าปกจาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจากลำดับที่ 1 จาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจากลำดับที่ 2 จาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจากลำดับที่ 3 จาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจากลำดับที่ 4 จาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจากลำดับที่ 5 จาก: Pixabay / RAEng_Publicationsภาพจากลำดับที่ 6 จาก: Pixabay / RAEng_Publicationsเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
WANDIntelligence • 30 ก.ย. 65
อ่าน
เครื่องยนต์วางกลาง "Mid Engine" ความสมดุลที่นิยมในรถสปอร์ต/ซูเปอร์คาร์
ตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ของรถใช่ว่ามันจะอยู่ด้านหน้าเพียงอย่างเดียว ในรถยนต์หลายคันมีเครื่องยนต์วางอยู่ตรงกลาง ของตัวรถด้วยเหมือนกันโดยเฉพาะรถประเภทซูเปอร์คาร์ รถสปอร์ตบางรุ่น ข้อสังเกตง่าย ๆ คือเครื่องยนต์จะอยู่บริเวณกระจกหลังของรถ หากมองเข้าไปก็จะเห็นห้องเครื่องทันที แทนที่จะอยู่ด้านหน้าตามปกติ มันอาจจะดูแปลกแต่มันมีสาเหตุที่ต้องทำเครื่องยนต์วางกลาง บอกเลยว่ามันมีข้อดีกว่าที่คิดไว้เสียอีกสำหรับการวางเครื่องยนต์วางกลางหรือที่เรียกว่า Mid Engine มักจะมาพร้อมกับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง (MR= Mid Engine Rear-wheel drive) และขับเคลื่อน 4 ล้อ (M4= Mid Engine Four wheel drive) ซึ่งการวางเครื่องยนต์ในตำแหน่งนี้มันมีเหตุผลของมันครับ หากว่ากันในเรื่องประสิทธิภาพการควบคุมนั้น หากเป็นเครื่องยนต์วางหน้าการเร่งเครื่องกับการเบรคเอง จะถ่ายโอนน้ำหนักจะไปกองที่ด้านหน้าทั้งหมดแบบนั้นมันจะทำให้ประสิทธิภาพการขับขี่ลดลงเมื่อต้องทำความเร็ว อีกทั้งเครื่องยนต์คือส่วนที่มีน้ำหนักมาก มันก็เหมือนกับมีลูกตุ้มหนัก ๆ ห้อยไว้ด้านหน้า ขณะที่การเข้าโค้งเราจำเป็นจะต้องใช้ความสามารถควบคุมรถสูง หากเป็นรถขับล้อหลังก็ยิ่งต้องใช้ทักษะเพื่อไม่ให้เกิดอาการท้ายปัด ส่วนเครื่องยนต์ที่วางด้านหลังยิ่งซ้ำร้ายครับ เหมือนกับเราเอาของหนัก ๆ ไปห้อยท้ายดังนั้นการเข้าโค้งแรง ๆ มีสิทธิ์ลงไปกองข้างถนนง่าย ๆวิธีแก้ไขก็คงจะเป็นการนำเครื่องยนต์มาวางไว้ตรงกึ่งกลางของรถครับ เพื่อให้เกิดความสมดุล การถ่ายน้ำหนักจะไม่เอนไปทางใดทางหนึ่งเกินไป รวมถึงการเร่งเครื่อง-เบรค ล้อยางจะสัมผัสกับพื้นได้ดีกว่า ทำให้การเกาะถนนทำได้ดี หยุดรถได้อย่างมั่นใจ รวมถึงการเข้าโค้งความเร็วสูงก็จะช่วยลดการบิดตัวของโครงสร้างรถได้อีกด้วยดังนั้นแล้วการที่รถยนต์จะนำเครื่องยนต์มาวางกลาง สาเหตุมาจากความต้องการเพิ่มประสิทธิภาพรถให้ถึงขีดสุด ทำให้รถยนต์สมดุลนั่นเอง ดังนั้นรถยนต์ที่ได้รับการผลิตแบบนี้ จึงเป็นรถที่ต้องการให้ผู้ขับสัมผัสการขับขี่ที่แท้จริง อย่างซูเปอร์คาร์ Lamborghini, Ferrari, Honda NSX หรือจะเป็นรถสปอร์ตที่มีราคาไม่แรงนักอย่าง Toyota MR-2 ก็ใช้เครื่องวางกลางขับล้อหลัง มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เน้นสนุกเร้าใจจากข้อดีที่ว่ามาทั้งการออกตัว-เบรค-เข้าโค้งที่สมบูรณ์ทุกอย่าง อาจเรียกว่าเครื่องยนต์วางกลางมันคืออุดมคติของนักขับก็ว่าได้มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่าหากการวางตำแหน่งดังกล่าวทำให้รถดีขึ้น ทำไมไม่ทำกับรถทุกคน ทำไมต้องเป็นรถซูเปอร์คาร์แรง ๆ คำตอบของมันก็คงเป็นที่จุดด้อยของเครื่องยนต์แบบนี้ล่ะครับ เนื่องจากว่าการวางตำแหน่งตรงกลางรถจะกินเนื้อที่ด้านหลังทั้งหมด ดังนั้นตำแหน่งที่นั่งจึงมีจำกัดที่ 2 ที่นั่ง บวกกับการไม่มีเครื่องยนต์วางด้านหน้าทำให้ต้องเสริมวัสดุซับแรงกระแทกมากขึ้น เวลาชนผู้ขับจะได้รับความเสียหายน้อยลงดังนั้นจึงต้องใช้ต้นทุนการผลิตสูง ยังไม่รวมกับการขับขี่ของเครื่องยนต์วางกลาง จริงอยู่ที่มันอาจให้ความสมดุลในทุก ๆ ด้าน แต่ถ้าหากเกิดข้อผิดพลาด รถเกิดหมุนขึ้นมาจะแก้อาการรถได้ยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อรถเสียสมดุล ณ จุดใดจุดหนึ่ง มันก็จะหลุดหมดเลยครับ จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นเครื่องยนต์แบบนี้อยู่ในรถสปอร์ตแพง ๆ ก็ด้วยเหตุผลที่ว่ามาข้างต้นแหละครับมันคงจะไม่ดีแน่หากทำเครื่องวางกลางในรถบ้าน เราอาจจะได้ซื้อรถบ้านในราคาเกินล้านบาทก็เป็นได้ครับก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรูปแบบการวางเครื่องยนต์ที่ดูแปลกและมีข้อดีอย่างไม่น่าเชื่อครับ ทางตัวผู้เขียนเองก็ชื่นชอบรถยนต์วางกลางเช่น Honda NSX ซึ่งจัดว่าเป็นซูเปอร์คาร์จากญี่ปุ่นเพียงหนึ่งเดียว แต่ถ้าหากจะเป็นเจ้าของได้นั้น เกรงว่าเก็บเอาไปฝันจะดีกว่า ส่วนใครที่มีเงินถุงเงินถังล่ะก็ การได้ซื้อได้ขับรถเครื่องยนต์วางกลาง เป็นอะไรที่ดีงามและน่าอิจฉามาก ๆ ทีเดียวไม่ว่าอย่างไรการวางเครื่องยนต์แต่ละแบบก็มีจุดเด่นต่างกันไป การวางเครื่องยนต์ด้านหน้าในรถบ้านของเรา ๆ ก็มีข้อดีในเรื่องความประหยัดในการซ่อมบำรุงและขับง่ายกว่า ก็อย่าได้น้อยใจไปครับเพราะต่างก็มีข้อดีข้อเสียกันทั้งนั้นที่มารูปภาพ: ภาพหน้าปก /ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4
AZM_TH • 24 เม.ย. 63
อ่าน
Apple พัฒนา Search Engine ของตัวเองมานานแล้ว แต่จะยังไม่ปล่อยให้ใช้งานอย่างน้อย 4 ปีนี้
รายงานล่าสุดจากทาง The Information เรื่องความคืบหน้าของ Search Engine ที่เป็นคู่แข่งตรงของ Google ซึ่งเดิมที Apple เข้าซื้อบริษัท AI, Laserlike ในปี 2018 ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตกลุ่มวิศวกรของ Google อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดระบุว่าผู้ก่อตั้ง Laserlike ได้กลับมาที่ Google แล้ว ผู้ร่วมก่อตั้ง Laserlike – ศรีนิวาสัน เวนกัตจารี (Srinivasan Venkatachary) ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการอาวุโสของทีมค้นหาของ Apple ซึ่งมีพนักงานในทีมอย่างน้อย 200 คน ซึ่งทีมนี้มีหน้าที่รับผิดชอบในการพัฒนาคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น Spotlight, Siri Suggestion รวมถึงคำตอบต่าง ๆ ที่เราถาม Siri ด้วย ระหว่างที่เวนกัตจารีทำงานที่ Apple เขาขึ้นตรงกับจอห์น เจียนแนนเดรีย (John Giannandrea) รองประธานฝ่ายแมชชีนเลิร์นนิงและปัญญาประดิษฐ์ของ Apple นอกจากนี้เวนกัตจารียังขยายทีมพัฒนา Search Engine โดยเน้นไปที่การว่าจ้างพนักงานแผนก Google Search อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เวนกัตจารีได้กลับมาทำงานที่ Google แล้ว ปัจจุบัน เห็นแบบนี้แต่ Apple – Google ก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญ มีรายงานว่า Google ยอมจ่ายให้ Apple เป็นเงินจำนวนมากถึง 18-20 ล้านเหรียญ (ประมาณ 718 ล้านบาท) เพื่อให้ Google เป็น Search Engine เริ่มต้นในสินค้าทุก ๆ อย่างของ Apple อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวกำลังถุกเพ่งเล่งเนื่องจากเข้าข่ายผูกขาดอย่างชัดเจน ตอนนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่า Apple จะเปิดตัว Search Engine ของตัวเองหรือไม่ แต่รายงานจากสื่อต่างประเทศบอกว่า Apple จะยังไม่เปิดตัวระบบค้นหาของตัวเองภายใน 4 ปีนี้ หากไม่เปิดตัวก็อาจจะมีอีกทางเลือกหนึ่งคือทำข้อตกลงกับ Bing ด้วย แต่ในแง่ของจำนวนผู้ใช้งานก็น้อยกว่า Google Search มหาศาล ที่มา 9to5Mac
