รีเซต

ผลการค้นหา “Burnout Syndrome” - ทรูไอดี

ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
วิธีจัดการกับสภาวะหมดไฟ( Burnout syndromes )
อ่าน

วิธีจัดการกับสภาวะหมดไฟ( Burnout syndromes )

สวัสดีค่าเพื่อนๆชาว True ID ทุกคนวันนี้มิลค์ก็มีสาระสำคัญมาฝากอีกเช่นเคยค่ะ เชื่อว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ความรัก หรือภาระต่างๆในชีวิตมันก็สามารถทำให้เราหมดไฟหรือเรียกอีกอย่างนึงว่าอาการ Burnout Syndrome นั่นเอง ซึ่งหลายคนกำลังตกอยู่ในสภาวะนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ T_T แต่ไม่ต้องกลัวและหมดกำลังใจไปนะ เป็นได้ก็แก้ได้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันว่าอาการหมดไฟที่ว่านี้ มีวิธีแก้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ~Burnout Syndrome สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หรือไม่มีความบาลานซ์ชีวิตในหลายๆเรื่อง ทำให้เกิดการเหนื่อยหน่ายท้อแท้ มีความกดดัน ความคาดหวัง ทำให้มีทัศนคติในด้านลบกับตัวเองละคนรอบข้าง จึงนำไปสู่ภาวะภาวะหมดไฟในที่สุด สิ่งที่สามารถนำพาทุกคนกลับมาอยู่สภาวะปกติได้ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะเดี๋ยวเราเช็คเป็นข้อๆกันไปเลย 1. จัดระเบียบการใช้ชีวิต เรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เพียงแค่คุณทำสิ่งนี้ได้ชีวิตจะดีขึ้นแบบ200%เลย มันทำให้เราได้นั่งทบทวนตัวเองว่า สิ่งไหนที่เราควรจะทำและสิ่งไหนที่เราควรจะปล่อย เราจะเลือกทำสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตดีกว่าต้องมานั่งเสียเวลาและสุขภาพจิตให้กับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่างๆ  2.หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย ฝึกเล่นโยคะ ศิลปะ ตกแต่งบ้าน ทำสมาธิ ถ่ายคลิปทำอาหาร การทำอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองไม่ใช่เรื่องเสียเวลา เพราะที่ผ่านมาเราก็ทำให้คนอื่นมามากแล้วเหมือนกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการให้รางวัลคนเก่งกับตัวเองจริงๆ 3. งดเข้าโซเชียลบ้าง บางทีข่าวสารต่างๆในโลกออนไลน์ก็ทำให้เราเครียดได้เหมือนกันนะ บางคนไปรับรู้ชีวิตคนอื่นมากเกินไปจนเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเองจนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เก่ง อย่าคิดแบบนั้นนะคะ ทุกคนล้วนมีค่าหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง ตอนนี้ที่มีชีวิตอยู่และผ่านไปแต่ละวันไดนี่ก็เก่งมากแล้ว เราต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวัน คิดบวกๆเข้าไว้ และพลังงานด้านบวกก็จะถูกดึงกลับมาหาเราเองค่ะ  4. เปิดใจคุยกับคนใกล้ชิด เป็นวิธีระบายอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รักเรา คอยให้กำลังใจเรา เช่นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท เราสามารถสื่อสารให้เค้าเข้าใจได้ ที่สำคัญเราต้องปรับทัศนคติของตัวเองด้วย เพราะทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน  5.แบกเป้เที่ยวเลยจ้า ไหนๆก็ไหนๆละ เที่ยวแก้เครียดซะเลย^_^* การไปในสถานที่แปลกใหม่ก็เป็นการเยียวยาตัวเองอย่างดีเลยล่ะ เผลอๆกลับมาเราอาจจะได้ไอเดียดีๆในการไปต่อยอดอะไรได้อีกหลายอย่างอีกด้วย เป็นอย่างไงบ้างคะกับวิธีจัดการกับเจ้าตัวปัญหาที่ทำให้เราหมดไฟ ส่วนตัวมิลค์เองตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำได้หมดทุกข้อ ตอนนี้ทำได้แค่เริ่มต้นที่รักตัวเองเริ่มมีแรงบันดาลใจและหาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ ทำให้มิลค์รู้แล้วว่าต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่สูญเปล่า คิดได้แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ ถ้าเพื่อนๆทำได้ซักข้อสองข้อก็ดีมากแล้ว มิลค์เป็นกำลังใจให้สำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่นะคะ ยังไงก็ต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน สำหรับครั้งหน้ามิลค์จะเอาเรื่องอะไรมาฝาก รอติดตามกันด้วยนะ วันนี้ไปแล้วค่ะ บ้ายบาย~  ภาพที่1โดย geralt จาก pixabayภาพที่2โดย geralt จาก pixabayภาพที่3 โดย Silviarita จาก pixabayภาพที่4 โดย Silviarita จาก pixabayภาพปกโดย geralt จาก pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

รีวิว Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)
อ่าน

รีวิว Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)

ออนแอร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ! Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025) หนึ่งในซีรีส์วายดราม่าโรแมนติกปี 2025 ที่น่าจับตามองที่สุด เนื่องจากเป็นการรวมตัวของคู่ขวัญอย่าง ออฟ-กัน และการนำเสนอประเด็นทางสังคมที่เข้ากับยุคสมัย แถมยังได้นักแสดงหนุ่มหล่อสูงมากความสามารถมาเสริมสร้างความซับซ้อนในความสัมพันธุ์ครั้งนี้อย่าง ดิว จิรวรรตน์ บอกเลยว่าแซ่บถึงแก่นแน่นอน! รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!!   เรื่องย่อ Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)   จิระ คือศิลปินหนุ่มที่ต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อเขาถูกไล่ออกอย่างกะทันหัน ทำให้เขาจมดิ่งสู่ สภาวะ Burnout Syndrome หรืออาการหมดไฟในการใช้ชีวิตและการสร้างสรรค์งานศิลปะของตัวเอง เพื่อเยียวยาจิตใจจากความเหนื่อยล้า จิระได้ตัดสินใจไปที่ เบิร์นเอาต์บาร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีกฎเฉพาะตัว ไม่มีใครได้นั่งโต๊ะเดิมและไม่มีใครรู้ว่าจะได้เจอกับใคร ที่นั่นเขาได้พบกับ ภีม หนุ่มหล่อเจ้าเสน่ห์ผู้ทำงานด้านไอที ทั้งคู่ได้พูดคุยกันอย่างถูกคอจนตัดสินใจแลกเบอร์โทรศัพท์เพื่อสานสัมพันธ์ต่อไป ภีมคือคนที่ดูเหมือนจะเป็น "คนในฝัน" ที่จิระต้องการ ในขณะเดียวกัน จิระก็ได้พบกับ ก่อ กรวิก นักธุรกิจเจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ชื่อดัง ก่อมีบุคลิกที่ลึกลับ เก็บตัว และ เกลียดการพบปะผู้คน อย่างมาก ด้วยความที่ไม่ชอบออกหน้าเพื่อเจรจาธุรกิจ ก่อจึงกำลังมองหาใครสักคนที่จะมาเป็นตัวแทนออกหน้าและเป็น "มิสเตอร์เค" (Mr. K) ให้กับเขา และจิระก็คือคนที่ถูกก่อหยิบยื่น "ทุกขลาภ" นี้ให้     นักแสดง  Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)   ก่อ (กรวิก) รับบทโดย ออฟ จุมพล นักธุรกิจสตาร์ตอัปผู้เกลียดการเจอผู้คน มีบุคลิกที่ลึกลับและอาจจะเข้าถึงยาก เป็นคนหยิบยื่นงานใหม่ที่ดูเป็น "ทุกขลาภ" ให้กับจิระ แต่ก็เป็นคนที่ จุดไฟให้จิระกลับมาวาดรูปอีกครั้ง สื่อถึงความซับซ้อนและเร่าร้อนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเย็นชา จิระ รับบทโดย กัน อรรถพันธ์ ศิลปินหนุ่มผู้เผชิญกับสภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) กำลังตกงานและค้นหาตัวตน เป็นคนที่มีความสับสนในความสัมพันธ์ระหว่างก่อและภีม ถูกดึงดูดด้วยแรงแปลกประหลาดจนยอมรับข้อตกลงในการสวมบทบาทเป็น 'มิสเตอร์เค' เพื่อแลกกับการที่ก่อต้องมาเป็นแบบให้เขา     รีวิว Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)   พล็อตมีความน่าสนใจและเป็นสากลมาก เพราะหยิบยกประเด็น "ภาวะหมดไฟ" (Burnout Syndrome) ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่กำลังเผชิญ มาผูกโยงกับความรักและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน นี่ไม่ใช่แค่เรื่องรักทั่วไป แต่มีมิติทางจิตวิทยาและอาชีพเข้ามาเกี่ยวข้อง ปมหลักคือการหาทางออกจากภาวะหมดไฟของจิระ ซึ่งถูกขับเคลื่อนด้วย "ข้อตกลง" ในการเป็นตัวแทน (Mr. K) ให้กับก่อ โดยมีศิลปะเป็นสื่อกลาง การสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของ "ผลประโยชน์" และ "การสวมบทบาท" นี้เป็นกลไกที่น่าติดตาม การมีอยู่ของ ภีม เป็นเหมือนทางเลือกที่ดู "ปลอดภัย" และ "ตรงใจ" ในขณะที่ ก่อ เป็นความสัมพันธ์ที่ท้าทายแต่ "จุดประกาย" ได้มากกว่า ทำให้เกิดเส้นทางรักสามเส้าที่น่าติดตามและเดาทางยาก การดำเนินเรื่อง ด้วยการกำกับของ พี่นุชี่ อนุชา บุญยวรรธนะ (ผู้กำกับ Not Me) การันตีได้เลยว่าการดำเนินเรื่องจะมีความละเอียด ลึกซึ้ง และอาจมีชั้นเชิงในการเล่าเรื่องที่ไม่ตรงไปตรงมา การดำเนินเรื่องเน้นไปที่การค่อยๆ เผย ตัวตนที่แท้จริง ของก่อที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเย็นชา และการค้นหาตัวตนของจิระผ่านการวาดภาพและการสวมบทบาทเป็น Mr. K ซึ่งจะทำให้เห็นพัฒนาการทางอารมณ์ของตัวละครอย่างชัดเจน ความสนุกและความน่าติดตาม เคมีนักแสดง ออฟ-กัน เป็นคู่ที่เคมีเข้ากันอย่างลงตัว และมักจะมอบการแสดงที่มีมิติทางอารมณ์สูง การกลับมาร่วมงานในพล็อตที่เข้มข้นจะดึงดูดแฟนคลับและผู้ชมทั่วไปได้เป็นอย่างดี ความลับและการสวมบทบาทการที่จิระต้องเป็น "มิสเตอร์เค" ทำให้เกิดความตื่นเต้นในเรื่องของการรักษาความลับและสถานการณ์ที่ต้องเอาตัวรอดจากการเป็นคนอื่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เพิ่มความสนุกแบบดราม่า   Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ มีศักยภาพที่จะเป็นซีรีส์ที่ สนุก เข้มข้น และมีชั้นเชิงทางอารมณ์สูง การที่พล็อตใช้ประเด็นทางสังคมร่วมสมัยมาเป็นฉากหลังของความรักสามเส้า ทำให้มีความสดใหม่และน่าติดตามเป็นอย่างมาก   ขอขอบคุณ @GMMTV ภาพปก ภาพที่ 1/2/3/4 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

ชวนดู! ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome (2025) ทาง GMMTV
อ่าน

ชวนดู! ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome (2025) ทาง GMMTV

         ท่ามกลางโลกที่หมุนเร็วเกินกว่าที่หัวใจหลายคนจะตามทัน “ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome” คือซีรีส์ที่เลือกพาเรากลับมาฟังเสียง “ความเหนื่อยล้า” ในตัวเองอย่างอ่อนโยน ผ่านเรื่องราวของคนสามคนที่ต่างสะดุดล้มในชีวิตและกำลังพยายามหาทางลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง ซีรีส์ถ่ายทอดภาวะ “หมดไฟ” ได้อย่างจริงแท้ ทั้งความท้อแท้ ความกลัวการหลงทาง และความหวังเล็ก ๆ ที่ยังไม่ดับไปไหน ด้วยบรรยากาศละมุนเหงา งานภาพที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ และเคมีเข้มข้นของ กัน–ออฟ–ดิว Burnout Syndrome จึงไม่ใช่แค่ซีรีส์รัก แต่คือการเดินทางทางอารมณ์ที่จะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นในตอนท้าย และอาจทำให้เราพบว่า บางครั้งความรักที่มาช้า หนักแน่น และจริงใจ… ก็อาจเป็นไฟดวงใหม่ที่เราตามหามาตลอดก็ได้ วันนี้เราไม่รอช้า จะชวนเพื่อน ๆ มาส่องความน่าดูของซีรีส์เรื่องนี้ใน ‘ชวนดู! ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome (2025) ทาง GMM’ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! 1.) เรื่องรักที่ไม่รีบ ไม่เร่ง แต่ค่อย ๆ เปิดแผลของมนุษย์ที่ “หมดไฟ” อย่างอ่อนโยน       ซีรีส์เรื่อง “ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome” ไม่ใช่ซีรีส์รักที่เดินเรื่องด้วยความหวือหวา แต่มันเล่า “ช่วงชีวิตที่อ่อนแอที่สุดของคนเรา” ด้วยจังหวะนิ่ง ๆ ที่แทงใจแทบทุกตอน เราจะได้เห็นจิระในวันที่รู้สึกไร้ค่า วันที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วไม่สนใจแม้แต่เป้าหมายของตัวเอง จากคนที่เคยใช้ชีวิตด้วยศิลปะกลับกลายเป็นคนที่ไม่รู้จะจับดินสอไปเพื่ออะไร ความรักในเรื่องนี้จึงไม่ได้มาเพื่อทำให้ตัวละครสดใสทันที แต่มาเพื่อค่อย ๆ พาเขาเดินออกจากมุมมืด เหมือนบอกว่าการเยียวยาไม่ได้เกิดในวันเดียว แต่เกิดจากการใช้เวลา อยู่ตรงนั้น และกล้าส่องดูความเจ็บของตัวเอง [Official Trailer] Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ https://m.youtube.com/watch?v=iqtE21HQ-KU 2.) แรงดึงดูดทางอารมณ์ของ กัน–ดิว–ออฟ ที่เกิดจาก “ความต่างที่เติมเต็มกัน”          และในซีรีส์เรื่องนี้ก็มีสามตัวละครหลักเป็นเหมือนสามเส้นกราฟอารมณ์ที่ตัดกันพอดีอย่างน่าแปลกใจ กันในบทจิระคือความเปราะบางที่โหยหาความเข้าใจ , ดิวในบทภีมคือความอบอุ่นที่เข้ามาค่อย ๆ พยุงหัวใจ ส่วนออฟในบทก่อคือความลึกลับที่ทำให้คนดูอยากรู้ว่าเขาซ่อนอะไรไว้ข้างใน โดยเวลาอยู่ด้วยกัน เคมีของทั้งสามไม่ได้แค่จิ้น แต่มี น้ำหนักทางอารมณ์ ที่ชัดมาก บางฉากแค่จ้องตากันก็เหมือนมีบทสนทนาที่ยาวกว่าคำพูดจริง ๆ ความร้อน ความนิ่งความอบอุ่น ของทั้งสามคนสร้างแรงสั่นสะเทือนทางใจที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าความสัมพันธ์นี้มันซับซ้อนเกินจะมองเป็นแค่รักสามเส้า 3.) ตัวละครมีเลือดเนื้อ ไม่ขาว ไม่ดำ แต่มีเหตุผลที่ทำให้เรายิ่งเฝ้ามอง       สิ่งที่โดดเด่นในเรื่องคือ “ตัวละครสมจริงแบบจุก ๆ” ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทุกคนต่างมีรอยบุบของตัวเอง จิระมีปมความรู้สึกด้อยค่า ภีมมีความกลัวบางอย่างที่ไม่เคยเผยออกมา ส่วนก่อมีแผลใจที่ทำให้เขาสร้างกำแพงสูงจนใครก็เข้าไม่ถึง เรื่องค่อย ๆ โยนชิ้นส่วนของอดีตทีละน้อยให้คนดูเก็บไปประกอบภาพใหญ่ แล้วเราจะค้นพบว่าไม่มีใครผิดทั้งหมด และไม่มีใครถูกทั้งหมด ทุกการกระทำล้วนเป็นผลมาจากบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึกใต้ผิวน้ำ นี่แหละที่ทำให้ตัวละครดู “มีชีวิต” และน่าติดตามมาก 4.) งานภาพและบรรยากาศที่พาเราเข้าไปสัมผัสความรู้สึกของตัวละครอย่างละเมียด        ซีรีส์เรื่อง ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome ได้เล่าเรื่องผ่านแสง สี และเงาไม่แพ้บทพูด สถานที่อย่าง Burnout Bar ถูกทำให้กลายเป็นพื้นที่ที่เหมือนอยู่ระหว่างความจริงกับความฝัน อบอุ่นแต่ก็เหงา สวยงามแต่ก็ว่างเปล่า เหมือนสถานที่ที่คนหลงทางมานั่งพักหายใจ ฉากศิลปะ ฉากเปียโน ฉากมุมสงบ ๆ ในห้องทำงานของก่อ ล้วนถูกจัดองค์ประกอบให้สะท้อนภาวะในใจของตัวละคร เวลาใครสักคนกำลังรู้สึกโดดเดี่ยว แสงก็จะถูกลดจนเหลือแค่เงา ส่วนฉากที่ตัวละครเริ่มค้นพบความหวัง ภาพก็สว่างขึ้นอย่างแทบไม่ต้องมีคำบรรยาย บรรยากาศทั้งเรื่องจึงกลายเป็น “ประสบการณ์ทางอารมณ์” มากกว่าแค่ภาพสวย ๆ 5.) เป็นซีรีส์ที่ทำให้คนดูย้อนถามหัวใจตัวเอง โดยไม่ต้องใช้คำสอนใด ๆ เมื่อดูไปเราจะเริ่มถามตัวเองว่า เรากำลังใช้ชีวิตแบบมีไฟจริง ๆ หรือแค่พยายามไม่ให้ไฟดับ? เรารักใครเพราะเขาเติมเต็มเรา หรือเพราะเขาคือคนที่เราเห็นคุณค่าจริง ๆ? และที่สำคัญ… เราเคยให้ความรักกับตัวเองแบบที่ควรได้หรือยัง?        ซีรีส์ไม่ได้ให้คำตอบสำเร็จรูป แต่ให้ “ความรู้สึก” ที่จะค่อย ๆ ตกผลึกหลังดูจบ เหมือนบทเรียนอ่อนโยนที่บอกว่า การเหนื่อย ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ แค่ต้องการพื้นที่ให้ตัวเองหายใจ และบางครั้งคนที่เข้ามาในชีวิตเรา ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน คนรัก หรือแรงบันดาลใจ ก็มีหน้าที่แค่พาเราเดินออกจากจุดที่เรามองไม่เห็นแสงเท่านั้น บอกเลยว่าเป็นหนึ่งซีรีส์ที่นอกจากสนุกแล้วยังสะท้อนหลากหลายเรื่องราวมากจริง ๆ !✨⭐️ จบลงไปแล้วนะคะสำหรับ ชวนดู! ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome (2025) ทาง GMM โดยในซีรีส์เรื่อง “ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome” เริ่ม 26 พฤศจิกายนนี้ ทุกวันพุธ เวลา 20:30 u. ทางช่องG-194-25 และดูออนไลน์ เวลา 21:30 u. บน iQIYI  #BurnoutSyndromeSeries เครดิตภาพหน้าปกโดย GMMTV ภาพหน้าปก เครดิตภาพประกอบบทความโดย GMMTV ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4 เครดิตวิดีโอประกอบบทความโดย GMMTV OFFICIAL [Official Trailer] Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