แบไต๋ • 12 พ.ย. 65
อ่าน
กบข. เปิดตัวเมนูใหม่ My GPF & My GPF Twin วางแผนการเงินเพื่อวันเกษียณอายุราชการ
กบข. เปิดตัวเมนูใหม่ My GPF My GPF Twins เพื่อช่วยให้สมาชิกวางแผนการเงินเพื่อวันเกษียณได้อย่างแม่นยำมากขึ้น พร้อมปรับโฉมแอปพลิเคชันครั้งใหญ่ หวังเพิ่มประสิทธิภาพให้บริการ ดร.ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข. ได้พัฒนาและปรับปรุงการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เข้าถึงและตรงกับความต้องการของสมาชิกให้ได้มากที่สุด ซึ่งล่าสุด กบข. ได้เพิ่มประสิทธิภาพแอป กบข. My GPF Application โดยได้นำเทคโนโลยีอัจฉริยะ (AI) เข้ามาช่วยประมวลผลให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นในเมนูใหม่ My GPF My GPF Twins ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับช่วยให้สมาชิกวางแผนเพื่อการเกษียณได้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดย My GPF My GPF Twins เป็นตัวช่วยให้สมาชิกได้เปรียบเทียบประมาณการเงิน กบข. ที่คาดว่าจะได้รับเมื่อเกษียณอายุราชการ ผ่านแบบจำลองการเงินใน 3 รูปแบบ คือ การประมาณเงิน กบข. โดยอ้างอิงข้อมูลปัจจุบันของสมาชิก ทั้งข้อมูลเงินสะสม อัตราเงินเดือน อัตราออมเพิ่ม และแผนการลงทุนในปัจจุบัน My Twin 1 แบบจำลองให้สมาชิกสามารถทดลองปรับอัตราออมเพิ่ม และเลือกเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ตามต้องการ My Twin 2 แบบจำลองที่ กบข. ออกแบบทางเลือกที่มีโอกาสจะได้ประมาณการเงิน กบข. ตามที่สมาชิกตั้งเป้าหมายไว้ ภายใต้ความเสี่ยงที่สมาชิกยอมรับได้ ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบจะมีการแสดงผลเปรียบเทียบยอดเงิน กบข. ควบคู่ไปกับเป้าหมายที่สมาชิกตั้งไว้ ภายใต้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 2.5% ต่อปี ในรูปแบบ Dashboard เพื่อให้สมาชิกเห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ดร.ศรีกัญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า My GPF My GPF Twins จะเป็นการช่วยกระตุ้นให้สมาชิกเห็นความสำคัญกับการวางแผนการเงินเพื่อวันเกษียณมากขึ้น โดยหลังจากระบบประมวลผลรูปแบบจำลองการเงินของสมาชิกเรียบร้อยแล้ว จะมีการนำข้อมูลไปจัดอันดับเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยยอดเงินของกลุ่มเพื่อนสมาชิกที่มีอัตราเงินเดือนและการเกษียณอายุราชการในช่วงเดียวกันด้วย ซึ่ง กบข. จะมีการทบทวนตัวแปรที่นำมาคำนวณทุก ๆ 3-5 ปี เพื่อให้เครื่องมือนี้มีความแม่นยำเป็นปัจจุบันมากที่สุด นอกจากนี้ กบข. ยังได้ปรับรูปแบบแอป กบข. เพื่อให้มีการใช้งานง่ายยิ่งขึ้น และได้เพิ่มเติมเมนูใหม่ ข้อมูลการลงทุน เพื่อให้สมาชิกสามารถสืบค้นข้อมูลการลงทุนได้ครบภายในแอป กบข. ที่มีข้อมูลมูลค่ากองทุนส่วนสมาชิก สัดส่วนการลงทุน กบข. รวมไปถึงหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของแผนการลงทุน ซึ่งสมาชิกสามารถอัปเดตแอป กบข. ในรูปโฉมใหม่ และทดลองใช้เมนู My GPF My GPF Twins ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center โทร. 1179 Facebook กบข. หรือ LINE กบข. พิมพ์ค้นหาไอดี @gpfcommunity ข้อมูล กระทรวงการคลัง
ข่าวการเงิน การลงทุน • 21 ธ.ค. 65
อ่าน
เปิดตัว OnePlus 12 ในตลาดโลก ใช้ Snapdragon 8 Gen 3 ที่จูนด้วย Trinity Engine และกล้องคอลแลบ Hasselblad เหมือนเดิม
OnePlus ได้เปิดตัว OnePlus สมาร์ตโฟนเรือธงใหม่ของค่ายแล้ว รุ่นนี้มาพร้อมชิปเซต Snapdragon 8 Gen 3, จูนด้วย Trinity Engine, กล้องที่คอลแลบกับ Hasselblad เหมือนเดิม , จอแสดงผล ProXDR 2K 120Hz , ชาร์จเร็ว 100W SUPERVOOC และชาร์จไร้สายได้ 50W AIRVOOC แล้ว ! โดย OnePlus 12 เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของ OnePlus โดยมีแรงบันดาลใจด้านดีไซน์จากงานฝีมือของนาฬิกาหรู โดยต่อยอดดีไซน์จาก OnePlus 11 5G ด้วยการนำการออกแบบโค้งมนแบบรุ่นที่แล้วมาผสมในรุ่นใหม่นี้ โดยวางจำหน่าย 2 สี ได้แก่ สีเขียว Flowy Emerald และ สีดำ Silky Black ด้านสเปกภายในก็เป็นอีกอย่างที่ใส่มาเต็มเหมือนเดิม ด้วยชิปเซต Snapdragon 8 Gen 3 ล่าสุดจาก โดยทาง OnePlus ได้พัฒนาระบบซอฟต์แวร์ภายในเครื่องในชื่อ ‘Trinity Engine’ ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU สูงสุด 30% และประสิทธิภาพของ GPU เพิ่มขึ้น 25% พร้อม RAM LPDDR5X สูงสุด 16GB และ ROM UFS 4.0 ความจุ 512GB นอกจากนี้ OnePlus 12 ยังเป็นเครื่องแรกที่ได้รับการรับรองว่าเป็น Snapdragon Spaces Ready หรือก็คือรองรับระบบที่ให้นักพัฒนานำไปสร้างระบบ XR หรือ AR ได้ง่าย ๆ ด้วย ด้านในเครื่อง มีระบบระบายความร้อน Dual Cryo-velocity Vapor Chamber ขนาดใหญ่ ซึ่งมีโครงสร้างการกระจายความร้อนแบบ 3 มิติ และการออกแบบ Vapor Chamber คู่ พร้อมพื้นที่ที่รวมกันได้ 9,140 ตารางมิลลิเมตร ซึ่งใหญ่ที่สุดบนสมาร์ตโฟน OnePlus เท่าที่เคยมีมา ซึ่งสร้างขึ้นโดยใช้กระบวนการผลิตแบบหล่อด้วยวัสดุชิ้นเดียว โดยจะดูดซับความร้อนจาก Vapor Chamber ขนาดเล็กอย่างสม่ำเสมอเพื่อเร่งกระบวนการกระจายความร้อน ซึ่งทาง OnePlus เคลมว่า OnePlus 12 จะสามารถเล่นเกมได้นาน ๆ ตัดต่อวิดีโอ หรือเล่นเกมไปด้วย ชาร์จพร้อมกันได้โดยไม่ร้อนเกินไปด้วย (ต้องรอทดสอบอีกครั้ง) นอกจากนั้น ตัวเครื่องยังรองรับระบบชาร์จไว 100W SUPERVOOC Endurance Edition และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5400mAh และสามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สาย 50W AIRVOOC ได้แล้ว (หลังจากไม่มีมานาน) ผ่านชาร์จด้วยกำลังไฟ 25W ให้กับแบตเตอรี่คู่ในเครื่อง ทาง OnePlus เคลมว่า OnePlus 12 สามารถในการเล่นเกม Genshin Impact ที่การตั้งค่าสูงสุด ได้เฟรมเรตเฉลี่ย 57.4 FPS ในระหว่างการทดสอบเป็นเวลา 3 ชั่วโมง และถ่ายวิดีโอต่อเนื่องได้นาน 5.5 ชั่วโมงบนความละเอียด 1080p ที่ 30Hz หน้าจอของ OnePlus 12 เป็นจอแสดงผล OLED ProXDR 2K 120Hz ที่ใช้รูปแบบพิกเซลบลูไดมอนด์ของ BOE สว่างสูงสุดที่ 4,500 nits แบบ LTPO ที่รีเฟรชเรต 1Hz ถึง 120Hz และรองรับ Dolby Vision ด้วย โดย OnePlus 12 มีฟีเจอร์ HyperRendering สร้างขึ้นจากอัลกอริธึมกราฟิกภายในของ OnePlus และชิปประมวลผลภาพแยก Pixelworks X7 เพื่อเพิ่มเฟรมเรตของเกมให้ลื่นแบบ 120Hz ทุกเกม และปรับสี HDR แบบเรียลไทม์ และยังมีฟีเจอร์ Aqua Touch ที่ทำให้สามารถแตะหน้าจอได้อยู่แม้จอจะเปียกน้ำอยู่ ส่วนกล้องถ่ายภาพของ OnePlus 12 ยังได้พัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกับ Hasselbladเหมือนเดิม โดยมีกล้องหลักสามตัวเหมือนเดิม ดังนี้ กล้องถ่ายภาพหลักเซนเซอร์ Sony LYT-808 ความละเอียด 50MP f/1.6 ขนาดเซนเซอร์ 1/1.4 นิ้ว กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากความละเอียด 48 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX581 ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล f/2.2 กล้องถ่ายภาพซูม Periscope เซนเซอร์ OmniVision OV64B (ซูม 3 เท่า) ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล f/2.6 กล้องหน้าเซนเซอร์ Sony IMX615 ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล f/2.4 โดยมีโหมดถ่ายภาพบุคคลของ Hasselblad ในการจำลองโบเก้และเอฟเฟกต์แสงแฟลร์ของเลนส์ Hasselblad จาก 1x เป็น 3x เหมือนที่เคยทำมาใน OnePlus 11 อีกด้วย ทั้งนี้ OnePlus 12 ยังไม่มีราคาวางจำหน่ายในประเทศไทย แต่ราคาระดับ Global ของรุ่น 12GB+256GB ราคา 799.99 เหรียญ (ประมาณ 28,600 บาท) และรุ่น 16GB+512GB ราคา 899.99 เหรียญ (ประมาณ 32,200 บาท) พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส
แบไต๋ • 25 ม.ค. 67
อ่าน
LINE ปล่อยฟีเจอร์ใหม่ "My Card"รวมบัตรสมาชิกดัง
LINE ตอกย้ำแนวคิด Life On LINE เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ My Card (มาย การ์ด) ครั้งแรกที่รวบรวมบัตรสมาชิกแบรนด์โปรดไว้ที่เดียว ถือเป็น Digital Loyalty Platform เต็มรูปแบบที่ผสานทุกไลฟ์สไตล์ความคุ้มค่าได้อย่างไร้รอยต่อบนอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่งของ LINE ซึ่งมีผู้ใช้งานกว่า 45 ล้านราย เพียงเข้าผ่านแท็บ Wallet และเลือก My Card ทั้งนี้ LINE ได้ร่วมมือกับสตาร์บัคส์ ร้านกาแฟสุดโปรดของคนไทย ชูขึ้นเป็นพันธมิตรรายแรก และเปิดตัวด้วย LINE Starbucks Card ที่มาในลาย Brown และ Sally เป็นคอลเล็กชั่นพิเศษ สามารถใช้ชำระเงินที่ร้านสตาร์บัคส์ได้ง่ายๆ แค่สแกน นอกจากนี้ ลูกค้าสามารถเติมเงินเข้าบัตรได้อย่างสะดวกด้วยกระเป๋าเงิน E-Wallet หรือบัตรเครดิต บัตรเดบิตผ่าน Rabbit LINE Pay พร้อมยังเช็กสถานะสมาชิกและสะสมดาว Starbucks Rewards ได้ทันที พิเศษสุด เมื่อเปิดบัตร LINE Starbucks Card เป็นครั้งแรก รับคูปองส่วนลดทันที 20% สำหรับซื้อเครื่องดื่มสตาร์บัคส์ขนาด 12 ออนซ์ขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 (จำกัดสิทธิ 200,000 สิทธิ) นอกจากนี้ สำหรับลูกค้าที่เติมเงินเข้า LINE Starbucks Card ขั้นต่ำ 200 บาทขึ้นไปต่อ 1 รายการ ผ่าน Rabbit LINE Pay รับคูปองส่วนลดเพิ่มมูลค่า 50 บาท สำหรับการเติมเงินในครั้งถัดไป ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 (จำกัดสิทธิ 100,000 สิทธิ) ดร.พิเชษฐ ฤกษ์ปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท LINE ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไลน์เป็นแพลตฟอร์มที่คนไทยใช้งานมากที่สุด ด้วยจำนวนผู้ใช้งานกว่า 45 ล้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ ?Life On LINE? เรามุ่งเน้นที่จะเชื่อมต่อโลกมาอยู่ในมือของทุกคนด้วยแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีที่เรามี ตลอดจนบริการที่หลากหลาย ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของคนไทย ล่าสุด เราได้พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ล่าสุด My Card ฟีเจอร์บัตรสมาชิก Digital Loyalty Platform เต็มรูปแบบ ซึ่งออกแบบมาเพื่อรวบรวมบัตรสมาชิกที่ได้รับความนิยมของคนไทยมาไว้บนแอพพ์ LINE สามารถผสานไลฟ์สไตล์ความคุ้มค่าในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้รอยต่อ โดยไม่ต้องเข้าออกแอพพลิเคชั่นอื่นหรือพกพาบัตรให้ยุ่งยาก เราจึงได้ร่วมกับพันธมิตรผู้ให้บริการบัตรสมาชิกชั้นนำ เพื่อทำให้ฟีเจอร์ My Card นั้นสามารถอำนวยความสะดวกและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลของผู้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ล่าสุดฟีเจอร์ My Card จึงนำร่องด้วยการให้บริการบัตรสมาชิกสำหรับแบรนด์ดังระดับโลกอย่างสตาร์บัคส์ โดย LINE Starbucks Card เป็นบัตรสมาชิกดิจิทัลที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง LINE และสตาร์บัคส์ สามารถใช้ชำระเงินที่ร้านสตาร์บัคส์พร้อมสะสมดาวกับทุกๆ การใช้จ่าย และเติมเงินสะดวกด้วยกระเป๋าเงิน E-Wallet หรือบัตรเครดิต บัตรเดบิต ผ่าน Rabbit LINE Pay ทั้งนี้ LINE และสตาร์บัคส์ได้ร่วมเป็นพันธมิตรในการให้บริการฟีเจอร์เดียวกันนี้มาก่อนในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้รับความนิยมมากและมีผู้ลงทะเบียนใช้งานมากกว่า 1 ล้านคน ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ซึ่งสำหรับประเทศไทยได้เริ่มเปิดบริการบัตรสมาชิก LINE Starbucks Card ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคมเป็นต้นไป สำหรับการใช้งานฟีเจอร์ My Card นั้นง่ายดาย เพียงเปิดแอพพ์ LINE เลือกแท็บ Wallet เข้าฟีเจอร์ My Card จากนั้นผู้ใช้ก็สามารถเลือกเปิดบัตรสมาชิกที่ต้องการใช้งาน
มติชน • 5 มี.ค. 63
อ่าน
MY PASSPORT SSD ดีไซน์ใหม่-เร็วมาเต็มพิกัด
เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป วันนี้ประกาศเปิดตัว My PassportTM SSD แบรนด์ WD ตัวใหม่ล่าสุดขนาดความจุสูงสุด 2TB* เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่พร้อมช่วยปกป้องคอนเทนต์ที่มีค่าต่างๆ ให้ปลอดภัยได้แบบที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไดรฟ์แบบพกพาเปิดตัวมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่แบบเมทัลทั้งหมด ขนาดกะทัดรัดเท่าฝ่ามือ ใช้เทคโนโลยี NVMeTM ขับเคลื่อนประสิทธิภาพการอ่านเขียนให้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้ผู้ใช้งานที่ใช้เพื่อการทำงานหรือไว้ใช้ที่บ้านสามารถบันทึก เข้าถึง และเก็บคอนเทนต์ที่สำคัญได้ My Passport SSD รุ่นใหม่ครบครันทั้งในเรื่องความเร็ว ความน่าเชื่อถือ และฟังก์ชั่นการทำงานที่ผู้บริโภคต่างก็คาดหวังจากเรา ซูซาน พาร์ค รองประธาน ฝ่ายสินค้าประเภทคอนซูมเมอร์ โซลูชันส์ บริษัท เวสเทิร์ ดิจิตอล กล่าว เรียกได้ว่าเป็นโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพและล้ำสมัยเหมาะกับมืออาชีพผู้ผลิตคอนเทนต์ นักคัดสรรคอนเทนต์ และมือสมัครเล่นที่ต้องการอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่ทำงานได้ไวสามารถโอนถ่ายไฟล์ไปมาได้รวดเร็ว แถมยังพกพาง่ายและสะดวก ด้วยดีไซน์ขอบที่โค้งมน พื้นผิวสัมผัสเป็นริ้วคลื่น ส่วนขอบด้านข้างเป็นขอบนิ่มแบบ soft edges และ My Passport SSD เป็นที่รู้จักดีว่าเป็นผลิตภัณฑ์ในตระกูลฮาร์ดดิสก์แบบพกพาภายใต้แบรนด์ WD ที่ได้รับการการันตีด้วยรางวัลอย่าง My Passport My Passport SSD รุ่นใหม่จะประหยัดเวลาในการทำงานได้มากขึ้นเพราะสามารถย้ายไฟล์และแก้ไขคอนเทนต์คุณภาพสูงได้รวดเร็วกว่า SDD รุ่นเก่าเกือบสองเท่า ไม่ว่าจะนำไปใช้งานกับแล็ปท็อปหรือเดสก์ท็อปขณะอยู่ที่บ้าน ออฟฟิศ หรือแม้กระทั่งระหว่างเดินทาง ไปจนถึงมืออาชีพ ด้วยความเร็วในการอ่านสูงสุดถึง 1050MB/s1 และเขียนสูงสุดถึง 1,000MB/s1 My Passport SSD ของ WD ได้รับการออกแบบมาตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถมอบได้ทั้งประสิทธิภาพการทำงานที่เชื่อถือได้และความหรูหราทั้งภายในและภายนอก วัสดุภายนอกผลิตจากโลหะออกแบบมาให้ดูทันสมัยและแข็งแรงทนทาน ทนต่อการสั่นสะเทือน และรับต่อแรงตกกระแทกสูงถึง 6.5 ฟุต (หรือ 1.98 เมตร) เบื้องต้น My Passport SSD จะมีจำหน่ายเฉพาะสีเทาในขนาดความจุ 500GB และ 1TB เท่านั้น พร้อมการรับประกันแบบจำกัดเงื่อนไขนานถึง 5 ปี สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้า IT และร้านค้าออนไลน์ชั้นนำทั่วไปแล้ววันนี้ สำหรับสีและขนาดความจุอื่นๆ จะพร้อมวางจำหน่ายในช่วงปลายปีนี้ โดยราคาในการจำหน่ายมีดังนี้ ขนาด 500GB (ราคา 3,490 บาท) และ 1TB (5,990 บาท) และ 2TB (ราคา 9,990 บาท)
มติชน • 24 ส.ค. 63
อ่าน
‘อู่ Kidnappers’ จากคนรักเสียงสู่ Sound Engineer สู่ขอบเขตเทคโนโลยีแผ่นเสียงและ Dolby Atmos
คอฟังเพลงไทยทุกคนต้องรู้จัก Kidnappers วงอิเล็กทรอนิกส์ป็อปที่สร้างชื่อมายาวนาน ตั้งแต่อัลบั้มแรก ‘สแลง’ ในปี 1993 สู่อัลบั้มล่าสุด ‘SIGNAL’ ในปี 2017 มีเพลงฮิตอย่าง ปล่อย, ฝน หรือ เพื่อใคร ซึ่งหนึ่งในผู้ก่อตั้งวงก็คือคุณอู่ ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ ที่นอกจากบทบาทของการเป็นศิลปินแล้ว คุณอู่ยังเป็นผู้ก่อตั้ง ResurRec โรงงานผลิตแผ่นเสียงของไทย ที่ให้บริการครบวงจรตั้งแต่มาสเตอร์จนออกมาเป็นแผ่นเสียง แต่วันนี้แบไต๋จะโฟกัสในอีกบทบาทหนึ่งของคุณอู่คือวิศวกรเสียง ว่าหน้าที่ที่เราเคยได้ยินมานานมากอย่าง Sound Engineer นี้ แท้จริงแล้วทำอะไรบ้าง และคุยล่วงเลยไปถึงเรื่องระบบเสียงรอบทิศทางอย่าง Dolby Atmos ที่คุณอู่ก็เป็นแกนนำ ปลุกกระแสเพลงแบบรอบทิศทางในไทยเช่นกันครับ ปัจจุบันคุณอู่ ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ เป็นกรรมการผู้จัดการอยู่ที่บริษัท กันตนาซาวด์สตูดิโอ ดูแลเรื่องเสียงในภาพยนตร์ทั้งหมด ในขณะเดียวกันคุณอู่ก็มี A Lab By Kantana Sound Studio ก็ทำทางด้านเพลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น มิกซ์เสียงเพลง ทำ Mastering เพลง หรือว่ามิวสิกสกอร์สำหรับภาพยนตร์ รวมถึงโปรดิวส์เพลง แต่งานที่กำลังโฟกัสอยู่ตอนนี้คือการมิกซ์เสียงในระบบ Dolby Atmos Music รวมถึงทำ Mastering เพลงสำหรับสตรีมมิ่ง หรือทำมาสเตอร์สำหรับนำไปผลิตแผ่นเสียง เราคุยอะไรกันบ้างคำจำกัดความของ Sound EngineerSound Engineer กับกระบวนการทำเพลงส่งไม้ต่อให้ Mixing Engineerจบงานที่ Mastering Engineerสงครามความดังของเพลง หรือ Loudness Warเครื่องมือทำเพลงเปลี่ยน เพลงก็เปลี่ยนทำไมเพลงรอบทิศทางถูกพูดถึงมากขึ้นการทำเพลงในระบบ Atmos ต่างจากเพลงปกติอย่างไรทำไมเพลงรอบทิศทางบางเพลง แล้วรู้สึกไม่ดีเท่าต้นฉบับสเตอริโอในเชิงเทคนิค Dolby Atmos กับ Sony 360 Reality Audio ต่างกันไหมทำเพลงแอทโมสต้องจ่ายค่าใช้สิทธิ์ไหมประวัติศาสตร์ Dolby Atmos ในเมืองไทยอนาคตของเพลงเสียงรอบทิศทางเพราะเรามี Passion กับเสียง คำจำกัดความของ Sound Engineer คุณอู่สรุปอย่างง่ายที่สุดว่า Sound Engineer คือคนที่รู้เรื่องการใช้เครื่องมือ แล้วก็ใช้หูในการทำงาน และมีความเข้าใจในเสียง แล้วก็ปรับเครื่องมือเพื่อให้เสียงต่าง ๆ นั้นได้ตามที่ต้องการ หรือผสมเสียงให้กลมกล่อมตามที่สื่อนั้น ๆ ต้องการ จุดขายของอาชีพวิศวกรเสียงคือ หู นอกจากนี้วิศวกรเสียงก็ควรรู้เรื่องฟิสิกส์ของเสียงพื้นฐาน Sound Engineer ทุกคนก็น่าจะเริ่มจากการสนใจเรื่องพวกนี้แหละ ส่วนคณิตศาสตร์ ก็มีคำนวณนิดหน่อย คำนวณพวกค่าดีเลย์ แต่ถ้ารู้เรื่องทฤษฎีดนตรีด้วย ก็มีประโยชน์ เพราะเราทำเพลงอยู่แล้ว เพลงนี้มาในสัดส่วนเท่าไหร่ คีย์อะไร มันก็จะช่วยในการทำงานได้ โดย Sound Engineer แบ่งเป็นหลายประเภทมาก คร่าว ๆ คือ Recording Engineer คือคนบันทึกเสียง Mixing Engineer คือคนมิกซ์เสียง Mastering Engineer คือคนทำมาสเตอร์ นอกจากนี้ยังมี Sound Engineer ในระบบ Live Sound ซึ่งเป็นคนที่ทำเสียงในคอนเสิร์ต Front of House Engineer, Monitoring Engineer ในส่วนของ Audio Post Production ก็ยังมี Sound Engineer แยกย่อยไปอีกมากมาย Sound Engineer กับกระบวนการทำเพลง หลังจากที่ศิลปินแต่งเพลงเสร็จ ซ้อมมาเรียบร้อยแล้ว ถึงขั้นตอนเข้าห้องอัด หน้าที่ของวิศวกรเสียงจะเริ่มต้นที่ Recording Engineer คือจะอัดวิธีไหน จะใช้ไมโครโฟนอะไร จะตั้งไมโครโฟนใกล้ไกลแค่ไหน จากไมโครโฟนแล้วจะไปผ่าน Pre-amp ตัวไหน ผ่าน Mixer ตัวไหน ก็ต้องคิดหมด เช่น อัดเสียงกลอง ก็ต้องจำได้ว่าถ้าเสียงกลอง ใช้ไมค์รุ่นนี้ถึงจะอัดเสียงได้ดี ไมค์ Shure SM57 หรือ AGK 414 รับเสียงได้ต่างกันอย่างไร เราก็ต้องมีความรู้ว่าควรเลือกไมค์ตัวไหนมาใช้ หรือได้ยินเพลง The Beatles เสียงสแนร์แบบนี้ ได้ยินเพลง Oasis เสียงสแนร์แบบนี้ Sound Engineer ก็จะพอฟังออกว่าใช้ไมค์ตัวไหนอัดมา นักดนตรีเกิดอยากได้เสียงตามตัวอย่าง ก็ต้องเลือกให้ถูกว่าควรใช้ไมค์ตัวไหนมาจับเสียง ที่สำคัญ Recording Engineer มีหน้าที่ทำให้การบันทึกเสียงในครั้งนั้น ๆ ผ่านไปได้อย่างราบลื่น จึงต้องมี Human Skill หรือทริกการจัดการคนด้วย ไม่ใช่ว่าเรารู้เรื่องเครื่องมืออย่างเดียว แล้วก็เอาแต่จะอัด อัดไม่ดี อัดใหม่ ไปเรื่อย ๆ ก็ต้องมีเทคนิคเพื่อให้นักดนตรียังมีอารมณ์ในการเล่นที่ดีอยู่ บางทีเราต้องแบบว่า เมื่อกี้ดีแล้วครับ แต่ผมผิดเองขออีกเทคนึงได้ไหมครับ เพื่อรักษาอารมณ์โดยรวมไว้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดที่เราต้องจำไว้คือ เพอร์ฟอร์แมนซ์ของศิลปินต้องมาก่อน แล้วเสียงที่ดีมันจะตามมา อู่ ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ ด้วยอารมณ์ของศิลปิน บางวงเล่นเทคแรกดีสุดแล้ว แล้วเล่นอีกกี่เทคก็ไม่ดี บางวงก็แบบเป็นวอร์มอัป ค่อย ๆ เล่นดีขึ้นเรื่อย ๆ วิศวกรเสียงก็ต้องหาจุดพีคสุดว่าเล่นได้ดีสุดเทคไหน Editing Engineer มาเสริมแล้วสมัยนี้จะมี Editing Engineer อีก มาแก้ไขพวกที่ไม่เนี้ยบต่าง ๆ ตีผิด ร้องผิดร้องเพี้ยน ก็แก้ได้หมด มีการตัดต่อเอาเทคนู้นมาผสมเทคนี้ แต่ก็ต้องอย่าลืมว่าสมบูรณ์แบบเกินไปก็ไม่ดี บางทีต้องให้มันเป็นธรรมชาติ จะร้องเพี้ยนนิดนึง แต่มันได้อารมณ์ กว่าร้องตรงหมดแล้ว มันไม่ธรรมชาติ มันไม่ได้อารมณ์ วิศวกรเสียงก็ต้องรู้ว่าจุดนี้ต้องปล่อยให้มันเป็นแบบนั้น ไม่ใช่ว่าเอาตามหลักเกณฑ์ เอาตามกราฟอย่างเดียว ส่งไม้ต่อให้ Mixing Engineer มาถึงขั้นตอนการมิกซ์เสียง Mixing Engineer จะทำงานต่อจากอัดเสร็จ สมมุติอัดมามีกลองชุด 24 แทร็กจาก 24 ไมค์ เพราะว่ามีแทร็ก Hi-hat แล้วก็ Snare อีก 3 ไมค์ มี Tom อีก 4 ไมค์ Over head อีก 2 ไมค์ มีไมค์บูมอีก ถ้าอัดแยกหมด มันอาจจะมาทั้งหมด 24 แทร็ก แล้วก็มีแทร็กเบส แทร็กกีต้าร์ สมัยนี้น่าจะอัดกันเป็นร้อยแทร็ก ซึ่งหน้าที่ของ Mixing Engineer คือผสมทั้งร้อยแทร็กให้ออกมากลมกล่อมที่สุด เช่นปรับความดัง-เบาของเสียงจุดต่าง ๆ ปรับ EQ หรือใส่เอฟเฟกต่าง ๆ ให้ฟังในลำโพงสเตอริโอแล้วออกมาดีที่สุด ถ้าปรับความสมดุลไม่ดี อย่างเสียงกลองดังมากเลย แล้วเสียงร้องก็จม ๆ มันก็ยังไม่ใช่เพลงที่สมบูรณ์ใช่ไหม ซึ่งทุกเพลงที่เราฟังอยู่คือทุกอย่างปรับมาแบบน่าฟังแล้ว คุณอู่มองว่า Mixing Engineer เป็นตำแหน่งที่ทำงานหนักและใช้จินตนาการสูง สามารถทำให้เพลง ๆ หนึ่งกลายเป็นแบบใดก็ได้ เช่นจากต้นฉบับบันทึกเสียงมาชุดหนึ่ง จะมิกซ์ให้เป็นเพลง Heavy Metal ก็ได้ หรือจะมิกซ์ให้เป็นเพลงอิเล็กทรอนิกส์ก็ทำได้ ขึ้นอยู่กับจินตนาการของผู้มิกซ์ จบงานที่ Mastering Engineer หลัง Mixing Engineer ปั้นแต่งเพลงจนสมบูรณ์ระดับหนึ่งแล้ว Mastering Engineer จะเข้ามารับช่วงต่อ เป็นคนสุดท้ายที่ได้ปรับเสียงของเพลงนั้นก่อนที่คนฟังจะได้ยินเพลง เพื่อให้เพลงสมบูรณ์แบบที่สุด สำหรับการเล่นในแหล่งต่าง ๆ เช่น สตรีมมิ่ง, ไวนิล, เทป, ซีดี หรืออะไรก็ตาม ซึ่ง Mastering Engineer จะถูกฝึกมาพิเศษที่จะรู้ว่าทำแบบนี้ หรือปรับแบบนี้แล้ว เสียงจะดีที่สุดในทุกลำโพง ไม่ว่าคนฟังจะไปฟังในวิทยุ ฟังในรถ ฟังในโทรศัพท์ ฟังในเครื่องเสียงเป็นล้านรุ่น ก็ต้องรู้ว่าเพลงนี้ออกไปแล้วมันต้องดีที่สุดในทุกที่ ทำให้มันสมบูรณ์น่าฟังที่สุด แล้วสมัยก่อนที่คนฟังเพลงกันเป็นอัลบั้ม ฟังต่อเนื่อง 10 เพลงไปเรื่อย ๆ Mastering Engineer ก็มีหน้าที่ทำให้เพลงทั้งหมดในอัลบั้ม ที่อาจจะมาจาก Mixing Engineer คนละคนกัน ฟังต่อเนื่องกันได้ดี ปรับให้โทนเสียง มิติเสียงให้มันเท่า ๆ กัน ซึ่งยุคหนึ่งที่เขาแข่งเรื่องความดังของเพลงกันที่เรียกว่า Loudness War ก็คนนี้แหละที่ปรับ สงครามความดังของเพลง หรือ Loudness War เหตุผลที่ทำให้เกิดการแข่งขันความดังของเพลงกันเป็นจริงเป็นจัง แม้กระทั่ง Wikipedia ก็มีบทความเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะทุกค่ายเพลงหรือแม้แต่ตัวศิลปินเองก็ตาม เมื่อปล่อยเพลงออกมาก็อยากให้เพลงได้รับความนิยม แล้วสังเกตไหมว่าเราจะรู้สึกว่าอะไรที่เสียงดังกว่าจะรู้สึกว่าดีกว่า แม้จะดังกว่านิดเดียว เราก็รู้สึกว่ามันเพราะกว่า เรื่องนี้เป็นเหตุผลตามหลักจิตวิทยาเลย โดยเฉพาะเวลาไปเปิดต่อกันในหน้าปัดวิทยุ ทุกคนก็เลยพยายามจะทำให้เพลงตัวเองดังกว่าเพลงอื่น แต่คุณอู่ก็ขอแก้ตัวแทน Mastering Engineer ในยุคนั้นว่าเราไม่ได้อยากจะเปิดสงครามเสียงดังเองหรอก แต่ลูกค้าเราที่อยู่ข้างหลังนั้นแหละที่บอกว่าขอดังอีกได้ไหม ซึ่งพอแข่งกันไปกันมา เราดังกว่า เค้าก็เร่งให้ดังกว่าบ้าง สุดท้ายมันบี้จนไม่เหลืออะไร ไม่ได้สนใจสุนทรียภาพของตัวเพลงเองแล้ว นักดนตรีเองก็อยากจะแต่งให้มีหนักเบาเพื่อที่จะสื่ออารมณ์ พอแข่งกันดังมันก็สูญเสียไปหมด ซึ่งมันก็แข่งกันอยู่พักใหญ่ ๆ จนสตรีมมิ่งออกมาช่วยยุติศึกนี้ โดยการออกกฎว่าความดังของเพลงต้องไม่เกินระดับที่กำหนด ถ้าดื้อ ทำเพลงมาดังกว่ามาตรฐาน ระบบก็จะบังคับลดระดับเสียงลง กลายเป็นว่าถ้าทำระดับเสียงถูกต้องโดยไม่บี้ให้เสียงดังเกินไป สุดท้ายเสียงจะดังกว่าเพลงที่พยายามทำให้เสียงดัง แล้วถูกบังคับให้ลดระดับเสียงลง เป็นอันจบ Loudness War ด้วยประการนี้ สิ่งที่ Sound Engineer ช่วยศิลปินได้มีหลายอย่าง เช่น ถ้าต้องบันทึกเสียงในห้องที่อะคูสติกของห้องไม่เพอร์เฟค Recording Engineer อาจแก้ไขด้วยการเอาอะไรมากั้นนิดหน่อยเพื่อให้เสียงในห้องนั้นมันดีขึ้น หรือถ้าเจอเสียงอะไรมันกวนระหว่างกัน เช่นเสียงเบสไปกินกับเสียง Kick drum ทาง Mixing Engineer ก็ต้องแก้ไข เช่นปรับ EQ ให้มันไม่ซ้อนกัน คนฟัง เวลามิกซ์ส่งมาแล้วก็จะรู้สึกเคลียร์ว่า เออนี่เบส แล้วนี่คิก มันเกาะกันอยู่ แต่ไม่ขี่กัน หรือแก้ไขในเชิงการสร้างสรรค์ผลงาน เช่นนักร้องมีเสียงน้ำลายเยอะ ถ้าคนมีประสบการณ์จะรู้ว่าให้กินแอปเปิ้ลลูกหนึ่ง แล้วเสียงน้ำลายจะหายไปเพราะแอปเปิ้ลดูดน้ำลายออกไป ก็จะมีทริกจากประสบการณ์ที่อยู่กับห้องอัด อยู่กับนักดนตรีมา เครื่องมือทำเพลงเปลี่ยน เพลงก็เปลี่ยน คุณอู่เล่าว่ากระบวนการทำเพลงในแต่ละยุคมันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เครื่องมือก็เปลี่ยนผ่านมาเรื่อย ในปัจจุบันที่มีโปรแกรมสามารถเขียนเพลงขึ้นมาได้เลย มันก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยเราทำเพลงได้ดีขึ้น แต่ก็มียุคที่เราทำเพลงได้ไม่ดีเท่าเดิม เหมือนจะแย่ลงเพราะไปพึ่งเครื่องมือซะเยอะ มันมียุคที่ไม่อัดกลองจริงนะ ใช้โปรแกรมกลองกันหมด เพราะคิดว่าเสียงมันดีกว่า ก็กลายเป็นยุคที่เสียงทื่อ ๆ จากโปรแกรมกันไปหมด สุดท้ายเราก็กลับไปอัดกลองจริงกัน แต่มันก็เป็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกอยู่ในเพลง ตอนนี้ย้อนกลับไปฟังเพลงยุค 90s ที่ใช้โปรแกรมกลอง มันก็เป็นเอกลักษณ์ของเพลงในยุคนั้น ๆ อู่ ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ ซึ่งยุคก่อนยังฟังออกว่าเป็นโปรแกรมหรือเป็นเสียงจริง แต่ยุคนี้เครื่องมือมันทำได้เหมือนมาก จนเขาใช้ซ้อนกัน คือใช้โปรแกรมด้วย ใช้อัดจริงด้วย ผสมกันไปเลย เพราะงั้นตอนนี้เมื่อเครื่องมือมันดีพอ แต่สิ่งที่มาเติมเต็มคือ ความเป็นคนที่เล่น ที่มันมีอารมณ์ มีความเพี้ยนนิดหน่อยที่ทำให้มันรู้สึกเป็นธรรมชาติมากขึ้น แล้วการทำเพลงในระบบแอนะล็อกกับดิจิทัลก็มีลักษณะต่างกัน คาแรคเตอร์ของแอนะล็อกก็ยังมีเสน่ห์มาก ๆ บางอัลบั้มที่บันทึกด้วยเทป 2 นิ้วทั้งชุด อย่าง Daft Punk ชุดสุดท้าย (Random Access Memories) ใช้แอนะล็อกหมด พอฟังจะได้ยินเนื้อเสียงที่ไม่เหมือนระบบดิจิทัล แต่ก็ไม่ได้บอกว่าดิจิทัลไม่ดี ตอนนี้ 99% ของศิลปินที่ปล่อยเพลงออกมาใช้ดิจิทัลหมดแล้ว ใช้แอนะล็อกน้อยมาก ๆ เพราะมันแพงกว่า มันหายากกว่า มันไม่สะดวกเท่า แต่ดิจิทัลจะมีปลั๊กอินต่าง ๆ ที่เลียนแบบแอนะล็อก เพราะฉะนั้นถ้า Sound Engineer รู้ว่าลักษณะเสียงแอนะล็อกเป็นยังไง เคยได้ยิน หรือจำมันได้ ก็จะมีเทคนิคทำให้เสียงดิจิทัลใกล้เคียงกับเสียงแอนะล็อก เสียงแอนะล็อกเป็นยังไงคุณอู่ให้นิยามเสียงของแอนะล็อกคืออุ่นกว่า นุ่มกว่าเสียงดิจิทัลที่แข็งกระด้าง ด้วยลักษณะของเสียงที่บันทึกแบบแอนะล็อก มันเป็นคลื่นเสียงที่ต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นเสียงดิจิทัล มันถูกบันทึกมาเป็นครั้ง ๆ เช่นเสียงจากแผ่น CD จะถูกบันทึก 44,100 ครั้งต่อวินาที เพราะฉะนั้นมันจะมีช่องว่างในอากาศเล็ก ๆ ที่ไม่ต่อเนื่อง แล้วสมองเราไวมาก ถ้าฟังดี ๆ จับอารมณ์ดี ๆ จะรับรู้ได้ว่ามันมีอะไรขาดไป ซึ่งแม้จะเป็น Hi-Res ที่ขึ้นไปเก็บข้อมูล 192,000 ครั้งต่อวินาที มันก็ใกล้เคียงแอนะล็อกมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เหมือน เรื่องความ Warm ความมีชีวิต มันก็ยังเป็นอีกแบบหนึ่ง คนละคาแรกเตอร์กัน ซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมผู้ฟัง ทำไมเพลงรอบทิศทางถูกพูดถึงมากขึ้น เมื่อคุยถึงเรื่องเพลงแบบรอบทิศทางหรือ Spatial Audio ที่บริษัทเทคโนโลยีอย่างแอปเปิ้ลกำลังโปรโมทอยู่ตอนนี้ คุณอู่ให้ความเห็นว่า มันถึงยุคที่เราจะก้าวไปอีกขึ้นหนึ่งแล้ว อย่างตอนโมโนเป็นสเตอริโอ น่าจะราว ๆ ยุค 60s ถึงตอนนี้ก็ 60 กว่าปีแล้ว จากฟังโมโนลำโพงเดียวมาสู่สเตอริโอ 2 ลำโพงทุกคนก็ตื่นเต้นที่ได้ยินเสียงสเตอริโอ ยุคแรกที่เป็นสเตอริโอ นักดนตรีก็เห่อมาก The Beatles มิกซ์กลองอยู่ข้างหนึ่ง