รู้จัก 6 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)
อ่าน

รู้จัก 6 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)

          เมื่อซีรีส์ “Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ” จาก GMMTV เปิดตัว ก็กลายเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่ได้รับความสนใจทันที ทั้งจากพล็อตที่พูดถึง “ภาวะหมดไฟทางใจ” แบบผู้ใหญ่ และจากไลน์อัปนักแสดงที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ เพราะครั้งนี้ขนทัพนักแสดงคุณภาพทั้งหน้าเก่า–หน้าใหม่ มารวมตัวกันถึง 6 คน แต่ละคนมีเสน่ห์เฉพาะตัว และรับบทที่มีมิติแตกต่างกันไป ตั้งแต่ศิลปินที่กำลังหมดไฟ หนุ่มไอทีอบอุ่น ไปจนถึงนักธุรกิจลึกลับที่มีแผลในใจ บทความนี้จะพาไปรู้จักทั้ง ตัวนักแสดง และ คาแรกเตอร์ที่พวกเขารับบท ว่าแต่ละคนมีจุดเด่นอะไร ถ่ายทอดบทบาทแบบไหน และทำไมการรวมทีมครั้งนี้จึงทำให้ซีรีส์เรื่องนี้น่าจับตามองยิ่งกว่าเดิม พร้อมแล้วไปทำความรู้จักทั้ง 6 คนกันเลย! 🌟 รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! 1.) ออฟ จุมพล อดุลกิตติพร  ออฟ จุมพล รับบทเป็น “ก่อ” เขาเป็นนักธุรกิจหนุ่มเจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ มีโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บตัวและไม่ชอบเข้าสังคม เขาเป็นคนจริงจังและมีความมุ่งมั่น แต่ลึก ๆ มีด้านอบอุ่นและอ่อนไหว การพบกับจิระทำให้เขาเปิดใจมากขึ้น และค่อย ๆ แสดงด้านที่เป็นมนุษย์และเปราะบางออกมา ช่องทางการติดตาม IG : @tumcial 2.) กัน อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์ กัน อรรถพันธ์ รับบทเป็น “จิระ” เขาเป็นชายหนุ่มวัยทำงานที่เพิ่งถูกไล่ออกจากงานและต้องเผชิญกับภาวะหมดไฟทั้งด้านอารมณ์และชีวิตประจำวัน เขาเป็นคนใจดี มีความเป็นศิลปินและชอบวาดรูป แต่ช่วงนี้เขารู้สึกว่าตัวเองไร้จุดหมาย ช่วงแรกจะดูสับสนและไม่มั่นใจ แต่ค่อย ๆ เริ่มฟื้นฟูตัวเองผ่านความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ช่องทางการติดตาม IG : @gun_atthaphan 3.) ดิว จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์ ดิว จิรวรรตน์ รับบทเป็น “ภีม” เป็นหนุ่มสาย IT ที่อบอุ่นและใจดี เขาเป็นเพื่อนที่เข้าใจความรู้สึกของคนหมดไฟ สามารถให้กำลังใจและรับฟังปัญหาของจิระได้อย่างเต็มใจ ภีมเป็นคนที่ค่อนข้างสงบ ไม่ชอบความวุ่นวาย จึงเป็นเสมือน “ที่พักใจ” ของจิระ ช่องทางการติดตาม IG : @dew_jsu 4.) เอมี่ ทสร กลิ่นเนียม เอมี่ ทสร รับบทเป็น “อิง” เป็นเพื่อนสนิทของจิระ ทำงานเป็น Casting Director เธอมีความร่าเริงและเข้ากับคนง่าย เป็นตัวช่วยให้จิระเปิดใจและปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ ๆ เธอคอยสนับสนุนและให้คำปรึกษา ทั้งด้านชีวิตส่วนตัวและความรัก และยังเป็นสายซัพพอร์ตที่หนึ่ง!  ช่องทางการติดตาม IG : @emiamily 5.) เอเจ ชยพล จุฑามาศ เอเจ ชยพล รับบทเป็น “มาวิน” เขาเป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของจิระ เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและบางครั้งก็ชัดเจนเกินไป แต่เขามีจิตใจดี และคอยเตือนสติจิระไม่ให้หลงทางไปในความสัมพันธ์หรือชีวิตที่ไร้เป้าหมาย ซึ่งเขาเป็นสายไอทีที่ตกงานเพราะ AI ช่องทางการติดตาม IG : @aj__chayapol 6.) โต๋ ทินพันธ์ ตันตุ้ย โต๋ ทินพันธ์ รับบทเป็น “เบน” เขาเป็นหนุ่มสุดลึกลับ เจ้าของ Burnout Bar ที่รับหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์คอยแนะนำเครื่องดื่มให้คนหมดไฟ ต่อหน้าลูกค้าเขาเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง และคอยสร้างสีสัน ช่องทางการติดตาม IG : @thor.thinnaphan จบลงไปแล้วนะคะสำหรับ รู้จัก 6 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025) โดยในซีรีส์เรื่อง“Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ” ❤️‍🔥 จะออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 20:30 น. ทางช่อง GMM25 และดูออนไลน์ เวลา 21:30 น. บน iQIYI ที่เดียวเท่านั้น!  เครดิตภาพหน้าปก @BurnoutSeriesTH ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6 เครดิตภาพประกอบบทความ GMMTV ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6  จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

วาร์ป 4 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ GMMTV
อ่าน

วาร์ป 4 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ GMMTV

เปิดวาร์ป 4 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ ซีรีส์ไทยโรแมนติกกดราม่าที่นำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ซับซ้อนท่ามกลางภาวะหมดไฟในการใช้ชีวิตและศิลปะ โดยได้ 3 นักแสดงนำมากความสามารถมาถ่ายทอดบทบาทที่ท้าทายหัวใจผู้ชม ออฟ จุมพล (ก่อ) นักธุรกิจลึกลับผู้จุดประกายไฟรัก กัน อรรถพันธ์ (จิระ) ศิลปินผู้แบกรับภาวะ Burnout Syndrome ดิว จิรวรรตน์ (ภีม) หนุ่มในฝันที่เข้ามาเติมเต็มท่ามกลางความสับสน ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังชีวิตส่วนตัวและประวัติการศึกษาของพวกเขา มารู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของห้านักแสดงทั้งหมดผู้รับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราวความรักและความสับสนครั้งนี้กัน! รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! 1. ออฟ จุมพล   ก่อ (กรวิก) รับบทโดย ออฟ จุมพล นักธุรกิจสตาร์ตอัปผู้เกลียดการเจอผู้คน มีบุคลิกที่ลึกลับและอาจจะเข้าถึงยาก เป็นคนหยิบยื่นงานใหม่ที่ดูเป็น "ทุกขลาภ" ให้กับจิระ แต่ก็เป็นคนที่ จุดไฟให้จิระกลับมาวาดรูปอีกครั้ง สื่อถึงความซับซ้อนและเร่าร้อนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเย็นชา     2. กัน อรรถพันธ์   จิระ รับบทโดย กัน อรรถพันธ์ ศิลปินหนุ่มผู้เผชิญกับสภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) กำลังตกงานและค้นหาตัวตน เป็นคนที่มีความสับสนในความสัมพันธ์ระหว่างก่อและภีม ถูกดึงดูดด้วยแรงแปลกประหลาดจนยอมรับข้อตกลงในการสวมบทบาทเป็น 'มิสเตอร์เค' เพื่อแลกกับการที่ก่อต้องมาเป็นแบบให้เขา     3. ดิว จิรวรรตน์   ภีม รับบทโดย ดิว จิรวรรตน์ หนุ่มหล่อสายไอทีที่จิระมองว่า "ตรงใจเขาทุกอย่าง" เป็นเหมือน คนในฝัน ที่ปรากฏตัวท่ามกลางความสับสนของจิระ บทบาทของเขามีส่วนสำคัญในการแนะนำให้จิระได้เจอกับก่อ     4. เอมี่ ทสร       อิง รับบทโดย เอมี่ เพื่อสนิทสุดซี้กับ จิระ เธอเป็นฟรีแลนซ์ที่มีไลฟ์สไตล์ นิสัยชิลล์ๆ เหมือนกันกับเขา เป็นคนที่เขาคอยขอคำปรึกษา และ บอกเล่าเรื่องราวในแต่ละวันของตัวเองให้ฟังอย่างหมดใจ     ขอขอบคุณ @GMMTV ภาพปก 1/2/3/4 ภาพที่ 1/2/3/4 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

เมื่อเราเจอสภาวะหมดไฟในการทำงานหรือ Burnout syndrome
อ่าน

เมื่อเราเจอสภาวะหมดไฟในการทำงานหรือ Burnout syndrome

บางครั้งการที่เราทำงานหนักเกินไปจนรู้สึกเบื่อ หรือล้ากับงานที่ทำจนไม่มีกะจิตกะใจจะตื่นเช้ามาทำงานจนเกิดเป็นอาการป่วยทางจิตขึ้นมา แล้วแบบไหนที่เรียกว่าป่วยทางจิตและแบบไหนที่เรียกว่าปกติล่ะ... ถ้าเราเบื่องานเป็นชั่วครั้งเชื่อคราว หรือเบื่อบ้างไม่เบื่อบ้าง เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่ถ้าเราเริ่มหูแว่ว คิดวนๆแต่เรื่องงาน หดกะจิตกะใจ และไม่อยากใช้ช้ชีวิตอยู่ จนเกิดเป็นสภาวะหมดไฟในการทำงาน จนเกิดผลลัพท์เป็นโรคซึมเศร้า วิตกกังวล สภาวะนี้เกิดขึ้นได้เมื่อเราหมดไฟที่จะทำงานแล้วไม่ว่าบรรยากาศหรือเนื้องานจะเป็นยังไง ง่ายดายแค่ไหน เพื่อนร่วมงานดีด้วยยังไง เขาก็จะรู้สึกเบื่อไปหมด ไม่อยากทำ หมดอารมณ์ ไม่มีกะจตกะใจจะทำงานอีก ซึ่งเรื่องครอบครัวหรือความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอาจไม่เกี่ยวกับสภาวะนี้ เพราะเมื่อเราทะเลาะกับคนที่บ้าน เราก็รู้ว่าต้องออกห่าง เดินหนี หลีกเหลี่ยงการทะเลาะ หรือทำยังไงให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่เหตุการณ์นี้กลับไม่ใช่ บางทีมันอาจเกิดจากแค่ อารมณ์ ไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานเฉยๆก็ได้ซึ่งพอเราตื่นมาแล้ว ไม่อยากไปทำงาน ต่อให้เอางานกลับมาทำที่บ้านก็ไม่อยากทำมัน ไม่อยากไปยุ่งกับมันอีกแล้ว มองว่างานคือภาระ คุณรู้สึกแย่กับตัวเอง และไม่รู้วิธีที่จะแก้ไขมันยังไงดี ทั้งๆที่ไม่มีปัญหาสุขภาพกาย ไม่มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่างทีเราต้องรู้ก่อนก็คือวิธีจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ถ้าคุณมองว่างานคือภาระ มันก็จะเป็นแค่ภาระ คุณลองมองว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างคุณค่าให้ชีวิตและความรู้สึกของคุณมั้ย พยายามอย่าคิดถึงปัญหาหรืออารมณ์ที่เป็นแง่ลบ และเราก็ต้องดูด้วยว่าความเบื่องานนี้ส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิตส่วนตัวของเราหรือเปล่า ลูกไม่ได้เรียนต่อ เราไม่มีเงินกินข้าว พ่อแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าใช้  แล้วเราสามารถควบคุมได้หรือเปล่าถ้าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดกับชีวิตเรา คือเราใช้เงินที่เหลืออยู่จนหมดตัวและไม่เหลืออะไรเลย แม้ขายของเก่ากินก็ไม่เหลืออะไรแล้วถ้ามันอยู่ในอารมณ์ที่เรายังอดทนได้เราก็ทนๆไป แต่ถ้าอยู่ในสภาวะอารมณ์เกินขอบเขตที่ควบคุมไม่ได้แล้ว แต่ลาออกไม่ได้ ถ้าอยู่กับมันช่วงสั้นๆก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่กับมันะยะยาวนาน ก้ต้องกำหนดเป้าหมาย ว่าเราจะทำงานให้เสร็จภายใน 7 วันนี้ แล้วพักผ่อนต่อ เพราะคงไม่มีใครในชีวิตที่ทำแต่งานได้ และไม่มีใครในชีวิตที่พักผ่อนไปได้ตลอด เมื่อเราพักผ่อน ใช้ชีวิตส่วนตัวกับเรื่องที่เราชอบ เราก็คงอยากจะกลับไปทำงานอีกลองเปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานและเมื่อทำงานถึงเป้าหมายก็มีการให้รางวัลตัวเอบ้าง เช่น หาเงินพาตัวเองไปเที่ยวในที่ๆไม่เคยไป กินอาหารที่ไม่เคยกิน อ่านหนังสือที่อยากจะอ่านมานาน หรืออยู่บ้านกอดแมวดูหนังที่ชอบ ทำสิ่งต่างๆ แล้วความเครียดก็อาจจะผ่อนลงหรือหายตัวไป หรือไม่ก็ออกไปหาเพื่อนที่ไว้ใจได้ พยายามปลอบใจตัวเองว่าในช่วงที่อารมณ์ดิ่งถึงขั้นดาวน์ที่สุดก็ยังมีอะไรดีๆอยู่รอบๆตัว  ถ้าเราเชื่อมั่นในตัวเอง เราจะผ่านมันไปได้แน่นอนค่ะขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปกรูปภาพประกอบที่ 1 โดย / 2 / 3 โดย www_slon_pics

หนียังไง!! ภาวะหมดไฟในวัยรุ่น (Burnout Syndrome)
อ่าน

หนียังไง!! ภาวะหมดไฟในวัยรุ่น (Burnout Syndrome)

               ภาวะหมดไฟในวัยรุ่นไม่ใช่เรื่องตลก (Burnout Syndrome) คุณผู้อ่านเคยเป็นอาการนี้ หรือมีคนรอบข้างเป็นบ้างหรือเปล่าคะ? งั้นเรามาทำความเข้าใจ และเช็คอาการไปพร้อม ๆ กันในบทความนี้เลยค่า ที่ผู้เขียนหายไปนานเพราะว่าถูกอาการนี้เข้าแทรกแซงเต็มที่ แล้วใช้เวลาศึกษาเรื่องนี้มาสักระยะหนึ่งแล้วค่ะ กว่าจะลุกขึ้นมาเขียนเล่าประสบการณ์ที่เป็นของตัวเองนี้ ต้องใช้ความพยามมากค่ะ แถมแอบผลัดวันเขียนไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีเป้าหมายและสาเหตุ คิดดูจริง ๆ แล้วนี่ไม่ใช่ความขี้เกียจนะคะ แต่เพราะสิ่งดังต่อไปนี้ต่างหากค่ะ1. ความน่าเบื่อของงาน สำหรับหลายท่านที่เป็นอาการนี้ มักจะมีเหตุผลส่วนตัวเสมอแตกต่างกันไป ในกรณีของผู้เขียนที่ชอบความท้าทายในชีวิตมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อย เมื่อต้องไปเจอกับงานที่มีสถานการณ์ซ้ำจำเจ ไร้ความตื่นเต้น ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่ องค์กรไร้ความชัดเจนด้านนโยบายบริหาร ตนเองเลยมองไม่เห็นการพัฒนาทักษะ ฝีมือและสังคม (อาการก็เหมือนกับหมดใจคนรัก ไปต่อด้วยกันไม่ได้แล้ว แต่ยังต้องฝืนทนอยู่ หึ้ยความรักมันต้องรู้สึกดีสิ งานก็เช่นกัน จนวันหนึ่งพยายามบอกให้ตัวเองมีความสุขไม่ได้แล้ว) 2. บุคลิกภาพส่วนตัวของแต่ละบุคคล กลุ่มที่สุ่มเสี่ยงที่สุดเลย คือ ผู้ที่มีมาตรฐานการทำงานสูง (Perfectionism) ขาดความยืดหยุ่น แน่นอนพวกเขาต้องจริงจัง มีระเบียบ ผลงานต้องดีจนมีความคาดหวังจากคนรอบข้างสูง โดยเพื่อนร่วมงาน ครอบครัวและคนรู้จัก เอาไปเลยฉายาคุณชายคุณนายเนี๊ยบ ที่เต็มที่กับทุกสถานการณ์ (ใส่ใจให้ใจมอบใจร้อยเต็มร้อย พลังเต็มเปี่ยมสุด ๆ ระวังสะดุดล้มเพราะจริง ๆ ไม่ใช่ทุกที่จะต้องการความใส่ใจ แล้วเราก็คิดว่ามันควรมีนะคะ) 3. เจ้านายเย็นชากับปู่ย่าตายายที่ไม่ฟังความ ผู้อาวุโสไม่รับฟังความคิดเห็น เกิดความขัดแย้งกับค่านิยมระหว่างช่วงวัย ได้ทั้งในที่ทำงานและครอบครัว หรือขนาดวัยเดียวกันเติบโตมากันคนละสังคม จูนแนวคิดกันไม่ติด กรณีตัวอย่างที่พบมา คือ เด็กรุ่นใหม่ในเมืองสนใจผลงานของผู้ใหญ่ ว่าเจ๋งกับสังคมมากแค่ไหนถึงจะให้ความเคารพ แต่เด็กในชนบทจะมองเพียงอายุที่เยอะกว่า ไม่กล้าตัดสินใจ และชอบไหว้วานผู้ใหญ่ (ก็ไม่ได้ตัดสินเหมารวมทั้งหมดนะคะ แค่บางส่วนที่เจอมาค่ะ)ปีก่อนเห็นกรมสุขภาพจิตเผยแพร่ข้อมูลงานวิจัยของ CMMU หัวข้อ BURNOUT IN THE CITY ชาวกรุงวัยทำงานเกินครึ่งเสี่ยงหมดไฟ ผู้เขียนมาสรุปให้สั้น ๆ เพิ่มว่า 1. ผู้หญิงเป็นเยอะกว่าผู้ชาย 2. กลุ่ม Gen Z มีอาการนี้สูงสุด ส่วนน้อยที่สุดจะเป็น Baby boomer 3. สายงานรัฐวิสาหกิจมีอาการเยอะสุด น้อยสุด คือ งานธุรกิจส่วนตัวค่ะ1. ทางด้านอารมณ์ รู้สึกเบื่อเซ็ง ขาดแรงจูงใจ เฉื่อยชา เครียดหดหู่ หรือเรียกอีกอย่างได้ว่าหมด Passion หากอาการรุนแรงขึ้น จะทำให้มีความผิดปกติทางอารมณ์ ในลักษณะหงุดหงิดง่าย 2. ทางด้านร่างกาย ปวดหัว ปวดหลัง ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง เพลียง่ายร่างกายอ่อนล้า3. ทางด้านพฤติกรรม แยกตัวออกจากสังคม หลบหน้าเลี่ยงการพบปะผู้คน นอนเยอะขึ้นแบบไม่เป็นเวลา ติดแอลกอฮอล์ อาการรุนแรง ไปจนถึงพูดจาไม่ได้โดยไร้สติ เอาเป็นว่าหลายท่านที่สงสัยว่าตัวเองมีอาการภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) ไม่ต้องเข้าข่ายตามนี้ 100 % หรอกค่ะ ลองสำรวจตัวเองทบทวนจิตใจดู ว่ามีลักษณะใกล้เคียง 60 % ขึ้นไป ก็ต้องรีบรักษาแล้วนะคะ หรือหลีกเลี่ยงจากอาการนี้โดยวิธีเหล่านี้ค่าลาพักผ่อน เพื่อไปทำกิจกรรมยามว่างที่ชอบ เช่น ดูภาพยนตร์หรือซีรีส์สักเรื่อง ที่ให้แรงบันดาลใจกับชีวิต เมาท์กับเพื่อนให้สนุก สำหรับผู้เขียนแอบแบกกระเป๋าไปเที่ยวมา การผจญภัยก็ช่วยให้หัวใจกระชุ่มกระชวยขึ้นเยอะเลย เลี่ยงการใช้โซเชียลมีเดีย ถอดปลั๊กตัวเองออกจาก Facebook, Instagram, Tiktok ดูนะคะจะได้ไม่ผ่านไม่เจอข้อมูลที่ไม่สร้างสรรค์ และพลังลบ พอวางโทรศัพท์มือถือยาว ๆ ก็รู้สึกว่าเรามีเวลายาวนานขึ้นให้ตัวเองเยอะมากในหนึ่งวันหาอาหารอร่อยกิน อาหารจานโปรดที่ทำให้ใจพองฟู หรือบุฟเฟ่ต์จะเยียวยาทุกสิ่ง นี่มีหลายระดับหลายราคาหลากสัญชาติอาหาร เลือกที่สะดวกและพอใจกันไปค่าพึ่งศาสนา หากพึ่งพาตัวเองสุด ๆ แล้วยังไม่หายดี เห็นทีต้องเข้าวัด เข้าโบสถ์ เข้าสุเหล่า เข้าสำนัก เอาสักที่ตามความศรัทธา สวดมนต์ให้จิตใจผ่องใส สร้างความสบายใจในพื้นที่สงบ ช่วยเยียวยาจิตใจตนเองที่ตัวเราทำร้ายมานานสุดท้ายแล้วต้องปรับทัศนคติให้ดี ว่าความเครียดระดับหนึ่ง (ที่เรียกว่าเล็กน้อย) ก็เป็นสิ่งดีที่ทำให้เราโฟกัสงานมากขึ้น สิ่งนี้ก็เร่งให้งานเสร็จได้ดีเลยแหละค่า ขอให้ภาวะหมดไฟอย่ามาเยือนท่านอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการสนทนากับคนที่มีพลังงานลบ ไม่ถึงกับต้องทำทุกสิ่งที่แนะนำนะคะ เลือกเอาที่สะดวกกายสะดวกใจ จะดีต่อตนเองมากเลยค่ะ ขอบอกเลยว่าคุณโชคดีมากค่ะที่พบกับบทความนี้ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ เพราะผู้เขียนจะมาแชร์ความรู้ด้านสุขภาพจิตในสังคมไทย แบบเข้าใจง่ายกันอีกครั้งค่าผู้เขียน https://creators.trueid.net/@MoonaKข้อมูลงานวิจัยของ CMMU หัวข้อ BURNOUT IN THE CITY ชาวกรุงวัยทำงานเกินครึ่งเสี่ยงหมดไฟhttps://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=3017 เครดิตภาพ :ภาพปก pixabay / canvaภาพที่ 1 pixabay / canvaภาพที่ 2 pexels / canvaภาพที่ 3 pixabay / canvaเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

เปิดวาร์ป 3 นักแสดง ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome (2025)
อ่าน

เปิดวาร์ป 3 นักแสดง ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome (2025)

         ต้องขออวยเลยว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่พล็อตน่าดูแห่งปีเลยละค่ะ สำหรับ “ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome” แต่ไม่ได้โดดเด่นแค่เรื่องราวที่พูดถึงภาวะหมดไฟอย่างลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความรู้สึกผ่านการแสดงของสามนักแสดงนำ ที่แต่ละคนนั้น ต่างก็พกเสน่ห์และเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองเข้ามาเติมเต็มโลกของเรื่องอย่างลงตัว ทั้งความอ่อนไหว ความอบอุ่น และความลึกลับนิ่งลึก ทุกอย่างถูกร้อยเรียงจนกลายเป็นอารมณ์อันงดงามที่ดึงคนดูให้ผูกพันกับตัวละครตั้งแต่แรกพบ บทความนี้จึงจะพาไป “เปิดวาร์ป” และทำความรู้จักทั้งสามคนให้มากขึ้น พร้อมแล้วก็ลุยค่า! รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! 1.) ออฟ จุมพล          “ออฟ จุมพล อดุลกิตติพร” เกิดเมื่อ 20 มกราคม 2534 เป็นคนที่ทั้งมีเสน่ห์และมีพลังเวลาอยู่หน้ากล้อง เขาเรียนด้านการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ช่วยให้เขาเข้าใจงานสื่อและการแสดงอย่างลึกซึ้งขึ้น โดยหนุ่มออฟเข้าสู่เส้นทางบันเทิงจากการทำงานเป็นพิธีกรและนักแสดงในโปรเจกต์ของ GMMTV ด้วยบุคลิกที่เป็นธรรมชาติ น่าเอ็นดู แต่ก็ปรับเป็นโหมดจริงจังได้ดี ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงแถวหน้าอย่างรวดเร็ว เขาโดดเด่นในบทบาทซีรีส์หลายเรื่องก่อนจะมารับบทสำคัญใน Burnout Syndrome https://www.instagram.com/p/DQy8odcEuv7/?igsh=ZHVzemhqMmExaXY1 ออฟ จุมพล รับบทเป็น “ก่อ” เป็นเหมือนอีกขั้วหนึ่งของชีวิตจิระ เงียบ ลึกลับ และเต็มไปด้วยเรื่องที่อ่านไม่ออก เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่งแต่เก็บตัว ไม่ชอบพบปะผู้คน และมีผนังสูงรอบตัวที่ใครก็ยากจะก้าวข้าม ก่อเป็นคนที่พูดน้อย แต่สิ่งที่เขาไม่พูดกลับดังยิ่งกว่า เขามีบาดแผลบางอย่างในชีวิตที่ทำให้เลือกซ่อนตัวเองไว้ในโลกที่ปลอดภัย ถึงอย่างนั้น… จิระกลับเห็นแสงบางอย่างในตัวก่อ แสงที่สงบนิ่งแต่ทรงพลัง แสงที่ทำให้เขาอยากวาดรูปขึ้นมาอีกครั้ง ก่อไม่ได้เป็นแค่แรงบันดาลใจทางศิลปะ แต่ยังกลายเป็นใครสักคนที่ทำให้จิระตั้งคำถามว่า ความรักที่จุดไฟให้หัวใจตัวเองได้ อาจไม่จำเป็นต้องอบอุ่นเสมอไป บางครั้งมันอาจมาจากคนที่เย็นชาแต่จริงใจที่สุด ช่องทางการติดตามออฟ จุมพล Instagram : @tumcial X : @off_tumcial 2.) กัน อรรถพันธ์          “กัน อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์” เกิดเมื่อ 4 ตุลาคม 2536 เป็นหนุ่มหล่อไซซ์มินิที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว ตั้งแต่เด็กเขาสนใจงานศิลปะ จึงเรียนสายทัศนศิลป์ในช่วงมัธยมที่ โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร ก่อนจะไปศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง สาขารัฐศาสตร์ เส้นทางสู่วงการของกันเริ่มจากงานแสดงเล็ก ๆ และค่อย ๆ เติบโตขึ้นด้วยบุคลิกที่โดดเด่นและพลังการแสดงที่เป็นธรรมชาติ เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงของ GMMTV ที่มีแฟนคลับเหนียวแน่น จากความสามารถและภาพลักษณ์ที่ชัดเจนในแบบของตัวเอง https://www.instagram.com/p/DGCmVMTTseW/?igsh=ODZlM3MwZzI2ZXNn กัน อรรถพันธ์ รับบทเป็น “จิระ” เขาคือศิลปินหนุ่มที่หัวใจอ่อนล้า เขาเหมือนคนที่เคยมีแสงอยู่เต็มตัว แต่วันหนึ่งไฟในชีวิตก็ดับลงอย่างเงียบงันหลังถูกไล่ออกจากงาน ความฝันที่เคยชัดเจนกลายเป็นภาพเบลอ ๆ และเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะก้าวไปทางไหนต่อ จิระเป็นคนอ่อนไหว อ่อนโยน เชื่อในความหมายของศิลปะและความรัก แต่ในจังหวะที่อ่อนแอที่สุด เขากลับพบว่าตัวเองหลงทางจนแทบไม่เหลือแรงจะยืน เมื่อได้พบทั้ง ภีม และ ก่อ จิระจึงเริ่มตั้งคำถามกับหัวใจตัวเอง ว่าความรักแบบไหนที่ช่วยจุดไฟในตัวเขาอีกครั้ง และใครคือคนที่ทำให้เขา “รู้สึกมีตัวตน” ในวันที่เขาแทบไม่เห็นคุณค่าตัวเอง ช่องทางการติดตามกัน อรรถพันธ์ Instagram : @gun_atthaphan X : @AtthaphanP 3.) ดิว จิรวรรตน์            “ดิว จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์” เกิดเมื่อ 30 ตุลาคม 2543 เขาเติบโตมากับความสนใจด้านศิลปะและการออกแบบก่อนจะเข้าศึกษาในสาขา Interactive Design and Multimedia ที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หนุ่มดิวเริ่มต้นในวงการในฐานะ นายแบบแฟชั่น ซึ่งทำให้เขาเป็นที่จับตามอง ด้วยโครงหน้าเฉพาะตัวและคาแรคเตอร์ที่เข้ากล้องอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้น GMMTV ก็ชวนเขามาแสดงอย่างจริงจัง โดยบท “เร็น” ใน F4 Thailand ทำให้ชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วเอเชีย และเปิดทางให้เขามีผลงานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน! https://www.instagram.com/p/DLrIU7zTSeg/?igsh=MWVlcDV4eHpwNDB1 ดิว จิรวรรตน์ รับบทเป็น “ภีม” เขาคือผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตจิระด้วยความอบอุ่นแบบคนที่พร้อมจะรับฟัง เขาเป็นหนุ่มไอทีที่คุยง่าย ฉลาด และมีความอบอุ่นที่ไม่ประดิษฐ์ ภีมดูเหมือนคนที่พร้อมจะเป็นที่พักใจให้ใครสักคน เขาเข้าใจความเหนื่อยล้าของจิระในแบบที่ไม่ต้องพูดมาก แค่การอยู่ด้วยกันก็ทำให้โลกดูเบาขึ้น เขาไม่ใช่คนหวือหวา แต่เป็นคนที่มองจิระอย่างเข้าใจ เหมือนบอกเงียบ ๆ ว่า “นายไม่ต้องเข้มแข็งคนเดียวก็ได้” แต่ความสัมพันธ์กับจิระกลับไม่ง่าย เพราะระหว่างเขากับจิระมีบางอย่างที่ยังไม่ปิดสนิทดีพอ เช่นความกลัว การคาดหวังและการระวังตัวไม่ให้เจ็บอีกครั้ง ช่องทางการติดตามดิว จิรวรรตน์ Instagram : @dew_jsu X : @dew_jsu จบลงไปแล้วน้าสำหรับ เปิดวาร์ป 3 นักแสดง ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome (2025) ทาง GMM โดยในซีรีส์เรื่อง “ภาวะรักคนหมดไฟ Burnout Syndrome” เริ่ม 26 พฤศจิกายนนี้ ทุกวันพุธ เวลา 20:30 u. ทางช่องG-194-25 และดูออนไลน์ เวลา 21:30 u. บน iQIYI #BurnoutSyndromeSeries เครดิตภาพหน้าปกโดย GMMTV ภาพหน้าปก1 / ภาพหน้าปก2 / ภาพหน้าปก3 / ภาพหน้าปก4 / ภาพหน้าปก5  เครดิตภาพประกอบบทความโดย @tumcial : ภาพที่1  GMMTV : ภาพที่2 / ภาพที่4 / ภาพที่6  @gun_atthaphan : ภาพที่3  @dew_jsu : ภาพที่5  จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

Burnout Syndrome สัญญาณอันตราย ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด
อ่าน

Burnout Syndrome สัญญาณอันตราย ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

            ในปัจจุบันคนเริ่มหัดมาใส่ใจสุขภาพร่างกายกันมากขึ้น และสุขภาพจิตของคนกลับแย่ลงเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสังเกตได้จาก การเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคไบโพลาร์เพิ่มขึ้น  อันเนื่องมากจากความเครียด ปัญหาทางเศรษฐกิจ และสังคมที่ทำให้คนเกิดการแข่งขันกันตลอดเวลา การทำงานที่นับว่ันจะหาความสุขได้น้อยลง แต่ที่แย่กว่านั้นอาจจะเป็นสังคมการทำงาน ดังนั้นจะมองว่าเรื่องของสุขภาพจิตเป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้ การทำงานนั้นมีผลกระทบต่อชีวิตมากกว่าที่คุณคิด ถ้าเกิดภาวะ Burnout Syndrome ขึ้นเราจะมีวิธีในการจัดการและรับมือกับมันอย่างไร Burnout Syndrome คือภาวะหมดไฟในการทำงาน สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลหรือกลุ่มคนที่เครียดกับสภาวะการทำงานเป็นเวลาต่อเนื่องกัน ไม่สามารถจัดการกับความเครียด และความกดดันที่เกิดขึ้นจากการทำงานได้ จนส่งผลกระทบต่อร่างกาย จิตใจและทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป ทำให้ไม่มีความสุขกับการทำงาน จนอาจจะนำไปสู่ความรู้สึกหมดคุณค่าในตนเองได้ ซึ่งสัญญาอันตรายที่บ่งบอกถึงอาการมีดังนี้ ภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay  สัญญาณเตือนของกลุ่มคนที่เริ่มมีอาการภาวะหมดไฟในการทำงานนั้นเริ่มสังเกตได้จากจุดเล็ก ๆ นั่นก็คือ ให้สังเกตอารมณ์ของคนเหล่านั้น จะมีอาการหดหู่ ซึมเศร้า เกิดอารมณ์แปรปรวน ไม่พอใจ มีอาการหงุดหงิด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งอาการทางอารมณ์นี้อาจจะดูใกล้เคียงกับไบโพล่าร์ หรือภาวะซึมเศร้าได้ ดังนั้นจำเป็นจะต้องคอยสังเกตให้แน่ชัด สังเกตความคิดและทัศนคติของคนที่มีอาการภาวะหมดไฟในการทำงาน ซึ่งจะส่งผลต่อความคิดและทัศนคติทำให้นิสัยใจคอเปลี่ยนไปเช่น จากอารมณ์แปรปรวน มีการโทษผู้อื่นเสมอ อีกทั้งยังมีอาการระแวงไม่ไว้ใจใคร ทำให้คนเหล่านั้นมีการหนีปัญหา ไม่ยอมรับความจริง และไม่จัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า ทำให้เพื่อนร่วมงานเกิดอาการเบื่อหน่ายกับคนกลุ่มนี้ บางรายอาจจะอยู่ในกลุ่มที่หดหู่ ซึมเศร้า เช่นรู้สึกไม่มั่นใจในการทำงานของตัวเอง ไม่กล้าที่จะรับงานสำคัญ มีความรู้สึกหวาดกลัวหรือระแวง เป็นต้น สังเกตทางด้านพฤติกรรมหรือการกระทำของคนที่อาจจะมีแนวโน้มเป็นภาวะหมดไฟในการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมการขาดงานบ่อย ๆ หรือมาสายเนื่องจากไม่อยากไปทำงาน หรือสังเกตจากการมาสายติดต่อกัน ไม่มีสมาธิในการทำงาน และไม่สนใจงานที่ทำ เนื่องจากไม่มีความสุขในการทำงาน มีข้ออ้างให้การลางานมากมาย ภาพโดย Jan Vašek จาก Pixabay              จากจุดสังเกตเหล่านี้จะพบว่า ความเครียดที่สะสมอยู่ในขณะที่ทำงาน ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ส่งผลให้คนกลุ่มนี้ที่มีอาการหมดไฟในการทำงาน ไม่อยากที่จะทำงานและไม่มีความสุขในการทำงาน ส่งผลในด้านพฤติกรรม ความคิดและทัศนคติของคนเหล่านี้ แล้วยังส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อยู่รอบข้างอีกด้วย             โดยทั่วไปแล้ววิธีในการลดพฤติกรรมหรืออาการที่เกิดจากภาวะอาการหมดไฟในการทำงานนั้นสามารถกระทำได้ แต่ต้องเป็นการยินยอมจากคนกลุ่มนี้ มิเช่นนั้นการรักษาหรือการแก้ไขจะไม่เกิดผล ซึ่งสามารถแก้ไขโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างเช่น เพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานหรือสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อลดความตึงเครียดและความกดดันที่เกิดจากการทำงาน พยายามที่จะเปิดใจยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นให้เพิ่มมากขึ้น และมีการขอความช่วยเหลือหรือปฏิเสธการรับงานที่มากเกินไป เพื่อปรับให้การทำงานนั้นอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ การแบ่งเวลาในการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ทำการฟื้นฟูและเป็นการพักฟื้นจากสภาวะการเหนื่อยล้าสะสมที่เกิดจากการทำงาน ภาพโดย 200 Degrees จาก Pixabay              ในปัจจุบันการพบแพทย์จิตเวช เป็นเรื่องที่เปิดกว้างและสามารถเป็นที่ยอมรับได้ในสังคม เนื่องจากอาการเหล่านี้เมื่อทราบว่าตัวเองเป็นเร็วจะสามารถแก้ไขได้รวดเร็ว และทันท่วงที ก่อนที่อาการจะเป็นหนักมากกว่านี้ ดังนั้นการที่ได้ไปพบปะพูดคุยกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้ทำการปรึกษาพูดคุยกับแพทย์ อาจจะทำให้สามารถหาทางออกของปัญหา ที่กำลังประสบอยู่ได้ดีกว่าการเก็บปัญหาไว้คนเดียว             สุดท้ายนี้ งานเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีเงินเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่งานไม่ควรเป็นตัวขีดคั่นความสุข หรือนำไปใช้คาดหวังจนมากเกินไปในอนาคต การทำงานใดก็ตามนั้น เมื่อความสุขและงานผนวกเข้าไปด้วยกัน จะทำให้งานที่ทำออกมาอยู่ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ไม่จำเป็นเลยว่างานที่ทำนั้นจะดูเล็กน้อยและดูไร้ค่าสำหรับผู้อื่น แต่งานทุกงานล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเอง ภาพโดย Claudio_Scott จาก Pixabay              ขอให้ผู้อ่านทุกท่านเปิดใจที่จะยอมรับในสภาวะความตึงเครียดของงาน แต่ไม่ควรหักโหมที่จะทำงานจนมากเกินไป และอย่าเอางานที่ทำงานมาทำที่บ้าน เพื่อให้เวลาตัวเองได้พักผ่อนอยู่กับครอบครัว และใช้ชีวิตมีความสุขบ้าง เวลาเป็นดั่งสายน้ำที่ไม่อาจไหลย้อนกลับ เงินไม่สามารถซื้อเวลาได้ แต่เราสามารถใช้เวลาในการสร้างความสุขได้ ออกแบบภาพหน้าปกโดยใช้ canva