เบสอยู่ข้างหนึ่ง ร้องอีกด้านหนึ่ง เพื่อจะโชว์ว่าเป็นเป็นเสียงสเตอริโอนะ ก็จนพัฒนามาเรื่อย ๆ ให้กลมกล่อมขึ้น ทำให้เหมือนจริงมากขึ้น มีมิติ จนทุกวันนี้ Sound Engineer ก็ทำจนมีมิติของเสียงให้กว้างและลึกเกินกว่าตำแหน่งลำโพงที่มีแค่ 2 ตัวได้ มอนิเตอร์แสดงตำแหน่งเสียงต่าง ๆ ที่มิกซ์ในระบบ Dolby Atmos มาถึงระบบ Immersive ในทุกวันนี้ ก็ต้องขอบคุณนักวิทยาศาสตร์ที่สร้างรูปแบบต่าง ๆ ขึ้นมา ทั้ง Dolby Atmos Music และ Sony 360 Reality Audio ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ก็เริ่มมาจากโรงหนัง จากเดิมที่เป็น 5.1 เป็น 7.1 ก็สร้างเทคโนโลยีอย่าง Atmos ขึ้นมา แล้วก็มากับหนังสตรีมมิ่งพวก Netflix ก่อน ซึ่งคิดต่ออีกนิดเดียวจนมาเป็นเพลง และ Tidal กับ Apple Music เริ่มสตรีมได้ คุณอู่เล่าว่าเคยไปที่ห้องทดลองใต้ดินของ Dolby ที่อังกฤษด้วย ฟังเพลงของ deadmau5 ในระบบแอทโมส ซึ่งในช่วงแรกก็ติดตั้งในผับก่อน ให้ดีเจไปเปิดเล่น คนก็ฮือฮา ดอลบี้ก็เอาไปคิดต่ออยู่หลายปีให้แอทโมสอยู่กับเพลงได้ จริง ๆ ตอนนี้เราก็ยังอยู่ในยุคเพลงแบบ Immersive ที่เพิ่งเริ่มนะ เหมือนยุค The Beatles เห่อเพลงสเตอริโอ ซึ่งความรู้ความเข้าใจของ Sound Engineer ที่มิกซ์เพลงรอบทิศทางมันก็อาจจะยังไม่เข้าที่ ผมก็กลัวมากเลย กลัวว่าถ้าเพลงมิกซ์ออกมาไม่ดีเยอะ ๆ คนฟังก็ไม่ชอบ แล้วกลับไปฟังสเตอริโอ ฟอร์แมตเสียงรอบทิศทางก็จะเจ๊ง อู่ ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ ผมก็เลยพยายามที่จะช่วยผลักดันให้คนมิกซ์แอทโมสทำได้ดีขึ้นทุกวัน ให้มีผลงานดี ๆ ออกมาให้คนฟังเยอะ ๆ เราไม่ได้เป็นคู่แข่งกันหรอก การทำเพลงในระบบ Atmos ต่างจากเพลงปกติอย่างไร หลักการคือวิศวกรเสียงต้องมิกซ์ให้ดีที่สุดในระบบสเตอริโอก่อน แต่ก่อนที่จะส่งไฟล์มามิกซ์ต่อเป็นระบบแอทโมส Mixing Engineer ก็ควรจะคิดเผื่อไว้ให้ คือเราต้องส่งเป็น Stem แยกเป็นสะเต็มกลอง สะเต็มคีย์บอร์ด, สตริง, ร้องประสาน การแยกอย่างนี้เพื่อให้คนที่มิกซ์แอทโมสสามารถเล่นกับมันได้ สามารถจัดตำแหน่ง หรือสามารถปรับอะไรเพิ่มเติมได้ สมมุติว่าเสียงซินธิไซเซอร์ อาจจะมีเสียง Arpeggio จึ้ด ๆ วิ่งอยู่ ถ้าคนที่ทำสะเต็มส่งมาเส้นเดียว ไม่แยกเสียงจึ้ด ๆ ออกมา คนที่ทำแอทโมสก็ไม่สามารถเอาเสียงนี้ไปวิ่งได้ เพราะมันจะติดอยู่กับเสียงอื่น แต่ถ้าคิดเผื่อมา แยกมา ก็จะสามารถเอาไปเล่นได้เยอะขึ้น อันนี้คือการส่งต่อแบบเตรียมการ เพื่อทำให้การมิกซ์ในระบบแอทโมสที่สนุกขึ้นสมบูรณ์ขึ้น Stem คือเสียงที่มิกซ์แทร็กลงมาแล้ว เช่นเสียงกลองมี 24 แทร็กแยกกันตามไมค์ที่บันทึกเสียงกลองชุด แต่ Mixing Engineer จะไม่ได้ส่งต่อทั้ง 24 แทร็ก แต่มิกซ์รวมกันเป็น 1 เส้น ก็เรียกว่าสะเต็มกลอง ทำไมเพลงรอบทิศทางบางเพลง แล้วรู้สึกไม่ดีเท่าต้นฉบับสเตอริโอ เราในฐานะที่รีวิวลำโพงในระบบ Dolby Atmos หรือหูฟังแบบ Spatial Audio มาตลอด ก็รู้สึกว่าบางเพลงที่มิกซ์เป็นเสียงรอบทิศทางมา เสียงมันฟุ้ง ไม่หนักแน่นเท่าแบบสเตอริโอเลย คุณอู่ตอบในประเด็นนี้ว่าอาจเกิดได้จาก 2 กรณี ทั้งคนมิกซ์ มิกซ์มาไม่สมบูรณ์เท่าระบบสเตอริโอเดิม หรือการเซ็ตอัปอุปกรณ์สำหรับฟังมีปัญหา แต่ก็อยากให้มองว่าเพลงแบบรอบทิศทางเป็นเพลงอีกเวอร์ชันหนึ่ง ไม่ได้มองว่าเป็นเพลงเดียวกันแล้วฟังคนละแบบ คุณอู่พูดถึงต่อในมุมมองคนมิกซ์ที่มองว่าเพลงต้นฉบับที่เป็นสเตอริโอ มันดีของมันอยู่แล้ว ให้อารมณ์เหมือนนั่งฟังวงดนตรีเล่นอยู่ด้านหน้า แต่เพลงรอบทิศทางจะเปิดประสบการณ์ใหม่ให้เข้าไปอยู่ในวงดนตรีนั้น เข้าไปอยู่ในเพลงเลย เสียงมาโอบล้อม ซึ่งถ้าเป็นเพลงที่มิกซ์มาดี ๆ เราจะอินกับมันได้มากกว่า แต่บางวันเราอาจจะอยากฟังแบบเดิมก็ได้ ไม่อยากอินแบบนั้น ซึ่งถ้าไม่รู้ว่าจะหาเพลงที่มั่นใจว่ามิกซ์เป็น Dolby Atmos มาดีได้ที่ไหน คุณอู่ก็ตอบอย่างภูมิใจว่า ทุกเพลงของ Summer Will End ครับ Summer Will End เป็นมายังไงโปรเจคนี้เป็นของกลุ่มน้อง ๆ ที่สนิทสนมกัน อยากทำเพลงที่มีคุณภาพไม่ต้องเอาใจตลาดเต็มที่ แต่ก็ไม่ใช่เพลงอันเดอร์กราวด์หรืออินดี้ ที่ฟังยาก แล้วก็ จุดมุ่งหมายไม่ใช่แค่ในประเทศแต่ว่าออกไปสู่สากล ตั้งเป้าไว้ในระดับเอเชีย แต่ที่ผ่านมาก็ไปถึงอเมริกาไปถึง ยุโรปได้เหมือนกันนะ Summer Will End ใส่ใจเรื่องคุณภาพเสียง คุณภาพของตัวเพลงเป็นหลัก ซึ่งทำให้มันก็ตรงจริต ตรงแนวกับผมที่อยากทำอะไรที่มันมีคุณภาพต่อไป โดยผมเป็น Sound Engineer ก็จะดูแลเรื่องคุณภาพของเสียงทั้งหมด ตั้งแต่ Mix, Master แล้วก็ทำ Atmos Music ซึ่ง Summer Will End น่าจะเป็นค่ายเดียวที่รู้จัก ที่ทำ Atmos Music ทุกแทร็ก เมื่อเราถามต่อว่า แล้วลำโพงและหูฟังแต่ละรุ่นก็เรนเดอร์เสียงรอบทิศทางออกมาไม่เหมือนกัน ผู้ฟังควรเชื่อเสียงจากอะไร คุณอู่ก็มองว่า ถ้าฟัง Spatial Audio ผ่าน Apple Music อยู่แล้ว ผมว่าผลิตภัณฑ์ที่แมทซ์ที่สุดก็คือผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลเอง เพราะเขาคิดให้สอดคล้องกันมาแล้ว แต่ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อื่น มันก็เป็นไปได้ แค่อย่าลืมเปิด Atmos always on ใน Apple Music เพื่อเรียกใช้เสียงรอบทิศทางของเพลง ส่วนการเปิดเพลงผ่านทีวีที่ต่อซาวด์บาร์ที่รองรับแอทโมสก็ทำได้ แต่ผู้ใช้ควร Calibrate ซาวด์บาร์ให้เรียบร้อยสำหรับตัวปรับจูนได้ ซึ่งคุณอู่ให้ความเห็นว่าการฟังเพลงแบบ Dolby Atmos ผ่านซาวด์บาร์ ความรู้สึกเพลงมันก็ไม่เหมือนสเตอริโอแหละ ให้ความรู้สึกเสียงอยู่รอบ ๆ ตัว แต่ก็ยังไม่ได้ให้ความรู้สึกระดับกระโดดเข้าไปในเพลงแบบฟังผ่านหูฟัง ที่แม้ว่ามันจะมีแค่ลำโพง 2 ตัวมาปิดหู และช่องสัญญาณเสียงแค่ 2 แต่ก็ได้ความรู้สึกโอบล้อมมากกว่า เพราะฉะนั้นการฟังเพลงรอบทิศทางผ่านซาวด์บาร์ให้โอบล้อมขึ้น คุณก็จำเป็นต้องมีลำโพงด้านหลังด้วย ในเชิงเทคนิค Dolby Atmos กับ Sony 360 Reality Audio ต่างกันไหม ต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ Sony 360 Reality Audio มีมิติมากกว่า เพราะให้เสียงได้ทั้งด้านบนและด้านล่าง มีเสียงทั้งเหนือศีรษะและใต้ตัวผู้ฟัง ซึ่งผู้ฟังจะรู้สึกชัดขึ้น (คนไทยสามารถฟังได้ผ่าน Tidal โดยใช้หูฟังโซนี่) และตอนนี้คุณอู่ก็สามารถมิกซ์ให้เป็น 360RA ได้เช่นกัน นอกจากมิกซ์เป็นแอทโมสแล้ว และคุณอู่สรุปว่าโดยรวม Dolby Atmos กับ Sony 360RA ก็เป็นรูปแบบเสียง Immersive เหมือนกัน สุดท้ายอยู่ที่รูปแบบไหนจะแพร่หลาย เข้าถึงคนฟังได้มากกว่ากัน อันนั้นแหละจะเป็นรูปแบบที่ดี ทำเพลงแอทโมสต้องจ่ายค่าใช้สิทธิ์ไหม ถ้าคุ้นเคยกับวงการเทคโนโลยีด้านภาพและเสียงมา เราจะคิดถึงเรื่อง Licensing หรือการจ่ายค่าใช้สิทธิ์ในการทำเนื้อหาในระบบนั้น แต่สำหรับ Dolby Atmos คุณอู่ตอบว่า ผู้สร้างเพลงไม่ต้องจ่ายอะไรให้ดอลบี้ ซึ่งก็มองว่าดอลบี้ตัดสินใจถูกแล้วที่ทำแบบนี้ ถ้าต้องจ่ายกันเป็นรายเพลง ก็จะไม่มีใครทำแน่ ๆ แล้ว Dolby ได้เงินจากไหน ก็ได้เงินจากตัวชิปในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เราซื้อแอมป์ที่มีป้าย Dolby Atmos แปะ ในนั้นมีชิปอยู่ตัวหนึ่ง เค้าขายชิปนี้เพื่อไปถอดรหัส