รีวิว Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025) ซีรีส์วาย GMMTV
อ่าน

รีวิว Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025) ซีรีส์วาย GMMTV

             มาแล้ว! “Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ” คือหนึ่งในซีรีส์วายปี 2025 ที่หลายคนจับตามองมากที่สุดจาก GMMTV เพราะหยิบ “ภาวะหมดไฟ” มาผสมเข้ากับเรื่องราวความรักของผู้ใหญ่ได้อย่างน่าสนใจ ซีรีส์เปิดเรื่องด้วยบรรยากาศเหงา–อุ่นที่ทั้งเรียลและเข้าถึงง่าย ก่อนค่อย ๆ ดึงผู้ชมให้เข้าไปสำรวจหัวใจของตัวละครที่กำลังหลงทางในชีวิตและความสัมพันธ์ พร้อมเคมีสดใหม่ของ ออฟ–กัน–ดิว ที่สร้างแรงดึงดูดให้ทุกซีนดูมีน้ำหนักมากขึ้น นี่จึงไม่ใช่แค่ซีรีส์รักสามเส้า แต่เป็นการเล่าเรื่องของคนที่กำลัง “หมดไฟในความรักและชีวิต” และต้องหาว่าแท้จริงแล้วอะไรกันแน่ที่ทำให้หัวใจของเขากลับมาติดไฟอีกครั้ง ผ่านภาพอบอุ่น ดนตรีนุ่ม และการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ ซึมเข้าใจผู้ชมอย่างสวยงาม ว่าแล้วก็มาดูซีรีส์นี้พร้อมกันเลย ลุยค่า! รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ซีรีส์ Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ          ซีรีส์เรื่อง “Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ”บอกเล่าเรื่องราวของ “จิระ” ชายหนุ่มวัยทำงานที่เพิ่งถูกไล่ออกจากงานอย่างกะทันหัน ต้องเผชิญกับความรู้สึก หมดไฟ ทั้งด้านอารมณ์และชีวิตประจำวัน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงจูงใจที่จะทำอะไรต่อไป และชีวิตเหมือนเดินอยู่บนทางตัน จิระจึงตัดสินใจหาที่พักใจและบำบัดตัวเองเพื่อเยียวยาความเครียดและความอ้างว้างภายใน ระหว่างทาง เขาได้พบกับ “ภีม” หนุ่ม IT ที่ใจดี อบอุ่น และเข้าใจความรู้สึกของคนที่เคยเจอความเหนื่อยล้าอย่างจิระทั้งสองเริ่มเปิดใจพูดคุยและให้กำลังใจกัน จิระรู้สึกผ่อนคลายขึ้น และความสัมพันธ์ของเขากับภีมค่อย ๆ เติบโตด้วยความเข้าใจและความอบอุ่น แต่เรื่องราวไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เมื่อ “ก่อ” นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้มีโลกส่วนตัวสูงและไม่ค่อยชอบเข้าสังคม เกิดมองเห็นความสามารถและศักยภาพของจิระโดยบังเอิญ ก่อมอบโอกาสให้จิระเข้ามาทำงานร่วมกับเขาและในระหว่างนี้ จิระกลับถูกดึงดูดด้วยความลึกลับและเสน่ห์ของก่อ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามจึงเริ่มซับซ้อนขึ้นอย่างไม่คาดคิด จิระต้องเผชิญกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ: เขาจะเลือก ความอบอุ่นและความเข้าใจจากภีม หรือ แรงบันดาลใจและความท้าทายจากก่อ  [Official Trailer] Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ https://m.youtube.com/watch?v=iqtE21HQ-KU นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ อ๊อฟ จุมพล แสดงเป็น “ก่อ” นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ มีโลกส่วนตัวสูง จริงจังแต่ลึก ๆ อบอุ่น ดึงดูดจิระด้วยความลึกลับและแรงบันดาลใจใหม่ กัน อรรถพันธ์ แสดงเป็น “จิระ” ชายหนุ่มวัยทำงานที่เพิ่งถูกไล่ออก หมดไฟทั้งชีวิตและจิตใจ ค่อย ๆ ฟื้นฟูตัวเองผ่านความสัมพันธ์และแรงบันดาลใจจากคนรอบข้าง ดิว จิรวรรตน์ แสดงเป็น “ภีม” หนุ่ม IT ใจดี อบอุ่น เป็นที่พักใจให้จิระ เข้าใจความรู้สึกของคนหมดไฟและค่อย ๆ สานสัมพันธ์ด้วยความเอาใจใส่             พล็อตหลักของซีรีส์เรื่อง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ บอกเล่าถึง จิระ ชายหนุ่มวัยทำงานที่เพิ่งถูกไล่ออกจากงาน ต้องเผชิญกับความรู้สึก หมดไฟ ทั้งด้านอารมณ์และชีวิตประจำวัน เขารู้สึกว่างเปล่า ไม่มีแรงจูงใจ และชีวิตเหมือนติดอยู่ในทางตัน ในช่วงเวลานั้น จิระได้พบกับ ภีม หนุ่ม IT ใจดีและอบอุ่น ภีมค่อย ๆ ปลอบประโลมใจและเป็นที่พักใจให้จิระ ทำให้เขารู้สึกได้รับความเข้าใจและกำลังใจ และต่อมทจิระได้พบกับ ก่อ นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้มีโลกส่วนตัวสูง ชอบเก็บตัว และจริงจังกับชีวิตการพบกันของจิระและก่อทำให้จิระเริ่มเห็นแรงบันดาลใจและไฟในชีวิตกลับมา เรื่องราวจึงกลายเป็นความสัมพันธ์สามเส้า ระหว่างจิระ ภีม และก่อ จิระต้องตัดสินใจว่าเขาจะเลือกความอบอุ่นและความเข้าใจจากภีม หรือแรงบันดาลใจและความท้าทายจากก่อ ธีมหลักของซีรีส์ Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ หมดไฟ: การสะท้อนชีวิตคนเมืองที่เหนื่อยล้า หมดแรงจูงใจ และต้องการเวลาเยียวยาใจ การเยียวยาใจ: การพบเจอคนที่เข้าใจและช่วยเยียวยาจิตใจ ทำให้เริ่มฟื้นฟูตัวเอง การค้นพบตัวเอง: การค้นหาความหมายในชีวิตและแรงบันดาลใจใหม่ ความรักและความสัมพันธ์ซับซ้อน: การเลือกและเข้าใจความรู้สึกของตัวเองผ่านความสัมพันธ์แบบสามเส้า            สำหรับเรื่องราวของ Burnout Syndrome เป็นทั้ง ความรัก ความสับสน และการค้นพบตัวเอง พร้อมสะท้อนถึงชีวิตคนเมืองที่บางครั้งหมดไฟและต้องการการเยียวยา ซีรีส์มีโทน โรแมนติก-ดราม่าแบบ slow-burn เน้นการฟื้นฟูหัวใจและการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ให้ผู้ชมได้สัมผัสทั้งความรัก การเยียวยาใจ และเส้นทางการค้นพบตัวเองผ่านความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนแต่เต็มไปด้วยความรู้สึก              โปรดักชัน Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ จัดว่า เรียบ เท่ และเป็นผู้ใหญ่กว่าซีรีส์วายทั่วไปของ GMMTV ตัวงานมีกลิ่นอายที่นิ่งขึ้น โตขึ้น และให้ความสำคัญกับ “โทนอารมณ์” มากเป็นพิเศษ เพื่อรองรับธีมหลักอย่างภาวะหมดไฟของตัวละคร งานภาพ ใช้โทนสีอบอุ่น–หม่นเล็ก ๆ ทำให้บรรยากาศดูสมจริงและสัมผัสได้ เหมือนโลกของผู้ใหญ่ที่กำลังเหนื่อยกับชีวิต การจัดแสงในบาร์ คาเฟ่ หรือสถานที่แคบ ๆ ทำได้ดี มีความนุ่มละมุนแบบหนังอินดี้ไทย ซึ่งช่วยดึงอารมณ์เหงา–อุ่นของเรื่องออกมาได้ชัดเจน และที่โดดเด่นมากคือ บาร์ Burnout Bar ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เซฟโซนที่คนดูรู้สึกได้ทันทีว่าเป็นที่พักใจ ส่วนบ้าน ห้องทำงาน หรือสตูดิโอของตัวละครก็สะท้อนตัวตนของแต่ละคนได้ชัดโดยไม่ต้องอธิบายมาก          เคมีนักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ บอกเล่าว่าหวีดกันตั้งแต่เปิดตัวเลย เพราะเคมีของนักแสดงนำทั้งสามคน “ออฟ–กัน–ดิว” ผสมกันออกมาได้ลงตัวกว่าที่คาด แม้จะเป็นทีมที่ไม่เคยประกบกันครบเซ็ตมาก่อน แต่พอมาอยู่ในเรื่องเดียวกันกลับให้บรรยากาศที่ทั้ง สดใหม่ ละมุน และมีชั้นเชิงอารมณ์ ในแบบผู้ใหญ่เต็มตัว นับได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญ ทำให้เรื่องราวความสัมพันธ์สามเส้าดู มีความจริงใจ ลื่นไหล และชวนอิน🥺✨ จบลงไปแล้วนะคะสำหรับรีวิว Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025) ซีรีส์วายทาง GMMTV และในซีรีส์เรื่อง “Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ” ❤️‍🔥 จะออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 20:30 น. ทางช่องGMM25 และดูออนไลน์ เวลา 21:30 น. เครดิตภาพหน้าปก GMMTV ภาพหน้าปก เครดิตภาพประกอบบทความ GMMTV : ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6 / ภาพที่8 iQIYI Thailand : ภาพที่7  เครดิตวิดีโอประกอบบทความ GMMTV OFFICIAL [Official Trailer] Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

Burnout Syndrome: ชีวิตหมดไฟ เติมเชื้อเพลิงอย่างไรดี
อ่าน

Burnout Syndrome: ชีวิตหมดไฟ เติมเชื้อเพลิงอย่างไรดี

  ชีวิตเราทุกวันนี้เต็มไปด้วยอุปสรรคหลายอย่างที่เข้ามาถาโถมจนทำให้ใครหลาย ๆ คนอาจมีความรู้สึกท้อแท้ หมดหวัง หมดกำลังใจในการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตในประจำวัน ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการของโรค Burnout Syndrome (ภาวะหมดไฟ) มาดูกันว่าเราจะจัดการกับอาการเหล่านี้อย่างไร และเราจะเติมเชื้อเพลิงแพสชันในการใช้ชีวิตอย่างไรให้เรากลับมามีชีวิตชีวากับกิจวัตรประจำวันของเราอีกครั้ง   อะไร คือ Burnout Syndrome?  ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) คือ อาการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจอันเนื่องมาจากสภาวะตึงเครียดจากการทำงานเรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้มีอาการดังกล่าวรู้สึกหมดพลัง หมดกำลัง มีทัศนติในทางที่ไม่ดีต่องานของตนเอง (Bangkokhospital, ม.ป.ป.) ถึงแม้ว่าภาวะหมดไฟมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้า แต่ภาวะนี้ไม่ใช่โรคซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าผู้ป่วยอาการนี้อาจเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าบุคคลทั่วไป (Samitivejhospitals, 2561)     ปัจจัยเสียง "หมดไฟ" มีอะไรบ้าง? อินโฟกราฟิกโดยผู้เขียน via Canva จากการศึกษาของผู้เขียนตามบทความของโรงพยาบาลต่าง ๆ ผู้เขียนขอสรุปตามบทความของโรงพยาบาลสมิติเวช โดยบทความนี้ได้ให้ข้อมูลว่ามีอยู่ 3 ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ ปัจจัยเกี่ยวกับการทำงาน ปัจจัยเกี่ยวกับความเป็นอยู่ และปัจจัยเกี่ยวกับบุคลิกส่วนตัว ปัจจัยเกี่ยวกับการทำงาน เช่น งานล้นมือ ระยะเวลาในการทำงานมากเกินไป องค์กรไม่มีความชัดเจน ทำงานภายใต้แรงกดดัน งานที่ต้องรับผิดชอบมีปริมาณมากเกินไป และมีบทบาทที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูง และฝืนใจทำงานด้วยความเบื่อหน่าย ปัจจัยเกี่ยวกับความเป็นอยู่ เช่น เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด และการทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อน ปัจจัยเกี่ยวกับบุคลิกส่วนตัว เช่น เป็นคนประเภท Perfectionist เป็นคนเก็บตัว และไม่มีแผนการที่ยืดหยุ่น     ฉันจะกลับมามีไฟอีกครั้งได้อย่างไร? รักษาสุขภาพร่างกาย ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay การรักษาสุขภาพร่างกายช่วยบรรเทาอาการหมดไฟได้ เพียงคุณพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หักโหมจนเกินไป รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที เฉลี่ย 5 ครั้ง/สัปดาห์ นอกจากคุณจะไม่รู้สึกหมดไฟ คุณยังมีสุขภาพร่างกายที่ดีตามมาด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว   ปรับสมดุลระหว่างการพักผ่อนและการทำงาน ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay การทำงานมากเกิดไปเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อการหมดไฟ ดังนั้น คุณควรปรับสมดุลนาฬิกาชีวิตของคุณด้วยการทำงาน และพักผ่อนในระยะเวลาที่เหมาะสม ถ้าหากคุณรู้สึกว่าการทำงานของฉันช่างตึงเครียดเสียเหลือเกิน คุณอาจใช้เวลาวันหยุดที่เหลืออยู่ในการพักผ่อน นอกจากนี้ การจัดลำดับความสำคัญก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้งานของคุณสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เมื่องานของคุณออกมาสมบูรณ์แบบ ความเครียดจากการทำงานคงห่างจากคุณไปไกลเลยทีเดียว   ลดการใช้โซเชียลมีเดียลงบ้าง ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay การใช้โซเชียลมีเดียทั้งเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ฯลฯ อาจทำให้คุณต้องเสียเวลาในการใช้ชีวิตมากจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการบริหารจัดการความสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน นอกจากนี้ การใช้สื่อสังคมออนไลน์มาก ๆ อาจทำให้คุณเครียดจากการเสพข้อมูลข่าวสารมากจนเกินไปอีกด้วย   หาที่ปรึกษาสักคน ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay ในแต่ละวัน คุณอาจจะต้องเจอเรื่องราวมากมายที่ทำให้คุณเครียดจนอยากระบาย ดังนั้น การหาที่ปรึกษาสักคน เป็นทางเลือกที่ดีในการระบายความเครียดที่อัดอั้นอยู่ในใจ เพราะถึงแม้ว่าคุณจะเจอเรื่องแย่มากแค่ไหนก็ตาม แต่การมีที่ปรึกษาทำให้คุณรู้สึกว่าตนเองไม่ได้สู้กับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้นเพียงตัวคนเดียว   ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pixabay ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งที่คุณกำลังรับมืออยู่นั้นมากเกินกว่าที่จะรับมือไหว การไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นทางเลือกที่ดีที่จะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และกลับมาเป็นคนมีไฟอีกครั้ง (สรุป รวบรวม และจำแนกประเภทจากบทความของโรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลสมิติเวช)       อ้างอิง https://www.bangkokhospital.com/th/disease-treatment/burnout-syndrome https://www.samitivejhospitals.com/th/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%9F-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99/ รูปภาพปกทำจาก Canva

5 วิธีแก้ภาวะหมดไฟในการทำงาน สาเหตุ และการรับมือ (Burnout Syndrome)
อ่าน

5 วิธีแก้ภาวะหมดไฟในการทำงาน สาเหตุ และการรับมือ (Burnout Syndrome)

สวัสดีค่าเพื่อนๆชาว True ID ทุกคน เชื่อว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ความรัก หรือภาระต่างๆในชีวิตมันก็สามารถทำให้เราหมดไฟหรือเรียกอีกอย่างนึงว่าอาการ Burnout Syndrome นั่นเอง ซึ่งหลายคนกำลังตกอยู่ในสภาวะนี้อยู่ใช่ไหมล่ะ T_T แต่ไม่ต้องกลัวและหมดกำลังใจไปนะ เป็นได้ก็แก้ได้ วันนี้เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันว่าอาการหมดไฟที่ว่านี้ มีวิธีแก้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ~ Burnout Syndrome สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ขาดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หรือไม่มีความบาลานซ์ชีวิตในหลายๆเรื่อง ทำให้เกิดการเหนื่อยหน่ายท้อแท้ มีความกดดัน ความคาดหวัง ทำให้มีทัศนคติในด้านลบกับตัวเองละคนรอบข้าง จึงนำไปสู่ภาวะภาวะหมดไฟในที่สุด สิ่งที่สามารถนำพาทุกคนกลับมาอยู่สภาวะปกติได้ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะเดี๋ยวเราเช็คเป็นข้อๆกันไปเลย  1. จัดระเบียบการใช้ชีวิต เรียงลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง เพียงแค่คุณทำสิ่งนี้ได้ชีวิตจะดีขึ้นแบบ200%เลย มันทำให้เราได้นั่งทบทวนตัวเองว่า สิ่งไหนที่เราควรจะทำและสิ่งไหนที่เราควรจะปล่อย เราจะเลือกทำสิ่งที่มีความสำคัญกับชีวิตดีกว่าต้องมานั่งเสียเวลาและสุขภาพจิตให้กับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่างๆ  2. หากิจกรรมที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง เช่น ออกกำลังกาย ฝึกเล่นโยคะ ศิลปะ ตกแต่งบ้าน ทำสมาธิ ถ่ายคลิปทำอาหาร การทำอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองไม่ใช่เรื่องเสียเวลา เพราะที่ผ่านมาเราก็ทำให้คนอื่นมามากแล้วเหมือนกัน นี่ก็ถือว่าเป็นการให้รางวัลคนเก่งกับตัวเองจริงๆ  3. งดเข้าโซเชียลบ้าง บางทีข่าวสารต่างๆในโลกออนไลน์ก็ทำให้เราเครียดได้เหมือนกันนะ บางคนไปรับรู้ชีวิตคนอื่นมากเกินไปจนเอามาเปรียบเทียบกับชีวิตตัวเองจนรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เก่ง อย่าคิดแบบนั้นนะคะ ทุกคนล้วนมีค่าหมด ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง ตอนนี้ที่มีชีวิตอยู่และผ่านไปแต่ละวันไดนี่ก็เก่งมากแล้ว เราต้องให้กำลังใจตัวเองทุกวัน คิดบวกๆเข้าไว้ และพลังงานด้านบวกก็จะถูกดึงกลับมาหาเราเองค่ะ  4. เปิดใจคุยกับคนใกล้ชิด เป็นวิธีระบายอย่างหนึ่ง เพราะทำให้เรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว อย่างน้อยก็ยังมีคนที่รักเรา คอยให้กำลังใจเรา เช่นคนในครอบครัว เพื่อนสนิท เราสามารถสื่อสารให้เค้าเข้าใจได้ ที่สำคัญเราต้องปรับทัศนคติของตัวเองด้วย เพราะทัศนคติเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน 5.แบกเป้เที่ยวเลยจ้า ไหนๆก็ไหนๆละ เที่ยวแก้เครียดซะเลย^_^* การไปในสถานที่แปลกใหม่ก็เป็นการเยียวยาตัวเองอย่างดีเลยล่ะ เผลอๆกลับมาเราอาจจะได้ไอเดียดีๆในการไปต่อยอดอะไรได้อีกหลายอย่างอีกด้วย  เป็นอย่างไงบ้างคะกับวิธีจัดการกับเจ้าตัวปัญหาที่ทำให้เราหมดไฟ ส่วนตัวมิลค์เองตอนนี้ก็ยังไม่สามารถทำได้หมดทุกข้อ ตอนนี้ทำได้แค่เริ่มต้นที่รักตัวเองเริ่มมีแรงบันดาลใจและหาเป้าหมายในชีวิตให้เจอ ทำให้มิลค์รู้แล้วว่าต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันไม่สูญเปล่า คิดได้แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ ถ้าเพื่อนๆทำได้ซักข้อสองข้อก็ดีมากแล้ว มิลค์เป็นกำลังใจให้สำหรับทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่นะคะ ยังไงก็ต้องผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน สำหรับครั้งหน้ามิลค์จะเอาเรื่องอะไรมาฝาก รอติดตามกันด้วยนะ วันนี้ไปแล้วค่ะ บ้ายบาย~ภาพที่1 โดย Engin_Akyurt จาก pixabayภาพที่2 โดย geralt จาก pixabay ภาพที่3 โดย geralt จาก pixabay ภาพที่4 โดย silviarita จาก pixabayภาพที่5 โดย Firmbee จาก pixabayภาพที่6 โดย silviarita จาก pixabayภาพปกโดย silviarita จาก pixabay7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์