พูดอีกแบบคือเขาให้ End User หรือคนฟังจ่าย แต่จะจ่ายด้วยวิธีไหนแล้วแต่ เช่น ฟังในแอปเปิ้ล แอปเปื้ลก็จ่ายต่างหาก ด้วยวิธีนี้ คนทำเพลงก็เข้ามาทำง่ายขึ้น คนฟังที่ซื้ออุปกรณ์มาแล้ว ก็ฟังได้ตลอด ส่วนถ้าไม่ได้จ่ายแพงกว่าเพื่อซื้ออุปกรณ์ที่ถอดรหัส Atmos ได้ ก็แค่ไม่ได้ฟังเพลงในระบบ Atmos กลับไปฟังเพลงสเตอริโอปกติได้ ประวัติศาสตร์ Dolby Atmos ในเมืองไทย คุณอู่ออกตัวในประเด็นนี้ก่อนเลย เพราะตัวคุณอู่มีสถานะเป็น Brand ambassador ของ Dolby ในเชิงของ Dolby Atmos Music ด้วย มีความคุ้นเคยกับระบบของดอลบี้เป็นสิบปี ตั้งแต่สมัยทำหนัง The Grandmaster ของหว่อง กา ไว ก็มิกซ์เสียงที่กันตนา เป็นหนังเรื่องแรกในเอเชียที่มิกซ์เป็นระบบ Dolby Atmos ตั้งแต่โรงหนังยังไม่ได้รองรับระบบ Atmos กันแพร่หลายเลย ชื่อคุณอู่ ไตรเทพในฐานะทีมงานด้านเสียง และได้รางวัล Best Sound Design จากหนัง The Grandmaster ช่วงปี 2013 นั้นเป็นสงครามของระบบเสียง Immersive มีผู้เล่นอยู่ 3 ค่ายคือ Dolby Atmos, DTS:X แล้วก็ Auro 3D ตอนนั้นคุณอู่เลยทำห้องมิกซ์ที่รองรับทั้ง 3 ระบบ เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายระบบที่จะได้ครองความนิยมคืออะไร “ต่อมาผมได้ยินข่าวว่าเมืองนอกเริ่มทำ Atmos Music ก็คิดว่า เอ้ย เราน่าจะเป็นคนที่ทำได้ในเมืองไทย ถ้าเราไม่ทำคงต้องรอนาน เพราะใครจะมาเริ่ม ซึ่งเรารู้จัก Atmos อยู่แล้ว เราทำเพลงอยู่แล้ว เพราะงั้นเราน่าจะเริ่ม ผมเลยติดต่อ Dolby ไปว่าทำไมเราไม่ทำ Atmos Music ที่เมืองไทยล่ะ แล้วเค้าก็บินมาคุยกับผมหลายรอบว่าเป็นความคิดที่ดี แต่ตอนนั้นมันติดอยู่ที่ว่าทำเสร็จแล้วเราก็ไปไปปล่อยเพลงที่ไหน ช่วงนั้นคือเมื่อ 4 ปีที่แล้ว แอปเปิลมิวสิคก็ยังไม่ได้รองรับ Dolby Atmos” ซึ่งหลังจากคุณอู่ติดปัญหาว่าทำเสร็จ แต่ไม่มีช่องทางส่งไปถึงคนฟังได้อยู่นาน ล่วงเลยมาถึงปี 2021 แอปเปิลเปิดตัว Spatial Audio ที่เป็น Atmos Music ดอลบี้ก็ติดต่อกลับมาว่าเป็นโอกาสของเราแล้ว วันแรกที่รู้ ผมเริ่มทำเดโมเลย เอาเพลงของ Kidnappers มิกซ์เป็น Atmos แล้วก็เชิญค่ายเพลง ชวนศิลปินมาฟังว่าเราทำแบบนี้ได้นะ อู่ ไตรเทพ วงศ์ไพบูลย์ จากนั้นคุณอู่จึงได้คุยกับแอปเปิ้ล และเริ่มส่งผลงานเข้าระบบ Apple Music เรื่อย ๆ ซึ่งพอแอปเปิ้ลเริ่มทำ ก็ทำแบบสนับสนุนวงการจริง ๆ เพราะต้องการพลักดันให้เสียงเพลงรอบทิศทางนี้เกิดขึ้นจริง ๆ เหมือนเป็นสิ่งพิเศษของแอปเปิ้ลที่ทุกคนต้องฟัง และเพราะว่าคุณอู่เป็นเหมือนตัวแทนของดอลบี้ด้วย ก็เลยจัด Workshop เพื่อสอนและสร้างวิศวกรเสียงที่ทำแอทโมสได้เยอะขึ้นในประเทศ เราก็คิดว่าถ้ามีเพลงในระบบเยอะขึ้น ก็ทำให้วงการเพลงคึกคัก ทำให้ระบบนี้มันแข็งแรงขึ้น คนฟังเองก็จะมีอะไรใหม่ ๆ ให้ฟัง Kidnappers อัลบั้มล่าสุด ‘Signal’ เมื่อถามถึงอนาคตของวง Kidnappers คุณอู่ก็ตอบว่าน่าจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ เพิ่งอัดร้องไปเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเอง ตัวห้องมิกซ์ก็ได้รับการรับรองเป็นระดับ Commercial เรียกว่า Dolby Atmos HE (Home Entertainment) ณ ตอนนี้ในไทยมีอยู่ที่เดียวคือที่ A Lab By Kantana Sound Studio แต่คุณอู่อธิบายเพิ่มเติมว่า แต่สำหรับ Apple Music ไม่ได้บอกว่าที่อื่นทำไม่ได้ คือถ้าเซ็ตอัพห้องเป็นแอทโมสแล้วทำได้ถูกต้อง แต่ไม่ได้ Certified แต่ทำได้ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร ถึงแม้จะมิกซ์ด้วยหูฟังก็ทำได้ เพราะฝั่งผู้เผยแพร่อย่างแอปเปิ้ล ไม่ได้ตรวจว่าเพลงที่ส่งขึ้นไปมาจากห้องมิกซ์ที่ได้ Certified แต่เขาตรวจตัวมิกซ์ว่ามีเสียงครบทุกช่องเสียงตามที่ควรจะเป็น แล้วก็ตรวจความดังของเสียงว่าได้ตามสเปกเขาไหม ตรวจแค่นั้น Dolby Atmos Home Entertainment Certified Studio ที่ A Lab By Kantana Sound Studio คุณอู่ยังเล่าต่อถึงกระบวนการตรวจคุณภาพที่ต่างประเทศ คือถ้าเป็นค่ายเพลงฝรั่งบางค่าย จะมีคนตรวจแยกอีกในวงการเรียกว่า Audio Cop หรือตำรวจเสียง ที่คุณอู่เคยเจอ เป็นสุภาพสตรีคนหนึ่งที่ฟังละเอียดมาก เธอจะตรวจมิกซ์ของเราว่ามันเหมือนกับสเตอริโอไหม แล้วสั่งแก้ตลอด ช่างเสียงทั่วโลกจะรู้กัน ว่าถ้าไปผ่านเธอคนนี้ ก็ซวยล่ะ “การมิกซ์ในระบบแอทโมส ผมพยายามสอนทุกคนว่าเราควรให้เกียรติผู้มิกซ์ในระบบสเตอริโอเสมอ เพราะเขาปั้นเพลงนั้นกับศิลปินมานานกว่าเราแน่ ๆ การที่เราได้แทร็กเขามา แล้วมิกซ์ใหม่เป็นแอทโมสมันไปได้ไกลมาก แต่เราไม่ได้ต้องการตีความเพลงใหม่ เพราะฉะนั้น เราจะมิกซ์ยังไงก็ได้ให้ได้ความรู้สึกใกล้เคียงกับต้นฉบับสเตริโออยู่ เพียงแต่ มิติ ลูกเล่นต่าง ๆ มันอาจจะเยอะขึ้น แต่ไม่ใช่ให้เพลงเปลี่ยนอารมณ์ไป” อนาคตของเพลงเสียงรอบทิศทาง คุณอู่ให้ภาพในเรื่องนี้ว่า ค่ายเพลงตอบรับดีขึ้น คนฟังก็รู้จักเกือบหมดแล้ว เด็กวัยรุ่นก็รู้จักหมด ค่ายเพลงก็ตื่นตัวว่าต้องทำ มีค่ายที่แบบทำทั้งอัลบั้มเลย ไม่ใช่เลือกเพลงดังแล้วค่อยมาทำ ก็พอมีให้ฟังเยอะขึ้น เด็กฟังเยอะขึ้น คราวนี้ผมรอเวลาที่เด็ก ๆ เรียกร้องว่าทำไมเพลงนี้ไม่มีแอทโมส เรียกร้องให้ค่ายทำ ก็น่าจะถึงวันนั้นเร็ว ๆ นี้ ที่ชอบฟังทั้งแบบสเตอริโอและแอทโมส และเริ่มถวินหาว่าทำไมไม่มีแบบแอทโมสให้ฟัง ทำไมออกมาไม่ครบ ถ้าพูดถึงอนาคต มันจะมีสเต็ปต่อไปที่คนทำเพลงเริ่มทำเพลงโดยแต่งเพลงในระบบแอทโมส เวลาคิดเพลง ก็คิดมาตั้งแต่แรกเลยว่ามันต้องมีเสียงข้างหลัง มีเสียงข้างบน ซึ่งมันก็เหมือนกระดานของเรามันใหญ่ขึ้น เติมเสียงต่าง ๆ ได้เยอะขึ้น เรามีพื้นที่ในการสร้างสรรค์ได้เยอะขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เพลงที่คิดแบบแอทโมสต้องยุบกลับเป็นสเตอริโอนี่เจ๊งเลยนะ มันยัดกลับไม่ลงนะ เพราะเรามี Passion กับเสียง เราจบการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ด้วยคำถามว่า คุณอู่อยู่หลายยุคมาก ปัจจุบันทำทั้งมาสเตอร์แผ่นเสียง และทำเพลงรอบทิศทางแบบแอทโมสด้วย รู้สึกยังไงกับความหลากหลายนี้ คุณอู่กับเครื่องจักรผลิตแผ่นเสียงแบบเขียนทีละแผ่น สำหรับการสั่งทำจำนวนน้อย ๆ คุณอู่ก็ตอบอย่างติดตลกว่า ฟังดูเป็นคนหลายใจนะ แต่เพราะผมมีความหลงไหลกับเสียงมาตลอด ไม่ว่าเสียงจะอยู่ในรูปแบบไหน เราก็ยังชอบอยู่ดี ทำให้อยากอยู่ใกล้ชิดกับนวัตกรรมเสียงตลอดเวลา สิ่งที่เป็นอนาคตอย่างเสียงรอบทิศทาง เราก็ต้องติดตาม เราก็ต้องรู้เรื่อง เราก็ต้องทำได้ แต่ความหลงไหลในแอนะล็อก ในแผ่นเสียง ก็ไม่อยากให้มันตายไป อยากให้ยังอยู่ เพราะเราชอบ เราก็ต้องหาวิธีให้เค้าอยู่รอดไปเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นที่พิสูจน์แล้วว่ามีคนกลุ่มใหญ่ที่ชอบแผ่นเสียง ชอบแอนาล็อก ก็ยังฟังอยู่ ยังสนับสนุนอยู่ ก็ดีใจที่เราเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนวงการนี้ เรียกว่าเป็นผู้สนับสนุนทุกยุค ตั้งแต่แอนะล็อกจนถึงดิจิทัลมัลติแชลแนล ช่างภาพ: รัชชานนท์ ไชยขวัญกราฟิกดีไซเนอร์: พัฒนพล หวังพิทักษ์วงศ์สถานที่: A Lab By Kantana Sound Studio
แบไต๋ • 17 ก.ย. 66
อ่าน
Toyota Fortuner LEADER (MY2025) สัมผัสความหรูหราที่เข้าถึงง่าย!