Burn Out Syndrome ในนักกีฬา
อ่าน

Burn Out Syndrome ในนักกีฬา

     จากประสบการณ์ของผู้เขียนเองได้มาสัมผัสกับงานในวงการกีฬา ของสมาคมกีฬาแห่งหนึ่ง ทำให้นึกถึงนักกีฬาท่านหนึ่งซึ่งเลิกเล่นไปเนื่องด้วยเหตุบางประการ ซึ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อธิบายทางด้านจิตวิทยาการกีฬาของกรมพลศึกษา ซึ่งได้อธิบายเรื่องราวของภาวะนี้ที่เกิดขึ้นในนักกีฬาชัดเจน คำว่า Burn Out คงมองในมุมของการทำงาน แต่ก็มีภาวะนี้ในทางจิตวิทยาทางการกีฬาเช่นกัน หลายคนคงทราบกันดีว่า ภาวะหมดไฟในนักกีฬานั้น ถ้ามีสะสมมาก ๆ ก็อาจจะทำให้ถอดใจได้ง่ายมาก จนในที่สุดก็ล้มเลิกความตั้งใจไปโดยปริยาย Credit pic : https://www.pexels.com/photo/martial-arts-training-3340319/      ในการฝึกซ้อมที่เข้มงวด ต้องแข่งขันกับตัวเองและคนที่จะมาท้าชิงกับเราด้วย และการแข่งขันเพียงเสี้ยวนาทีที่ต้องทำให้รวดเร็ว ทันควันของแต่ละทัวร์นาเมนท์ในแต่ละชนิดกีฬา นักกีฬาหลายคนอาจเผชิญกับภาวะทางจิตใจไม่มากก็น้อย ซึ่งภาวะนี้ก็มีอีกความหมายหนึ่งว่า "หมดไฟ" ซึ่งภาวะนี้ไม่ว่าจะนักกีฬามือใหม่หรือนักกีฬาสมัครเล่นที่อยู่ในแวดวงนี้มานาน รวมทั้งนักกีฬาอาชีพก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะหมดไฟได้เช่นกัน Credit pic : https://www.pexels.com/photo/men-fighting-in-the-ring-2581662/ ประเภทภาวะหมดไฟในนักกีฬา ภาวะหมดไฟในนักกีฬาจะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทก็คือ ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว และภาวะหมดไฟแบบถาวร 1. ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว ภาวะหมดไฟแบบชั่วคราว เป็นภาวะที่เสี่ยงต่อการเกิดซึมเศร้ามากที่สุด เพราะจะมีโอกาสที่มองคุณค่าในตัวเองต่ำลงได้ง่าย ซึ่งในประเภทนี้จะเป็นการแสดงภาวะทางจิตใจเนื่องจากความล้า หรือสภาวะอารมณ์ที่มองในทางลบ หากมีใครเข้ามาช่วย หรือเข้ามาพูดคุยในเวลานั้น นักกีฬาจะมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น สามารถกลับไปเล่นได้อีก 2. ภาวะหมดไฟแบบถาวร ภาวะในประเภทนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะนี่คือใกล้ถึง "จุดอิ่มตัว" ของการเป็นนักกีฬา อีกทั้งนักกีฬาจะรู้สึกไม่อยากเล่นเพราะหมดสนุก หรือเล่นไปเพียงเพราะหน้าที่ที่ยังค้ำคออยู่ เช่น เป้าหมาย เงินรางวัล ความคิดเห็นโค้ชที่อยากให้อยู่ต่อ ความกดดันในตัวเองเพิ่มขึ้น รวมทั้งนักกีฬานึกถึงคนข้างหลัง เช่น พ่อแม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอดทน และประสบการณ์แต่ละบุคคล แต่ที่แน่นอนก็คือ ภาวะแบบถาวรจะเล่นเพียงความจำเป็นมากกว่า อาจจะเป็นการนับถอยหลังในตัวว่า...ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเลิกเล่นอยู่ดี Credit pic : https://www.pexels.com/photo/photography-of-person-riding-brown-horse-1125060/ ปัจจัยที่ทำให้เกิด "Burn Out" ในนักกีฬา 1. สถานการณ์ หรือปัจจัยแวดล้อม - ทางด้านจิตใจ เช่น ความเครียด มีเรื่องรบกวนจิตใจ ความรู้สึกไม่ดีในเรื่องต่าง ๆ หรือเรื่องที่ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้ จนขาดสมาธิ และไม่สามารถโฟกัสสิ่งที่ทำ ณ ตรงนั่นได้ - ทางด้านร่างกาย เช่น มีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง (Chronic Injury) การได้รับการฝึกแบบหนักเกินไป (Overtraining) โปรแกรมซ้อมจำเจ หรืออุปสรรคอื่น ๆ ทางกายที่ทำให้ไม่สามารถเล่นได้เต็มที่เท่าที่ควร - ทางด้านสภาพแวดล้อม เช่น พฤติกรรมที่โค้ชแสดงออก การไม่ได้รับการสนับสนุนทางด้านจิตใจหรือไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีเท่าที่ควร 2. ปัจจัยด้านบุคคล - ปัจจัยทางด้านนิสัย เช่น การหล่อหลอมแบบมุ่งงาน การหล่อหลอมแบบมุ่งตัวเอง และความวิตกกังวล เช่น รู้สึกว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ หรือรู้สึกเหมือนไม่มีน้ำยาพอที่จะแข่งได้ รู้สึกไร้ตัวตน - ปัจจัยทางสังคม ยิ่งได้รับอิทธิพลทางสังคมมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะหมดไฟก็มากเท่านั้น เช่น มีปัญหากับเพื่อนในทีมไม่ว่าจะกีฬาบุคคลหรือกีฬาทีม หรือไม่อยากลงเรือลำเดียวกันกับทีมเลย หรือไม่พอใจในทีม Staff Credit pic : https://www.pexels.com/photo/group-of-people-doing-marathon-1571939/ ใครจะมีบทบาทเข้ามา - โค้ช เพราะโค้ชจะใกล้ชิดนักกีฬาที่สุด เป็นได้ทั้งผู้สร้างนักกีฬาและทำลายนักกีฬา (ด้วยความไม่ตั้งใจ) ในขณะเดียวกัน ฉะนั้น โค้ชจะต้องมีส่วนช่วยสร้างแรงจูงใจให้นักกีฬารู้สึกดีขึ้น หรือรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้คุยกับโค้ช - นักจิตวิทยา นอกจากโค้ชแล้ว นักจิตวิทยาจะช่วย Guideline ให้นักกีฬา อาจจะมีการฟื้นฟูสภาพจิตใจ จิตบำบัดวิธีที่เหมาะสมให้นักกีฬา สามารถกลับไปเล่นได้ปกติ และมีนักจิตวิทยาจะต้องเข้ามามีบทบาทมากในกรณีที่หมดไฟแบบชั่วคราว เพราะช่วงนี้จะได้ผลและกลับมาเร็วที่สุด - จิตแพทย์ จะช่วยรักษาสภาพจิตใจให้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ และต้องเข้าใจว่าจิตแพทย์ไม่ได้พบแค่ตอนเป็นบ้าเท่านั้น Credit pic ภาพปก : https://pixabay.com/photos/tennis-racket-tennis-ball-sport-3552164/

รู้จัก 5 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)
อ่าน

รู้จัก 5 นักแสดง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ (2025)

รู้จัก 5 นักแสดงหลัก Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ ซีรีส์ไทยโรแมนติกกดราม่าที่นำเสนอเรื่องราวความสัมพันธ์ซับซ้อนท่ามกลางภาวะหมดไฟในการใช้ชีวิตและศิลปะ โดยได้ 3 นักแสดงนำมากความสามารถมาถ่ายทอดบทบาทที่ท้าทายหัวใจผู้ชม ออฟ จุมพล (ก่อ) นักธุรกิจลึกลับผู้จุดประกายไฟรัก กัน อรรถพันธ์ (จิระ) ศิลปินผู้แบกรับภาวะ Burnout Syndrome ดิว จิรวรรตน์ (ภีม) หนุ่มในฝันที่เข้ามาเติมเต็มท่ามกลางความสับสน ก่อนที่เราจะไปเจาะลึกถึงเบื้องหลังชีวิตส่วนตัวและประวัติการศึกษาของพวกเขา มารู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของห้านักแสดงทั้งหมดผู้รับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราวความรักและความสับสนครั้งนี้กัน! รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! 1. ออฟ จุมพล   วัน/เดือน/ปีเกิด: 20 มกราคม พ.ศ. 2534 อายุ: 34 ปี บ้านเกิด: กรุงเทพมหานคร การศึกษา: ปริญญาตรี สาขานิเทศศาสตร์ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อ (กรวิก) รับบทโดย ออฟ จุมพล นักธุรกิจสตาร์ตอัปผู้เกลียดการเจอผู้คน มีบุคลิกที่ลึกลับและอาจจะเข้าถึงยาก เป็นคนหยิบยื่นงานใหม่ที่ดูเป็น "ทุกขลาภ" ให้กับจิระ แต่ก็เป็นคนที่ จุดไฟให้จิระกลับมาวาดรูปอีกครั้ง สื่อถึงความซับซ้อนและเร่าร้อนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความเย็นชา       2. กัน อรรถพันธ์     วัน/เดือน/ปีเกิด: 4 ตุลาคม พ.ศ. 2536 อายุ: 32 ปี บ้านเกิด: กรุงเทพมหานคร การศึกษา: คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จิระ รับบทโดย กัน อรรถพันธ์ ศิลปินหนุ่มผู้เผชิญกับสภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) กำลังตกงานและค้นหาตัวตน เป็นคนที่มีความสับสนในความสัมพันธ์ระหว่างก่อและภีม ถูกดึงดูดด้วยแรงแปลกประหลาดจนยอมรับข้อตกลงในการสวมบทบาทเป็น 'มิสเตอร์เค' เพื่อแลกกับการที่ก่อต้องมาเป็นแบบให้เขา     3. ดิว จิรวรรตน์     วัน/เดือน/ปีเกิด: 30 ตุลาคม พ.ศ. 2543 อายุ: 25 ปี บ้านเกิด: กรุงเทพมหานคร การศึกษา: ปริญญาตรี วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม สาขาการออกแบบสื่อปฏิสัมพันธ์และมัลติมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ภีม รับบทโดย ดิว จิรวรรตน์ หนุ่มหล่อสายไอทีที่จิระมองว่า "ตรงใจเขาทุกอย่าง" เป็นเหมือน คนในฝัน ที่ปรากฏตัวท่ามกลางความสับสนของจิระ บทบาทของเขามีส่วนสำคัญในการแนะนำให้จิระได้เจอกับก่อ       4. เอมี่ ทสร     วัน/เดือน/ปีเกิด: 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 อายุ: 26 ปี บ้านเกิด: ประเทศไทย การศึกษา: ปริญญาตรี คณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการละคร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อิง รับบทโดย เอมี่ เพื่อสนิทสุดซี้กับ จิระ เธอเป็นฟรีแลนซ์ที่มีไลฟ์สไตล์ นิสัยชิลล์ๆ เหมือนกันกับเขา เป็นคนที่เขาคอยขอคำปรึกษา และ บอกเล่าเรื่องราวในแต่ละวันของตัวเองให้ฟังอย่างหมดใจ       5. โต๋ ทินพันธ์   วัน/เดือน/ปีเกิด: 19 พฤศจิกายน พ.ศ.2539  บ้านเกิด: ประเทศไทย อายุ: 30 การศึกษา: จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เบน รับบทโดย โต๋ ชายหนุ่มลึกลับที่ทำหน้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์ให้กับบาร์ลับที่ จิระ ได้เข้าไปและพบกับ ภีม เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่อ้อมคอม และ มักจะไม่ค่อยรักษาน้ำใจคนอื่นในคำพูด แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจสกปรก       ขอขอบคุณ GMMTV  ภาพปก 1/2/3/4/5 ภาพที่ 1/2/3/4/5 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

แนะนำซีรีส์ Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ 2025 #ออฟกัน
อ่าน

แนะนำซีรีส์ Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ 2025 #ออฟกัน

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาแนะนำซีรีส์ เรื่อง Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ มาวันแรกวันที่ 26 พฤศจิกายน 2025 มีทั้งหมด 10 ตอน ออกอากาศทุกวันพุธ เวลา 20.30 น. ทาง GMM25 นำแสดงโดยออฟ จุมพล รับบท ก่อ ประกบคู่กับกัน อรรถพันธ์ รับบท จิระ บอกเล่าเรื่องราวของจิระที่โดนไล่ออกจากงานจนเกิดอาการเบิร์นเอาท์เลยได้มาเจอกับก่อ เรื่องราวจะสนุกแค่ไหนเชิญไปอ่านกันได้เลย รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เป็นเรื่องราวของจิระที่เพิ่งถูกไล่ออกจากงานกะทันหัน จึงเจอกับภาวะ Burnout หมดไฟในการทำงาน เขาไปบาร์ชื่อ Burnout Bar เพื่อบำบัดจิตใจให้กลับมาเป็นปกติ จึงได้เจอกับภีมหนุ่มหล่อที่ทำงานสายไอทีที่มีเสน่ห์เกินห้ามใจ พวกเขาคุยกันถูกคอจึงแลกเบอร์ติดต่อกันไว้เพื่อจะได้สานสัมพันธ์ต่อ แต่แล้วจิระก็ได้เจอกับก่อที่เป็นนักธุรกิจเจ้าของแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ชื่อดัง ผู้ซึ่งไม่ชอบเข้าสังคม เป็นคนลึกลับ ชอบเก็บตัว และเกลียดการพบปะผู้คน ก่อกำลังมองหาคนที่จะมาออกหน้าช่วยเป็นตัวแทนเพื่อเจรจาธุรกิจให้กับเขา จนกระทั่งเขาได้เจอกับจิระในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ด้วยความที่จิระเป็นคนแข็งกร้าว ก่อจึงรู้สึกสนใจในตัวของจิระ ก่อต้องการให้จิระเป็นมิสเตอร์เค คนที่ทำหน้าที่เจรจาธุรกิจให้ก่อ ส่วนจิระเองก็สนใจในความลึกลับของก่อ ในขณะที่ความสัมพันธ์ของจิระกับภีมและจิระกับก่อก็เริ่มก่อตัวขึ้น กลายเป็นรักสามเศร้า โดยที่จิระไม่รู้ว่าควรจะเลือกใคร สุดท้ายเรื่องราวจะจบลงอย่างไรก็ต้องไปดูกัน ออฟ จุมพล รับบท ก่อ กัน อรรถพันธ์ รับบท จิระ เสื้อผ้าและคอสตูมทำออกมาได้ดูสวยงามมีเอกลักษณ์ ชุดจิระ ดูเป็นชุดที่สุภาพ เรียบร้อย แต่ก็ดูน่ารัก ทันสมัย เข้าใจแฟชั่น ส่วนชุดก่อก็ดูมีความสบายๆ ชุดภีมดูหล่อเหลาดูดี ฉากก็ทำออกมาได้ดูเข้ากับบรรยากาศในเรื่อง ดูวินเทจหน่อยๆ แต่ก็จัดว่าดูดี ฉากมีเอกลักษณ์กลิ่นไอเฉพาะตัวของเรื่อง ชอบเรื่องนี้เพราะเป็นแนวโรแมนติกดราม่าที่ดูมีเอกลัษณ์กลิ่นไอเฉพาะตัว ดูมีความลึกลับน่าค้นหา เนื้อเรื่องมีความหนักพอสมควร ดูทรงแล้วน่าจะดราม่าไม่เบาเลย จิระดูเป็นคนนิ่งๆ น่ารัก ก่อดูเป็นคนนิ่ง น่าค้นหา ส่วนภีมก็ดูเป็นคนสุภาพ ใจดี คือเป็นรักสามเศร้าที่ดูแล้วน่าจะจบไม่สวย แต่ก็หวังว่าจะจบดีไม่เจ็บปวดมากนัก ใครชอบแนวนี้ไปตามได้ค่ะ ซีรีส์วายที่น่าสนใจช่วงนี้ แนะนำซีรีส์ มีสติหน่อยคุณธีร์ Me and Thee 2025 ปอนด์ภูวินทร์ แนะนำซีรีส์ อสงไขย 2025 แนวพีเรียด #บิลลี่เบ้บ แนะนำซีรีส์ ไหนใครว่าพวกมันไม่ถูกกัน Head 2 Head 2025 #ซีคีน แนะนำซีรีส์ โปตัวปลอม Me and Who 2025 บิ๊ก ปาร์ค แนะนำซีรีส์ ฉากนั้นยังเป็นเธอ The Love Never Sets 2025 อ้างอิง ภาพปก1, ภาพปก2-3 ตกแต่งโดย canva ภาพที่1-3, ภาพที่4 ขอบคุณภาพจาก X: GMMTV จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

กลับหลังหันก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไม่ไหว นี่เรากำลังตกอยู่ภาวะ BURNOUT SYNDROME หรือเปล่านะ?
อ่าน

กลับหลังหันก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไม่ไหว นี่เรากำลังตกอยู่ภาวะ BURNOUT SYNDROME หรือเปล่านะ?

เชื่อว่าเหล่ามนุษย์ทำงานหลายคนต้องเคยประสบกับปัญหา ร่างกายอ่อนล้า เหนื่อย เบื่อ เครียด จากการทำงานในแต่ละวัน เมื่อเข็มนาฬิกาหมุนเวียนมาเป็นวันจันทร์ทีไร ใจก็รู้สึกหมดแรง หมดพลังไปดื้อๆ "เมื่อไรจะวันศุกร์" คือวลีสุดฮิตที่เหล่ามนุษย์ทำงานต้องมีบ่นออกมาบ้างแหละแต่อาการเหล่านี้ สำหรับบางคนอาจจะเป็นแค่อารมณ์เซงๆ เบื่อๆ ที่ไม่กี่วันก็กลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม แต่ถ้าหากว่าอาการเริ่มหนักขึ้นจนทำตัวเองเกิดความคิดว่า "ฉันไม่อยากทำงานเลย" "คิดงานไม่ออก" "ทำไมชีวิตมันน่าเบื่อขนาดนี้" ร่างกายเริ่มอ่อนแรง หมดหวัง หมดกำลังใจ จนกระทบต่อชีวิตประจำวันและการทำงาน ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าคุณอาจตกอยู่ในภาวะ BURNOUT SYNDROME BURNOUT SYNDROME หรือ ภาวะหมดไฟจากการทำงาน เป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ส่งผลจิตใจ ที่เกิดจากความเครียดจากการทำงานมากเกินไป ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มากจากรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่หักโหมทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ภาระงานหนักมากเกินจำเป็น ทำงานเกินขอบเขต เจองานที่ไม่ถนัดแล้วต้องทำให้เสร็จอย่างเร่งรีบ อาจพบว่าตนเองไม่เหมาะสมกับงานดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น กดดันตัวเองว่าทำได้ไม่ดีเท่าเขา ชีวิตไม่มีความสุข สุดท้ายอาจกลายเป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเองและหมดกำลังใจในการทำงาน ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ซึ่งหากสะสมความรู้สึกนี้ไว้เรื่อยๆ นานวันเข้าอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้าได้วิธีแก้อาการ BURNOUT SYNDROME มีอะไรบ้างมาดูกันพักผ่อนร่างกายและจิตใจ ดูแลตัวเองให้มากขึ้น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอทานอาหารที่มีประโยชน์ ทานให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คิดมาก ลดความเครียดลง หากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง วาดรูป ถ่ายรูป ออกไปท่องเที่ยวจัดลำดับความสำคัญให้กับชีวิต ปรับทัศนคติในการทำงานใหม่ เปิดใจคุยกับคนรอบตัว หากคุณยังมีอาการของภาวะ BURNOUT SYNDROME อยู่ การขอคำปรึกษาและคุยกับใครสักคน เป็นสิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสบายใจและลดความเครียดลงได้ หากว่าคุณยังรู้สึกท้อแท้ ผิดหวัง ไม่สามารถจัดการกับความเศร้าได้และมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคซึมเศร้า ดังนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาโดยเร็ว อย่าปล่อยให้ความรู้สึกนั้นกลืนกินตัวตนของคุณไปภาวะหมดไฟ Burnout Syndrome ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวและสามารถหายได้ หากคุณได้ลุกขึ้นมาจัดการกับความคิดตัวเองใหม่ เลิกกดดันตัวเองและปล่อยให้ตัวเองได้เป็นอิสระทางความคิดมากขึ้น เพียงแค่นี้คุณจะเริ่มดีขึ้นและกลับมาใช้ชีวิตได้สดใส ไร้ความกังวล และอย่าลืมว่า....อะไรที่มันหนักไปก็วางลงบ้าง โฟกัสชีวิตของตัวเอง หาความสมดุลให้กับชีวิต แล้วคุณจะพบกับความสุข  เครดิตภาพประกอบภาพปก โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 1 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 2 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 3 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ)ภาพที่ 4 โดย bellaluboo (เจ้าของบทความ) เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

"ออฟ-กัน-ดิว" ชวนเคลิ้มเกินต้าน ประเดิมตอนแรกซีรีส์ "Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ"
อ่าน

"ออฟ-กัน-ดิว" ชวนเคลิ้มเกินต้าน ประเดิมตอนแรกซีรีส์ "Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ"

เปิดบาร์ "BURNOUT" ตอนแรกก็จุดไฟแซ่บจนลุกโชน กับซีรีส์เรื่องใหม่ล่าสุด "Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ" เมื่อเหล่าคนหมดใจจุดไฟ รักกัน จาก GMMTV คอนเทนต์โพรไวเดอร์ชั้นนำของ เมืองไทย กับการพบกันอีกครั้งของ 2 นักแสดงคู่ฮอตตลอดกาล "ออฟ จุมพล อดุลกิตติพร" และ "กัน อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์" ที่คราวนี้จับมือหนุ่มฮอต "ดิว จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์" รวมแก๊งคนหมดไฟ ทำเอาแฟน ๆ นั่งจิกเบาะทั้งลุ้นและเคลิ้มไปกับลีลาของ 3 หนุ่มที่แข่งกันเต๊าะ และ อ่อย กันตลอดเรื่องว่าใครจุดไฟเก่งกว่ากัน ในงาน "Burnout Syndrome Begins" พร้อมด้วยผู้กำกับฯ ฝีมือเยี่ยม "นุชชี่ อนุชา บุญยวรรธนะ" มาร่วม พูดคุยมาร่วมพูดคุยถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำงาน และพิเศษสุด ๆ กับสเปเชียลโชว์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากเหล่านักแสดงที่เตรียมมามอบให้แฟน ๆ ได้เคลิ้มเกินต้าน เมื่อวันพุธที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ที่ ชั้น 6 สยามพารากอน โรงภาพยนตร์สยาม ภาวลัย Paragon Cineplex ที่ผ่านมา "ออฟ-กัน-ดิว" ชวนเคลิ้ ประเดิมตอนแรกซีรีส์ "Burnout Syndrome" ดูทีวีออนไลน์ ช่องGMM25 เปิดเวทีปลุกไฟในตัวด้วยเพลงหวาน ๆ "เรียกว่ารักได้ไหม (Is This Love)" จาก "ออฟ" ต่อด้วยเพลง "มากกว่าที่รัก (More Than Words)" จาก "กัน" จากนั้นพิธีกรอารมณ์ดี "ก๊อตจิ ทัชชกร" ขึ้นกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ พร้อมแสดงความยินดีกับ "ออฟ-กัน" ครบรอบ 10 ปี งานนี้ ก๊อตจิ เลยให้ ทั้งคู่พูดความรู้สึกถึงกันและกันที่อยู่ด้วยกันมาตลอด และถ่ายรูปวันครบรอบเก็บเป็นที่ระลึก พร้อมย้อนความ ทรงจำกับซีรีส์ที่เล่นด้วยกันมาทั้งหมด 8 เรื่องด้วยการถ่ายรูปตามโปสเตอร์ซีรีส์แต่ละเรื่อง เริ่มด้วยเรื่องแรกที่ทำ ให้ทั้งคู่มาเจอกัน "รุ่นพี่ Secret Love Puppy Honey" และเรื่องแรกปังมาก เรื่องที่สองเลยตามมาติด ๆ "รุ่นพี่ Secret Love 2 Puppy Honey สแกนหัวใจนายหมอหมา" ไปกันต่อกับโปรเจกต์ "Our Skyy ตอน ปิ๊กโรม" เรื่องที่ 4 เรื่องนี้หลายคนยังจำตำนานไอ้ค่ายได้ดี ใน "ทฤษฎีจีบเธอ Theory of Love" เรื่องที่ 5 ศูนย์รวมความอลเวง "คนละทีเดียวกัน Im Tee, Me Too" เรื่องที่ 6 เรื่องนี้พลิกบทบาทมาก ๆ กับ "Not Me เขา..ไม่ใช่ผม" เรื่องที่ 7 พี่หมอกับน้องเชฟ "Cooking Crush อาหารเป็นยังไงครับหมอ" เรื่องที่ 8 ความรักในออฟฟิศ "The Trainee ฝึกงานเทอมนี้ รักพี่ได้มั้ย" และเรื่องล่าสุด "Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ" เมื่อเหล่าคน หมดใจจุดไฟ รักกัน ทำเอาแฟน ๆ อิ่มอกอิ่มใจ อินฟินกับเคมีทำลายล้างของ "ออฟ-กัน" ไปตาม ๆ กัน จากนั้นเชิญ "ดิว" ขึ้นมาร่วมพูดคุยถึงความพิเศษของปกนิยายและรูปประกอบสวย ๆ ในหนังสือที่มาจาก ฝีมือการวาดของ "ดิว" ต่อด้วยพูดคุยถึงคาแรกเตอร์ตัวละครที่แต่ละคนได้รับ กับเรื่องราวรักสามเส้าและทีเด็ด ความลับของตัวละครแต่ละตัวที่ปกปิดเอาไว้ ด้วยการเชิญผู้กำกับ "นุชชี่" ขึ้นมาร่วมพูดคุย ถึงเบื้องหน้าและ เบื้องหลังในการทำงาน กับเสียงชื่นชมทั้งเรื่องภาพและเพลง การตัดต่อที่อาร์ตมาก รวมถึงคาแรกเตอร์ของ นักแสดงทั้งสามคนที่ฉีกไปจากเรื่องก่อน ๆ ทีมงานเลยรวบรวมซีนที่ถูกแคปไปแซวในโซเชียลมาให้ดูหลายซีน ส่วนหลังกล้อง "นุชชี่" ก็เมาท์มอยความประทับใจ กับ ภาวะน่ารักเกินของ "กัน" ภาวะหน้าเกร็งของ "ออฟ" และภาวะหน้าแกล้งของ "ดิว" จากนั้นทั้งหมดถ่ายรูปรวมเก็บเป็นความทรงจำ ก่อนที่จะไปรับชมซีรีส์ตอนแรก พร้อมกัน ซึ่งตลอดการรับชมก็เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงฮือฮาจากแฟน ๆ เป็นระยะ บางซีนทำเอาคนดูทั้งใจเต้น ทั้งเคลิ้มจนเกือบลืมหายใจ ก่อนจะส่งท้ายความสุขด้วยโชว์จาก "ออฟ-กัน" กับเพลงประกอบซีรีส์ "My Forever" ส่งแฟน ๆ กลับบ้านด้วยความอบอุ่นประทับใจ ติดตามชมซีรีส์ "Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ" ทุกวันพุธ เวลา 20.30 น. ทางช่อง GMM25 และพร้อมอัปเดตทุกความเคลื่อนไหวได้ที่ www.facebook.com/gmmtvofficial IG YouTube X Weibo : GMMTV อ่านข่าวบันเทิงวันนี้ที่เกี่ยวข้อง : เรื่องย่อ Burnout Syndrome ภาวะรักคนหมดไฟ ช่อง GMM25 (ตอนแรก)

5 วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็น Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟในการทำงาน
อ่าน

5 วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็น Burnout Syndrome ภาวะหมดไฟในการทำงาน

ภาวะหมดไฟในการทำงาน หรือ Burnout Syndrome คือ ภาวะที่เกิดจากความเครียดสะสมเป็นเวลานานจนทำให้มีความอ่อนล้า อ่อนเพลีย ขาดความสุขในการทำงานรวมไปถึงขาดประสิทธิภาพในการทำงาน บางรายอาจส่งผลไปถึงเรื่องชีวิตประจำวัน รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ขาดแรงจูงใจ รู้สึกเบื่อหน่ายสภาพแวดล้อมรอบตัว ซึ่งหากใครที่มีอาการในลักษณะนี้ก็ยังถือว่าไม่รุนแรงมาก แต่หากปล่อยไว้นานโดยที่เรายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ อาการเหล่านี้ก็อาจจะรุนแรงขึ้นและสามารถพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าได้เช่นกัน ภาวะหมดไฟในการทำงานได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโรคใหม่จากองค์กรอนามัยโลก (WHO) หากใครที่เป็นโรคนี้ควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนที่โรคนี้จะอันตรายมากขึ้นจนถึงขั้นกระทบชีวิตของผู้ป่วย แต่ก่อนที่จะปล่อยให้อาการนี้ลุกลามและยากต่อการรับมือ วันนี้เราได้รวบรวมวิธีดูแลตนเองเมื่อมีภาวะ Burnout Syndrome แต่ละวิธีควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ 5 วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็น Burnout Syndrome 1. ลดความเครียด ภาวะหมดไฟในการทำงาน เป็นภาวะที่เกิดจากความเครียดสะสมรวมไปถึงการทำกิจกรรมซ้ำ ๆ เดิม ๆ ดังนั้นนอกจากจะต้องพยายามลดความเครียดให้ได้ เราควรปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการเปิดให้โอกาสให้ตัวเองได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ เช่น ลองรับประทานอาหารที่รสชาติแปลกใหม่ ลองเปลี่ยนวิธีการเดินทางไปทำงาน แบบนี้ก็จะช่วยลดความเบื่อหน่ายที่ตนเองต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ค่ะ 2. พักผ่อนให้เพียงพอ หลายคนที่มีความเครียดและนอนไม่หลับ หากเราเป็นแบบนี้นาน ๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ และทำให้เราหมดไฟ เบื่อหน่ายกับสิ่งรอบตัวได้ ดังนั้นเราควรจะต้องหาเวลาพักผ่อน ทั้งการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและการผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด โดยเราอาจจะออกไปเที่ยวพักผ่อน หรือหากิจกรรมที่ชอบ หรือแม้แต่การออกกำลังกายก็สามารถช่วยได้ค่ะ 3. ระบายให้ใครฟัง การระบายความเครียดออกมาด้วยการพูดคุยกับเพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัว ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดสะสมได้ ซึ่งหลายครั้งเมื่อเราได้เล่าเรื่องที่กำลังกลุ้มใจให้ใครสักคนฟัง ก็เป็นเหมือนกับการได้ระบายความทุกข์ที่อึดอัดในใจให้ออกไป เมื่อระบายแล้วก็อาจจะช่วยเรียกพลังให้กลับคืนมาและทำให้เรารู้สึกดีขึ้นได้ 4. ให้กำลังใจตัวเองเสมอ กำลังใจจากคนรอบข้างเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราผ่านภาวะนี้ไปได้ แต่นอกเหนือจากนั้นและสำคัญกว่าคือการหมั่นให้กำลังใจตัวเองค่ะ เพราะต่อให้เราจะไม่มีใคร แต่เราก็สามารถที่จะเสริมกำลังใจให้กับตัวเองได้อยู่เสมอโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น 5. ออกกำลังกาย การออกกำลังกายสามารถช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้ เพราะการออกกำลังสามารถทำให้ร่างกายหลั่งสารอะดรีนาลีน ซึ่งสามารถช่วยให้เรารู้สึกตื่นตัว รวมถึงการออกกำลังกายยังช่วยให้เรานอนหลับได้ดีและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาอาการนอนไม่หลับได้อีกด้วยค่ะ บทความที่คุณอาจสนใจ 4 วิธี เติมพลังบวกให้ชีวิต สุขภาพจิตดี ลดความเครียด 10 วิธีมีความสุข ที่จะช่วยให้ผ่านวันเลวร้ายได้แบบสวยๆ

OFFICE SYNDROME คืออะไร?
อ่าน

OFFICE SYNDROME คืออะไร?

     ส่วนใหญ่คนทำงาน office ในลักษณะงานที่ต้องนั่งทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ มักจะมีอาการปวดตึงคอบ่าเป็นประจำ โดยอาการปวดตึงคอบ่ามักจะมีอาการเป็นๆหายๆ หรือมีอาการปวดสลับข้างกัน เช่น วันนี้มีอาการปวดตึงคอบ่าข้างขวาผิดปกติ แต่ในวันรุ่งขึ้นกลับมีอาการปวดตึงคอบ่าข้างซ้ายแทนอาการปวดข้างขวา ซึ่งสาเหตุการปวดส่วนใหญ่มาจากการที่กล้ามเนื้อทำงานมากเกินไปในท่าใดท่าหนึ่งติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน หรือที่เรียกว่า "overuse" นั่นเอง ทำให้โรค office syndrome พบได้ง่ายและพบได้ทั่วไปในกลุ่มพนักงานที่นั่งทำงาน office จนถือว่าเป็นโรคยอดฮิตสำหรับพนักงาน office กันเลยทีเดียว (ภาพประกอบโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/275-ake99582-ae-jpg/)        "สาเหตุหลัก" ที่ทำให้พนักงาน office ส่วนใหญ่เป็นโรค office syndrome กันเยอะมาจากการนั่งทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ร่วมกับท่าทางหรือลักษณะในการนั่งทำงานที่ไม่ถูกต้อง เช่น      1.นั่งไหล่ห่อหลังค่อม      2.ลักษณะโต๊ะหรือเก้าอี้ที่นั่งทำงานสูงหรือต่ำเกินไป      3.คอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คอยู่ห่างจากระดับสายตามากเกินไป      4.นั่งทำงานท่าเดิมติดต่อกันเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีช่วงพัก (ภาพประกอบโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/woman-checking-email-meeting/)        อาการโดยทั่วไปของ "office syndrome" คือ      1.ปวดตึงคอบ่า      2.ปวดคอบ่าร้าวลงแขน      3.ปวดคอบ่าร้าวไปกระบอกตา      4.ปวดคอบ่าร้าวไปกกหู      **อาจจะมีอาการทั้ง 2 ข้าง หรือข้างใดข้างหนึ่งสลับกัน โดยมักจะมีอาการเป็นๆหายๆ        แนวทางการดูแลตนเองสำหรับหนุ่มสาวชาว office (ภาพประกอบโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/team-business-people-stacking-hands/)        1.นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง โดยพยายามนั่งหลังตรงมองตรงไปข้างหน้า      2.ปรับโต๊ะและเก้าอี้ให้อยู่ในความสูงที่เหมาะสมกับตนเองให้มากที่สุด โดยลักษณะความสูงต่ำของโต๊ะที่ถูกต้องคือ ขณะที่นั่งทำงานบนโต๊ะไหล่ทั้งสองข้างต้องวางอยู่ในระดับปกติค คือไม่นั่งยักไหล่ในกรณีที่โต๊ะสูงเกินไป หรือไม่นั่งก้มหลังไหล่ห่อในกรณีที่โต๊ะต่ำเกินไป ข้อศอกงอประมาณ 90 องศา ส่วนลักษณะความสูงต่ำของเก้าอี้ที่ถูกต้องคือ ขณะที่นั่งบนเก้าอี้เท้าควรจะวางแนบกับพื้นพอดีโดยที่เข่าและสะโพกงอประมาณ 90 องศา (ความสูงต่ำของโต๊ะและเก้าอี้ต้องสัมพันธ์กัน)      3.จัดให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือโน๊ตบุ๊คอยู่ห่างจากระดับสายตาพอดี ไม่ให้ก้มหรือเงยมากเกินไป      4.ควรมีช่วงพักระหว่างนั่งทำงาน เช่น ลุกขึ้นไปห้องน้ำ หรือลุกขึ้นไปกินน้ำ หลังจากทำงานติดต่อกันมากกว่า 2 ชั่วโมง เพื่อเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน      การดูแลตนเองเบื้องต้นที่ได้กล่าวไว้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยลดอาการปวดเนื้อปวดตัวหลังจากทำงานมาทั้งวันให้กับหนุ่มสาวชาว office และช่วยให้ทำงานได้โดยไม่มีอาการปวดให้รำคาญใจ หวังว่าบทความสั้นๆบทนี้จะมีประโยชน์กับชาว office ทุกคนค่ะ (ภาพหน้าปกโดย : https://www.lifeofpix.com/photo/270-niwat6121-jj-jpg/)                    