รถยนต์อเนกประสงค์ (PPV) เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงและได้รับความนิยมมากในประเทศไทย และชื่อของ Toyota Fortuner ก็ยังคงครองใจคนไทยเสมอมา ในปี 2025 นี้ Toyota ได้ส่งรุ่นพิเศษที่ปรับปรุงใหม่ให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้นอย่าง Fortuner LEADER (MY2025) เข้าสู่ตลาด ด้วยการผสมผสานดีไซน์พรีเมียม สเปกที่ครบครัน และการอัปเกรดฟีเจอร์ใหม่ที่โดนใจผู้ใช้งานชาวไทย มาดูกันว่า Fortuner LEADER ใหม่นี้มีจุดเด่นและสิ่งที่ถูกอัปเกรดเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง ดีไซน์ภายนอก: หรูหราและดุดันในแบบฉบับ LEADER Fortuner LEADER (MY2025) ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความแข็งแกร่งและภูมิฐานของตระกูล Fortuner ไว้ได้อย่างครบถ้วน แต่เพิ่มความพรีเมียมและโดดเด่นในรายละเอียดต่าง ๆ: ด้านหน้า: โดดเด่นด้วย กระจังหน้าสีดำเงา ที่ให้ลุคที่ดูดุดันและหรูหรา พร้อมชุดกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ที่เน้นความสปอร์ตมากขึ้น ไฟส่องสว่าง: มาพร้อมกับ ไฟหน้า Bi-Beam LED และไฟท้าย LED ที่เพิ่มความสว่างและปลอดภัยในการขับขี่ ล้อและยาง: ใช้ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ ที่ดูคมเข้มและลงตัวกับตัวรถสไตล์ SUV กระจกมองข้าง: กระจกมองข้างเป็นสีดำเงา (Black Glossy) และมีบันไดข้างสีดำ ทำให้ภาพรวมของตัวรถดูสปอร์ตและเป็นผู้นำตามชื่อรุ่น แม้จะเป็นรุ่นที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเริ่มต้น แต่ Fortuner LEADER ก็มอบสัมผัสของความหรูหราที่เกินราคา ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกภาคภูมิใจทุกครั้งที่ได้ขับขี่ ขนาดและมิติ: ความใหญ่ที่มาพร้อมความคล่องตัว Fortuner เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของขนาดตัวถังที่ใหญ่และห้องโดยสารที่กว้างขวาง ซึ่ง Fortuner LEADER ก็ยังคงมอบมิติที่รองรับการใช้งานแบบครอบครัวและการเดินทางระยะไกลได้อย่างสบาย: ความยาว: ประมาณ 4,795 มม. ความกว้าง: ประมาณ 1,855 มม. ความสูง: ประมาณ 1,835 มม. ระยะฐานล้อ: 2,750 มม. ด้วยขนาดที่ใหญ่พอเหมาะ ทำให้ภายในสามารถจัดที่นั่งได้ถึง 3 แถว รองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 ที่นั่ง และยังคงความสูงจากพื้น 193 มิลลิเมตร (Ground Clearance) ที่เหมาะสมสำหรับการขับขี่ลุย ๆ หรือการเดินทางบนถนนที่มีสภาพผิวขรุขระในประเทศไทย ⚙️ ขุมพลังและสมรรถนะ (สเปก): กำลังที่ดีและประหยัด Fortuner LEADER (MY2025) มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลที่คนไทยคุ้นเคย ในชื่อของ รหัส 2GD-FTV ซึ่งเน้นความทนทาน ประหยัดน้ำมัน และสมรรถนะที่ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวัน: เครื่องยนต์: ดีเซล รหัส 2GD-FTV (High-Pressure Turbo) ขนาดเครื่องยนต์: 2.4 ลิตร (2,393 ซีซี) กำลังสูงสุด: 150 แรงม้า ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด: 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600 2,000 รอบต่อนาที ระบบเกียร์: เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อม Sequential Shift นอกจากกำลังเครื่องยนต์ที่น่าพอใจแล้ว Fortuner LEADER ยังมาพร้อมกับช่วงล่างที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความนุ่มนวลและเกาะถนนมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ ไม่ว่าจะในเมืองหรือนอกเมือง สิ่งที่อัปเกรดเพิ่มเติมใหม่ (MY2025) สิ่งที่ทำให้ Fortuner LEADER (MY2025) โดดเด่นขึ้นมาคือการอัปเกรดฟีเจอร์สำคัญหลายอย่างที่เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร: 1. ความสะดวกสบายและฟีเจอร์ภายใน Wireless Charger (อัปเกรดใหม่): มีการเพิ่ม แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน (อาจมีในบางรุ่นย่อย) ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคดิจิทัลที่ต้องการชาร์จแบตเตอรี่อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ Dual Zone: สามารถปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา เพื่อให้ผู้โดยสารด้านหน้าได้รับความสบายสูงสุด เบาะนั่งหุ้มหนัง: ให้สัมผัสที่พรีเมียมและง่ายต่อการทำความสะอาด 2. เทคโนโลยีความปลอดภัย (Standard Features) Fortuner LEADER (MY2025) ได้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยด้วยการติดตั้งฟีเจอร์มาตรฐานที่ครบครัน: กล้องมองภาพรอบคัน (Panoramic View Monitor - PVM): ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวรถ 360 องศา ทำให้การจอดรถและการขับขี่ในที่แคบง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น ระบบความปลอดภัยพื้นฐาน: มาพร้อมถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง, ระบบควบคุมการทรงตัว (VSC), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (TRC), และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HAC) ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่ขาดไม่ได้สำหรับรถ PPV 3. ความคุ้มค่าของรุ่นย่อย G Plus สำหรับการอัปเกรดในรุ่นย่อย Fortuner LEADER G Plus นั้น มักจะมีการเพิ่มฟีเจอร์ที่เน้นความสะดวกสบายและเทคโนโลยีเข้ามา เพื่อให้มีความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น เช่น: ระบบ T-Connect Telematics: ระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะที่ช่วยในการติดตามรถ, การแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน, หรือการนัดหมายเข้ารับบริการ ระบบ Smart Key และ Push Start: เพิ่มความสะดวกในการเข้า-ออก และสตาร์ทรถ ราคาในประเทศไทย (โดยประมาณ) ราคาของ Toyota Fortuner LEADER (MY2025) ในประเทศไทย ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรุ่นที่เข้าถึงง่ายและคุ้มค่าที่สุดในตระกูล Fortuner โดยมีราคาเริ่มต้นที่น่าดึงดูดใจ (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามประกาศของบริษัท): รุ่น 2.4 LEADER S (2WD): ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,239,000 บาท รุ่น 2.4 LEADER G (2WD): ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,400,000 บาท รุ่น 2.4 LEADER G Plus (2WD): ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,439,000 บาท รุ่น 2.4 LEADER V (2WD): ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,530,000 บาท รุ่น 2.4 LEADER V (4WD): ราคาเริ่มต้นประมาณ 1,600,000 บาท หมายเหตุ: ราคาดังกล่าวเป็นราคาโดยประมาณ ณ วันที่เปิดตัว และอาจแตกต่างกันไปตามสีตัวถังและอุปกรณ์ตกแต่งเพิ่มเติม Toyota Fortuner LEADER (MY2025) คือนิยามของ "ความคุ้มค่าระดับผู้นำ" ที่แท้จริง ด้วยดีไซน์ภายนอกที่ดูพรีเมียมดุดัน การตกแต่งภายในที่เน้นความสะดวกสบาย และที่สำคัญที่สุดคือการอัปเกรดฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยและเทคโนโลยี เช่น กล้องมองภาพรอบคันและ Wireless Charger ทำให้ Fortuner LEADER ไม่ใช่แค่รถ PPV สำหรับครอบครัวทั่วไป แต่เป็นรถที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายในราคาที่จับต้องได้ง่ายที่สุดในตระกูล Fortuner จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหารถยนต์อเนกประสงค์ที่ครบเครื่องในทุกมิติ Credit : Toyota
ข่าวยานยนต์ • 26 ต.ค. 68
ดูเพิ่มเติม