วิธีเอาชนะการ ฺBurnout
อ่าน

วิธีเอาชนะการ ฺBurnout

ความเบื่อหน่ายในการทำงานเกิดจากความเครียดเรื้อรังในที่ทำงาน มีปัญหามากมายที่ต้องแก้อยู่เสมอ สิ่งที่น่ากลัวคือความเหนื่อยหน่ายนั้นจะไม่ส่งผลแค่เรื่องงาน ถ้าปล่อยไว้ก็อาจส่งผลต่อชีวิตส่วนตัวด้วย พอนานวันความเนื่อยหน่ายนั้นก็จะส่งผลให้คุณกลายเป็นคนเฉยเมยและไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างอีกต่อไป อย่างที่เรียกกันว่า หมดไฟ หรือ Burnout  แต่เราจะยอมแพ้มันไม่ได้ ต้องชนะเท่านั้นเราถึงจะใช้ชีวิตต่อไปได้ Photo by Gregory Hayes on Unsplash วิธีเอาชนะ  ฺBurnout ปรับเปลี่ยนความคิด ค้นหาความหมายในงานที่คุณทำ หากคุณกำลังประสบกับความเบื่อหน่ายอาจเป็นเพราะว่าคุณไม่เห็นความสำคัญกับงานที่คุณทำอีกต่อไป ถึงแม้ว่าตอนเริ่มต้นทำงานใหม่ ๆ คุณจะมีความหลงใหลและมีไฟในการทำงานนนี้ขนาดไหนก็ตาม หากเมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับงานที่ทำแล้ว ลองเปลี่ยนมุมมองใหม่อีกครั้ง มองให้เห็นความสำคัญของงานที่กำลังทำอยู่ งานทุกงานมีความหมายแม้จะเป็นงานเล็กน้อยก็ตาม คิดถึงเป้าหมายที่วางไว้แล้วยึดมั่นไว้ให้แน่น หรือแสวงหาโอกาสในงานที่คุณทำ จะทำให้มีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น Photo by Thought Catalog on Unsplash หาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน หากชีวิตคุณทำแต่งาน งาน งาน ก็ไม่แปลกที่จะรู้สึกหมดไฟและหมดใจในการทำงานเข้าสักวัน เพราะไม่มีใครสามารถทำงานได้ทั้งวันและทุกวันได้โดยไม่รู้สึกเบื่อหน่ายและเหนื่อยล้า ลองหางานอดิเรกหรือสิ่งที่คุณสนใจทำ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ทำมิชชั่นดูหนัง ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร เล่นกีฬา จนถึงการรเียนคอร์สเสริมความรู้ความสามารถอย่างจริงจัง หากลุ่มคุยกับคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กัน ทำอะไรก็ได้ ที่ไม่ปล่อยให้เวลาว่างแล้วคุณจะต้องคิดถึงแต่งาน งาน และงาน จะทำให้ชีวิตคุณมีความหมายมากขึ้น มีสังคมที่มากกว่าในที่ทำงาน ถึงแม้งานจะเหนื่อยก็ยังมีสิ่งที่มีทำให้คุณรู้สึกมีความสุขในชีวิต มีแรงขับเคลื่อนในชีวิตต่อไปPhoto by Christina @ wocintechchat.com on Unsplashเรียนรู้ที่จะพูดคำว่า "ไม่"  งานของคุณคนเดียวอาจจะเครียดพอตัวแล้ว แล้วถ้าหากต้องรับภาระงานของคนอื่นด้วยก็จะทำให้คุณต้องทำงานหนักขึ้น ความมุ่งมั่นและความกระตือรือร้นในการทำงานเป้นสิ่งที่ดี แต่ถ้ามากเกินจนต้องเผื่อแผ่ไปถึงการทำงานให้คนอื่นด้วย ก็อาจจะไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่ารุ้สึกผิดที่จะพูดคำว่า "ไม่" บางครั้งเพียงเพราะคุณทำอะไรบางอย่างได้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทำ อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้คุณสามารถทำงานต่อไปได้คือสุขภาพร่างกายและจิตใตของคุณ ถ้าเกิดคุณเจ็บ่วยขึ้นมาก็ไม่มีใครรับผิดชอบมันได้นอกจากตัวคุณเอง     Photo by Zan on Unsplashผ่อนคลายให้มากขึ้น เวลาพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะการทำงาน ถ้าคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ คุณก็ไม่มีแรงในการทำงานให้ดีได้เช่นกัน หากคุณกำลังประสบกับความเหนื่อยล้าและเบื่อชีวิตอย่างรุนแรงให้รู้ไว้ว่าคุณกำลังทำงานหนักเกินไปจนไม่มีเวลาให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อน หากใครต้องการพักยาวหน่อยก็ถือโอกาสลาหยุดไปเลย ออกไปเที่ยวบ้างก็ได้หรือไม่ต้องไปไหนก็ได้ แค่นอนเล่น ดูหนัง ฟังเพลงที่บ้านก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายแล้ว แต่ถ้าหากรู้สึกเบื่อเหลือเกินขณะกำลังทำงานก็อาจขอออกไปสูดอากาศนอกออฟฟิศสักครู่ Photo by Anthony Tran on Unsplashปรึกษาคนที่คุณไว้ใจหรือแพทย์ การระบายความรู้สึกให้ใครสักคนฟังจะช่วยปลดปล่อยความรู้สึกแย่ที่คั่งค้างอยู่ในใจคุณได้ หาใครก็ได้ที่คุณไว้ใจว่าถ้าเล่าเรื่องแย่ต่าง ๆ ไปแล้ว เขาจะไม่เล่าต่อถ้าคุณไม่อยากให้เล่าหรือไม่ซ้ำเติมคุณจนเครียดกว่าเดิม แต่ถ้าหากมองไม่เห็นใครเลยการปรึกษาแพทย์ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี การคุยกับมครสักคนนอกจากจะทำให้คุณเครียดน้อยลงแล้วยังอาจได้คำแนะนำดี ๆ ที่คุณคาดไม่ถึงก็เป็นได้  Photo by LinkedIn Sales Navigator on Unsplash  หากใครเริ่มเบื่องาน เบื่อชีวิต หมดกำลังใจจะทำอะไรแล้ว อย่าปล่อยไว้นาน ต้องรีบแก้ไข ไม่อย่างนั้นอาจทำให้คุณหมดไฟจนกู่ไม่กลับ กว่าจะฟื้นได้ต้องใช้เวลานาน อาจเสียเวลาทำในสิ่งดี ๆ ในชีวิตอย่างอื่นไปอีกมากมาย  Cover Photo by Wesley Eland on Unsplash

7 สิ่งต้องห้าม ที่คน Burnout ไม่ควรทำ (แต่เผลอทำประจำ)
อ่าน

7 สิ่งต้องห้าม ที่คน Burnout ไม่ควรทำ (แต่เผลอทำประจำ)

เมื่อความเหนื่อยล้าสะสมมาจนถึงขีดสุด หลายคนอาจพยายามแก้ไขภาวะ Burnout ด้วยสัญชาตญาณ ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และนำไปสู่ความทรุดโทรมทั้งทางกายและใจที่หนักขึ้นกว่าเดิม เพราะความพยายามเหล่านั้น ขัดแย้งกับสิ่งที่ร่างกายและจิตใจต้องการอย่างแท้จริง  ถ้าคุณกำลังรู้สึกหมดไฟ และยังคงทำสิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงเหล่านี้อยู่ โปรดหยุด! เพราะนี่คือ "7 สิ่งต้องห้าม" ที่ทำลายความสมดุลของคุณโดยไม่รู้ตัว 1. ดื่มกาแฟหนักขึ้น เมื่อรู้สึกสมองตื้อ สิ่งแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่มักจะทำก็คือ การเพิ่มปริมาณ คาเฟอีน อย่างไม่บันยะบันยัง เพื่อสั่งให้ร่างกายพยายาม 'สู้' ต่อ แต่ในภาวะ Burnout ร่างกายของเราไม่ได้ต้องการสารกระตุ้นขนาดนั้น มันต้องการ การพักผ่อนและการฟื้นฟู ต่างหาก การเติมคาเฟอีนหนัก ๆ เป็นแค่การหลอกตัวเองให้เชื่อว่า 'ฉันได้เติมพลังงานแล้ว' ซึ่งนั่น เป็นการรบกวนวงจรการนอนหลับตามธรรมชาติ และเมื่อถึงช่วงเวลาที่เราต้องการพักจริง ๆ ก็จะยิ่งนอนไม่หลับ ทำให้วงจรความเหนื่อยล้าเป็นไปอยู่อย่างนั้นไม่จบไม่สิ้น   2. ตั้งตารางงานแบบแน่นเป๊ะ 100% ในภาวะที่รู้สึกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ หลายคนอาจพยายามกลับไปควบคุมทุกอย่างด้วยการ สร้างตารางเวลา ที่แน่นเอี๊ยด และสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อหวังจะไปให้ถึงปลายทาง แต่สิ่งนี้กลับเป็นการ สร้างภาระทางจิตใจ ที่หนักขึ้นกว่าเดิม เมื่อร่างกายเราทำไม่ได้ตามตารางที่วางไว้ เสียงวิจารณ์ภายใน (Self-Criticism) จะดังขึ้นทันที ทำให้เราเกิดความรู้สึกผิด และล้มเหลว อย่างรุนแรง การตั้งเป้าหมายที่ ยืดหยุ่น ต่างหาก คือสิ่งจำเป็นสำหรับจิตใจที่อ่อนล้า   3. ตอบอีเมลและข้อความทันที (แม้ในเวลาพัก) การตอบสนองต่อทุกการแจ้งเตือน แม้กระทั่งนอกเวลางาน(ที่เรารัก) เป็นพฤติกรรมที่ทำลาย ขอบเขต ระหว่าง ชีวิตส่วนตัว กับ การทำงาน การทำเช่นนี้ทำให้สมองและจิตใจไม่เคยได้เข้าสู่โหมดพักผ่อนอย่างสมบูรณ์แท้จริง เพราะสิ่งนี้หมายถึง เราได้ส่งสัญญาณให้สมองจดจำแล้วว่า "งานสำคัญกว่าการฟื้นฟูตัวเอง"  การให้ความสำคัญกับงานตลอด 24 ชั่วโมง จึงถือเป็นทางลัดสู่ความอ่อนล้าทั้งทางอารมณ์และร่างกายที่รุนแรงที่สุด   4. เที่ยว/ปาร์ตี้หนักเพื่อ "ชาร์จพลัง" หลายคนคิดว่าการปลดปล่อยความตึงเครียดด้วยกิจกรรมที่ตื่นเต้น หรือดื่มหนัก ในวันหยุด คือการได้เติมพลังหลังเหนื่อยจากงาน โดยเฉพาะในฤดูที่อากาศเย็นสบายใกล้ช่วงเทศกาลสิ้นปีแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงรู้สึกอยากสังสรรค์แบบสุดเหวี่ยง แต่การพักผ่อนที่มีประสิทธิภาพจริง ๆ สำหรับคนที่ใกล้หมดไฟคือ การ ฟื้นฟู ไม่ใช่การ หลีกหนี การหักโหมเที่ยว หรือปาร์ตี้อย่างหนัก อาจช่วยให้ลืมงานได้ชั่วคราว แต่มันก็อาจทำให้ร่างกายเราเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้นไปอีกได้เช่นกัน และเมื่อความเหนื่อยล้าทางกายถึงขีดสุด จิตใจของเรานั้นก็จะยิ่งอ่อนแอลง การสังสรรค์แต่พอดี คือแนวทางที่พอเหมาะที่จะช่วยให้เราได้ชาร์จพลังอย่างมีความสุข   5. เปรียบเทียบตัวเองกับความสำเร็จของคนอื่น การไถฟีดโซเชียลมีเดียเพื่อหาแรงบันดาลใจจากความสำเร็จของคนอื่น ในขณะที่เรากำลัง Burnout คือการทำร้ายจิตใจตัวเองซ้ำ ๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะมันจะกระตุ้นเสียงวิจารณ์ในหัวให้รุนแรงขึ้นทันที สิ่งนี้จะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และยังไร้ความสามารถกว่าคนพวกนั้น อีกด้วย การเปรียบเทียบทำให้คุณมองไม่เห็นความก้าวหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตัวเองทำได้ และจะยิ่งทำให้ ถลำลึกสู่ความรู้สึกหดหู่ ไปจนถึง ไม่รู้คุณค่าของตัวเอง เราควรเปลี่ยนการเปรียบเทียบนั้น เป็นการแสดงความชื่นชมในความสำเร็จ หรือใช้มันเป็นแรงบันดาลใจ จะดีกว่า   6. พยายามจบปัญหาด้วยตัวคนเดียว การพยายามแบกรับปัญหาไว้คนเดียวทั้งที่รู้ว่าเกินกำลัง เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในการทำงานกับส่วนรวม อาจเพราะจากความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า การขอความช่วยเหลือคือความอ่อนแอ แต่การฝืนทำในสิ่งที่เห็นแล้วว่าทำไม่ได้ นอกจากจะทำให้ปัญหานั้นส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงานแล้ว ยังทำให้ตัวเรารู้สึกกดดันและเครียดมากขึ้นด้วย  ซึ่งนั่นเลวร้ายยิ่งกว่า การยอมรับว่าเราแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย การตัดสินใจ ปรึกษา หัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน และ ขอความช่วยเหลือ เมื่อรู้สึกหมดหนทาง คือทางออกที่ดีที่สุดที่จะช่วยรักษาสภาพจิตใจของเราไว้ และยังเปิดโอกาสให้เราได้รับรู้ถึงคุณค่าความสัมพันธ์อีกด้วย   7. ระบายความรู้สึกใส่คนรอบข้าง เป็นเรื่องปกติที่การทำงานจะทำให้รู้สึกเครียดและต้องการระบาย แต่การบ่น การโวยวาย หรือการแสดงถึงอารมณ์ส่วนตัวที่มากเกินไป กับเพื่อนร่วมงาน อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม เพราะทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องอดทนและจัดการกันอยู่แล้ว การเรียกร้องความเข้าใจในลักษณะนี้ อาจทำให้เราสูญเสียมากกว่าได้—พื้นที่ปลอดภัยทางสังคมที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูความรู้สึก หากต้องการระบายความเครียด ควร สื่อสารอย่างมีสติ และรับฟังผู้อื่นไปพร้อมกัน ในระดับที่พอเหมาะพอดี เพื่อที่จะสามารถ รักษาสมดุลทางอารมณ์ ร่วมกันได้   การจะหลุดพ้นจากภาวะ Burnout ได้อย่างแท้จริง ต้องเริ่มจากการ หยุดทำสิ่งที่เคยชินเหล่านี้ ให้ได้เสียก่อน การเยียวยาที่ดี คือการอนุญาตให้ตัวเอง มีสิทธิ์ ได้พักอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่มีความรู้สึกผิดมาบงการ และเมื่อคุณกล้าที่จะหยุดพฤติกรรมต้องห้ามเหล่านั้นได้จนสำเร็จ นั่นหมายถึง คุณได้เริ่มต้นการรักษาสมดุลของร่างกายและจิตใจเพื่อความสำเร็จที่ยั่งยืนของตัวคุณเองแล้ว   แหล่งที่มาของภาพ: ภาพปก: Photo by Andrea Piacquadio: https://www.pexels.com/ / Canva ภาพประกอบที่ 1: Photo by Cyril Saulnier on Unsplash  ภาพประกอบที่ 2: Photo by RDNE Stock project: https://www.pexels.com ภาพประกอบที่ 3: Photo by Jakub Żerdzicki on Unsplash  ภาพประกอบที่ 4: Photo by Aleksandr Popov on Unsplash  ภาพประกอบที่ 5: Photo by Melyna Valle on Unsplash  ภาพประกอบที่ 6: Photo by Anna Shvets: https://www.pexels.com ภาพประกอบที่ 7: Photo by Jan Kopřiva: https://www.pexels.com   #Burnout #การทำงาน #สุขภาพ #WorkLifeBalance #จัดระเบียบชีวิต #กายใจ   เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

ภาวะหมดไฟ หรือ BURNOUT
อ่าน

ภาวะหมดไฟ หรือ BURNOUT

ภาวะหมดไฟ คืออะไร เกิดจากความเครียดสะสม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องครอบครัว สะสมมากๆจนไม่มีแรง อารมณ์ อยากทำอะไรเลยเรียกง่ายๆว่าไม่มีแรงบันดาลใจซึ่งมันเกิดได้กับทุกคน ผู้ที่มีภาวะนี้ให้เข้าพบแพทย์หรือเชี่ยวชาญ แต่ว่าภาวะนี้มี 5 ระยะ ส่วนนี้นักเขียนจะขอไม่เขียนลงนะ แต่ว่าสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ ภาวะหมดไฟ จาก medparkhospital  วันนี้เราจะมาบอกวิธีรับมือ Burnout1.ออกกำลังกายการออกกำลังกาย กิจกรรมที่จะช่วยให้เราผ่อนคลาดและได้สุขภาพที่แข็งแรง การออกกำลังจะช่วยให้เราสงบและกำจัดความเครียดได้ด้วย นักเขียนอยากให้ทุกคนอยากเปลี่ยนความคิดหรือmindset ให้การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวันเหมือนการแปรงฟันให้การออกกำลังกายเป็นกิจวัตรประจำวัน มีเวลาก็ออกเยอะหน่อย เวลาน้อยก็ยืดเส้นก่อนนอน 10 นาทีแบบนี้ก็ได้ แค่ให้การออกกำลังกายได้อยู่กับคุณทุกวัน2.ดูหนัง / ฟังเพลงดูหนัง ฟังเพลง เค้าช่วยให้เรามีสมาธิทำให้เราไม่วอกแวก และผ่อนคลาดอารมณ์ ให้เลือกเพลง หนัง ให้ที่ช่วยฮีลใจตัวเองแต่ถ้าใครอกหักมาและอยากจะร้องไห้ให้สุดจะเปิดเพลงอกหักก็ได้นะ การดูหนัง ฟังเพลง จะช่วยเปิดจินตราการและเสริมอารมณ์ที่ดีอีกด้วยเพลงที่อยากจะแนะนำมีอะไรบ้าง1.NCT 127 - Road Trip2. NCT DREAM - BEAUTIFUL TIME3.Taeyeon (feat. Verbal Jint)' –  Iหนัง ซีรีส์ ที่ฮีลใจ1.Blind Side2.เททั้งใจให้เลขาคิม What's Wrong with Secretary Kim3.it okay to not be okay3.ออกไปพบปะผู้คนการออกไปเที่ยวหรือออกไปเจอเพื่อน ครอบครัวเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยให้เราได้แลกเปลี่ยนความคิด ได้พูดคุยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า โลกไม่ได้หมุนล้อมตัวคุณอยู่แต่เป็นคุณที่หมุนรอบโลก ปัญหาไม่ได้มีแค่คุณคนเดียว แต่ปัญหามันมีกับทุกคนเราจะปรับตัวหรือแก้ไขปัญหายังไงต่างหาก 4.หากิจกรรมใหม่ๆ ฝึกทักษะใหม่ๆหากิจกรรมใหม่ อ่านหนังสือ เล่นเกม ทำอาหาร เพิ่มทักษะใหม่ๆ จะช่วยให้เราโฟกัสมากขี้น ช่วยให้เราลดความความเครียด หรือทำธุรกิจเล็กเป็นรับทำข้าวกล่องให้คนในที่ทำงานได้ทั้งทักษะ รายได้และอาจจะได้เพื่อนใหม่เลยก็ได้ขอบคุณรูปจาก Andrea Piacquadio pexelsขอบคุณรูปจาก cottonbro studio pexels​ขอบคุณรูปจาก  Jimmy Liao pexels​ขอบคุณรูปจาก Andrea Piacquadio pexelsรูปหน้าปกมาจาก Nataliya Vaitkevich จาก canva จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !

สำรวจตัวเองก่อน Burnout จากการทำงาน WFH
อ่าน

สำรวจตัวเองก่อน Burnout จากการทำงาน WFH

ภาพปกจาก HaticeEROL https://pixabay.comเนื่องด้วยสถานการณ์ปัจุบันในยุคโควิดที่มีการระบาดค่อนข้างรุนแรงในประเทศตอนนี้ ทำให้เราทุกคนต้องกลับมาเริ่มต้นการทำงานแบบ WFH ใหม่อีกครั้ง และยังไม่ทราบวันที่แน่ชัดว่าสถานการณ์นี้จะดีขึ้นเมื่อไหร่ ทำให้ใครหลายๆคนอาจต้องเผชิญปัญหาทางด้านจิตใจในการทำงานที่เรียกว่า สภาวะเบิร์นเอาท์ ( Burnout ) หรือ หมดไฟ นั่นเอง เนื่องจากการทำงานที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องและไม่ได้ออกไปเจอผู้คน รวมไปถึงความกดดันในการทำงานที่อาจทำให้เรารู้สึกว่าทำไมมีแค่ตัวเราที่เผชิญปัญหานี้อยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆนี้ หลายคนอาจมีอาการเบื่อหน่ายเกิดขึ้นระหว่างวัน ความกระตือรือร้นที่เคยมีก็ค่อย ๆ หายไปทีละเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะเริ่มก่อตัวและสะสมไปเรื่อย ๆ จนทำให้เราหมดไฟและแพชชั่นในการใช้ชีวิตในแต่ละวันได้ บทความนี้จึงอยากพาทุกคนไปเรียนรู้ทำความเข้าใจให้รู้ทันตัวเองก่อนที่มันจะกลายเป็นปัญหาที่เราไม่สามารถแก้ได้ด้วยตัวเราเองได้ และอาจต้องมีการเข้าพบจิตแพทย์เพื่อดำเนินการรักษาในกระบวนการต่อไปรูปภาพจาก geralt https://pixabay.comหนึ่งในสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ใครหลาย ๆ คนเกิดสภาวะเบิร์นเอาท์ระหว่างการทำงานแบบ WFH คือ การที่เราเปิดโหมดทำงานตลอดเวลา ไม่มีเส้นแบ่งเวลาการทำงานและเวลาส่วนตัวที่ชัดเจน เหตุนี้จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยทั้งวัน หมดแรงทุกครั้งที่เลิกงาน หรือบางทีเลิกงานแล้วแต่ยังต้องเคลียร์งานให้เสร็จ ซึ่งช่วงระยะเวลาในการเคลียร์งานนั้นอาจเป็นการทำงานที่กินเวลาส่วนตัวเราไปค่อนข้างมาก นานวันไปเรื่อย ๆ เหตุการณ์วนลูปซ้ำ ๆ ก็อาจทำให้เราตกอยู่ในสภาวะเบิร์นเอาท์ได้โดยไม่รู้ตัว ผู้เขียนจึงอยากให้ทุกคนได้ลองสังเกตตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานของตัวเองโดยการแบ่งเวลาส่วนตัวและเวลาการทำงานให้ชัดเจนเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องค่อยพะวงเรื่องการทำงานตลอดเวลารูปภาพจาก nastya_gepp https://pixabay.comสัญญาณที่จะทำให้เรารู้ตัวว่าเรากำลังตกอยู่ในสภาวะหมดไฟเช่นนี้ได้ คือ การที่เราเริ่มมีความรู้สึกเบื่อหน่าย เพิกเฉย และไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามา เช่น การไม่ต้องการรับรู้เรื่องราว หรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ไม่อยากพูดคุยและรู้สึกอยากอยู่คนเดียวมากขึ้น สำหรับใครที่อยู่กันเป็นครอบครัว การตกอยู่ในสภาวะเบิร์นเอาท์มีโอกาสที่จะทำให้ปฏิสัมพันธ์ภายในครอบครัวเหินห่างกันมากขึ้นเช่นกันรูปภาพจาก mohamed_hassan https://pixabay.comการเริ่มดูแลรักษาจิตใจตัวเราเองนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้ตัวเรารู้สึกมีคุณค่าและไม่หมดแพชชั่นในตัวเอง มีความแอคทีฟที่จะใช้ชีวิตต่อไปในแต่ละวันที่มากขึ้น สิ่งที่สำคัญมากๆในการดูแลตัวเองช่วง WFH คือ การวางแผนช่วงเวลาทำงานและเวลาส่วนตัวที่ชัดเจน สิ่งๆนี้จะช่วยให้เราได้มีโอกาสในการใช้ชีวิตส่วนตัวในช่วงเวลาอื่นๆนอกเหนือจากการทำงานมากขึ้น และอีกหนึ่งคำแนะนำที่บทความนี้อยากให้ทุกคนได้ทำกัน คือ การเปิดใจพูดคุยกับใครสักคนที่เราไว้ใจได้เล่าถึงปัญหาหรือระบายสิ่งต่าง ๆ ที่เราเผชิญอยู่ การได้พูดคุยจะทำให้เรารู้สึกโล่งใจและสบายตัวมากขึ้น อาจจะเริ่มต้นด้วยการพูดคุยในเรื่องง่าย ๆ สบาย ๆ ในแต่ละวันของการใช้ชีวิตหรือกิจกรรมที่เรากำลังทำอยู่ที่รู้สึกมีความสุขและอยากแบ่งปันเรื่องราวให้กันและกัน การพูดคุยจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและสบายใจมากขึ้น และยังช่วยลดภาวะเครียดสะสมจากการทำงานได้อีกด้วย จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนนั้น เราเองก็เคยตกอยู่ภาวะหมดไฟเช่นกันในช่วงที่ผ่านมา ณ ตอนนั้นเรามีความรู้สึกว่าการทำงานในแต่ละวันของเรามันไม่สนุกและไม่ท้าทายเหมือนแต่ก่อนที่เริ่มทำงานแรก ๆ เรามีความรู้สึกว่าเราทำงานแค่ให้ผ่าน ๆ ไปแต่ละวัน ไม่มีความกระตือรือร้น หรือ หาไอเดียใหม่ๆมาต่อยอดงานที่เคยทำ นอกเหนือจากนั้นเราเริ่มต้องการอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มากขึ้นและเก็บตัวอยู่ในห้องมากขึ้นกว่าเดิม จากแต่ก่อนที่มักจะหางานอดิเรกทำช่วง เสาร์ อาทิตย์ กลับกลายเป็นว่าเรารู้สึกเหนื่อยเกินไปที่จะทำงานอดิเรกที่เราเคยทำ จนกระทั่งเพื่อนสนิทเราได้โทรมาปรึกษาและเราก็เลยได้พูดคุยแลกเปลี่ยนและอัปเดตชีวิตของกันและกันมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยและโล่งใจมากแบบหาสาเหตุไม่ได้ เราจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่เราพูดเยอะมาก ๆ เหมือนกับว่าเราได้ระบายสิ่งที่เรารู้สึกไม่สบายใจออกมา เราเริ่มรู้ตัวว่าเรานั้นอาจจะเครียดเกินไปและมีอาการหมดไฟ หมดแพชชั่นในการทำงานร่วมด้วย เราจึงพยายามค่อยๆปรับตัวและตารางการทำงานให้บาลานซ์กันมากขึ้น รูปภาพจาก cromaconceptovisual https://pixabay.comการที่เราค่อย ๆ ปรับตัวและรู้ทันอารมณ์ของตัวเองจะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตที่สมดุลมากขึ้นและยังมีแพชชั่นในการใช้ชีวิตเพื่อเติมเต็มความสุขในทุก ๆ วัน สุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ใครหลาย ๆ คนที่กำลังเผชิญภาวะหมดไฟจากการทำงาน หรือ เบิร์นเอาท์ ได้มีโอกาสในการสื่อสารกับตัวเองและทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น มีความสุขในการบาลานซ์ชีวิตส่วนตัวและการทำงานที่ดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมสู้ต่อในทุก ๆ วัน และ ( หวังว่าเร็ว ๆ นี้ ) เราจะได้ออกไปใช้ชีวิตแบบไร้ซึ่งการสวมหน้ากากอนามัยอย่างแฮปปี้กันถ้วนหน้า ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก https://www.bbc.com/worklifeเนื้อหาทั้งหมดถูกรวบรวมและเขียนโดย ผู้เขียน ( Chacha )อัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน  App TrueID โหลดเลย ฟรี !

มาทำความรู้จักกับ "Impostor Syndrome" กันเถอะ
อ่าน

มาทำความรู้จักกับ "Impostor Syndrome" กันเถอะ

มาทำความรู้จักกับ "Impostor Syndrome" กันเถอะ"Impostor Syndrome" เป็นโรคชนิดหนึ่งที่ทุก ๆ คนต้องเคยเป็นนั้นก็คือ โรคที่คิดว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอหรืออาจจะเก่งแล้วในระดับหนึ่งแต่ยังมีความคิดที่ว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอจนเสียความมั่นใจ จากที่นักเขียนได้ลองไปหาข้อมูลมาแม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จแล้วยังมีอาการของ "Impostor Syndrome" อยู่เลย โรคนี้เกิดจากการเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การเรียน การงาน ฝีมือ ทักษะ มันจะเกิดขึ้นกับสถานการณ์ที่มีเรื่องของการแข่งขันมาเป็นตัววัด และสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอนั้นก็คือ1.เราพยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว แต่ผลลัพธ์ที่มันออกมากลับไม่ตรงดั่งใจหวังเมื่อเทียบกับคนข้าง ๆ2.ประเมินความสามารถของตัวเองต่ำเมื่อได้เห็นผลงานของคนอื่น3.รู้สึกว่าสิ่งที่เราพยายามมันยังดีไม่พอหรือว่าสิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่อาจจะไม่ใช่ทางของเรา4.ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาในใจว่า ทำไมคนนั้นทำเรียนรู้แค่เวลาสั้น ๆ กลับทำได้ดีกว่าเราที่เรียนรู้มานาน5.เกิดจากการโดนติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเรียน การงานหรืออื่น ๆ ที่มาจากความผิดพลาด6.ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนที่ประสบความสำเร็จแล้วทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกที่ทำให้เรานั้น ตัดท้อ พอเราเริ่มมีความคิดแบบนี้แล้วมันจะทำให้เราเริ่มไม่อยากพัฒนาตัวเองเพราะเราคิดว่าเราเก่งไม่พอ ความรู้สึกด้านลบมันจะดึงเราให้เราทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่ก็ใช่ว่า โรค "Impostor Syndrome" จะไม่มีทางแก้ไขหรอกนะ มาดูกันเลย1.เปลี่ยน Mindset ใหม่บอกตัวเองว่า คนเรานั้นไม่เหมือนกันจริง ๆ แล้วโรคที่เกี่ยวข้องกับความคิดล้วนเกิดจาก Mindset ทั้งนั้นเพราะสิ่งที่มองเห็นมันส่งผลมายังความรู้สึกของเรามันเป็นตัวที่ทำให้เราคิด ตัวอย่างเช่นA : วาดรูปดอกไม้ได้สวยมาก ๆ ภายในเวลา 10 นาที ไม่เคยเรียนวาดภาพมาก่อนB : มองผลงานของ A และมาเปรียบเทียบกับของตัวเอง ทำให้เกิดคำถามในใจว่า ทำไม A ถึงว่ารูปดอกไม้ได้สวยขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ A ไม่เคยเรียนภาพมาก่อนแต่เราทั้งเรียน ทั้งทบทวน ทำไมถึงไม่สวยเท่ากับของ  Aนี้เป็นความรู้สึกเชิงเปรียบเทียบอย่างแท้สมบูรณ์ มันบงบอกเลยว่า B กำลังตัดท้อตัวเองและน้อยใจตัวเองที่ว่าทำไมมันเก่งไม่พอวิธีแก้ไข เลิกเปรียบเทียบและคิดว่า ทุก ๆ  งานมันจะเหมือนกันได้อย่างไร มันจะต้องมีแตกต่างกันบ้างสิ พยามให้กำลังใจตัวเองและบอกตัวเองว่า เราขอโตเติบไปในแบบของเราดีกว่า2.พยายามชื่นชมความสำเร็จเล็ก ๆ บ้างบางทีการชื่นชมความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็ทำให้เรามีกำลังใจเหมือนกันนะ อย่างเช่นA : สอบได้คะแนนเกือบเต็มB : สอบได้คะแนนผ่านครึ่งพอดี และดีใจมากที่ไม่ต้องมารอแก้ ซึ่งนี้ก็ถือว่าเป็นการประสบผลสำเร็จอย่างหนึ่งเหมือนกันในเรื่องเล็ก ๆ มันทำให้เราคิดว่า เราก็ทำได้เหมือนกันนะ 3.อย่าเอาคำว่าเก่งไม่พอ มาเป็นตัวหยุดพัฒนาบางคนพอคิดว่าตัวเองนั้นเก่งไม่พอ ก็อยากจะหยุดไปทำอย่างอื่นต่อ แต่คุณรู้ไหมการกระทำแบบนี้มันเป็นการกระทำที่สิ้นเปล่า พอคุณเปลี่ยน  คุณได้ทำสักพักและคุณก็จะกลับมาคิดเหมือนเดิมเพราะว่าคุณไม่ได้ทำสิ่ง ๆ นั้นแบบสุดจริง ๆ แล้วคุณเอาคำว่าเก่งไม่พอมาบังหน้าทำให้ไม่อยากจะทำต่อแล้ววิธีแก้ไข ร่างภาพความสำเร็จของสิ่งที่กำลังทำอยู่ไว้ก่อนว่าเรา  อยากจะเห็นความสำเร็จนั้นเป็นแบบไหนและพยามคิดว่านี้คือการเรียนรู้ เฉพาะนั้นผู้เขียนอยากให้ใครที่กำลังตกอยู่ในโรค Impostor Syndrome" โปรดเปลี่ยนความคิดใหม่ อย่าเอาคำพูดลบ ๆ มันกักกันตัวเองไม่ให้ไปต่อและท้ายที่สุด สิ่งที่มันจะทำให้เราเริ่มความคิดแบบนี้ได้ก็คือ ความพยายาม สำหรับบทความนี้ก็ได้จบลงไปแล้ว เราหวังผู้อ่านจะต้องได้อะไรกลับไปบ้างอย่างแน่นอน วันนี้จะต้องขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่ในบทความหน้านะคะ ขอบคุณค่ะบทความที่เกี่ยวข้อง"Be Creative" ในวันที่ต้องกักตัว4 วิธี ปรับตัวเองให้มี "Growth Mindset"ข้อมูลอ้างอิงPodcast Imposter syndrome ทำไมคนเราชอบคิดว่าตัวเองเก่งไม่จริง? I MOODY EP. 02ภาพทั้งหมดโดย Pixabayภาพปกจาก PixabayPixabay 1 / Pixabay 2 / Pixabay 3 / Pixabay 4 /  

5 สัญญาณอันตราย.... ว่าคุณกำลัง Burnout จากการทำงาน
อ่าน

5 สัญญาณอันตราย.... ว่าคุณกำลัง Burnout จากการทำงาน

5 สัญญาณอันตราย.... ว่าคุณกำลัง Burnout จากการทำงาน   Burnout เป็นคำอธิบายถึงภาวการณ์ทำงานอย่างหนักจนถึงจุดที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ แน่นอนว่าหากไม่รีบเช็คตัวเองว่ามีภาวะ Burnout จากการทำงาน อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานอย่างแน่นอน วันนี้จึงขอแชร์ 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณมีอาการ burnout จากการทำงานและถึงเวลาพักซะที   คุณไม่อยากไปทำงานเลย และเฝ้ารอแต่เวลาเลิกงานเพื่อที่จะได้ตรงดิ่งกลับบ้าน  เชื่อว่าข้อนี้ใครๆก็เคยเป็นกัน เรามักจะมีช่วงเวลาที่น่าเบื่อในการทำงานบ้าง หากเรารู้วิธีในการจัดการอารมณ์แต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าปล่อยผ่าน จิตใจไม่จดจ่ออยู่กับงานและประสิทธิภาพในการทำงานลดลง แน่นอนว่าเมื่อข้อที่ 1 คือคุณไม่อยากไปทำงานแล้ว สภาพจิตใจของคุณก็มักจะไม่จดจ่ออยู่กับงานที่ทำ  คุณไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและลูกค้าอีกต่อไป  อาจรวมไปถึงการหมดความอดทนต่อทั้งตัวงาน เพื่อนร่วมงานเมื่อทำผิดพลาด และลูกค้าด้วย คุณมักจะปวดหัว เครียดจนปวดท้องรวมไปถึงอาเจียน และนอนไม่ค่อยหลับตอนกลางคืน คุณเริ่มไม่อยากออกไปข้างนอก เลิกงานแล้วอยากกลับบ้านทันที   หากคุณเริ่มมีอาการตั้งแต่ข้อที 1 จนมาถึงข้อที่ 5 คุณไม่ควรคิดว่า “ไม่เป็นไร” เดี๋ยวก็หายและยังคงไปทำงานต่อไป เพราะนอกจากจะทำให้คุณทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตของคุณอีกด้วย ควรรีบหาวิธีแก้ไขด่วน วิธีแก้อาการ Burnout จากการทำงาน กินผักและน้ำให้เยอะขึ้น เป็นวิธีแนะนำที่ธรรมดาและมีการบอกเป็นล้านๆครั้ง แต่ขอยืนยันว่ามันช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นกับตัวเองจริงๆ ถ้าคุณไม่มีกะจิตกะใจจะโฟกัสกับงาน งั้นทำไมคุณไม่โฟกัสกับการห่วงใยสุขภาพคุณเองก่อนละ ออกกำลังกาย สั้นๆเลยคือร่างกายจะหลั่งสารเอนโดรฟินตอนคุณออกกำลังกาย และมันช่วยผ่อนคลายความเครียดและลืมเรื่องงานไปได้ชั่วคราว นอนให้เยอะขึ้น ถึงแม้คุณจะนอนไม่ค่อยหลับ คุณอาจจะต้องหาตัวช่วย เช่นอาหารเสริม เพื่อช่วยให้คุณได้นอนหลับลึกขึ้น การนอนคือทุกสิ่ง เยียวยาทุกอย่าง หาเวลาไปเที่ยว ให้บ่อยขึ้น แม้จะทริปสั้นๆก็ตาม และไม่ควรเอาโน้ตบุ๊กไปทำงาน คุณไม่พร้อมทำงานหรอก อย่าเพิ่งรับงานเพิ่มถ้าร่างกายและจิตใจยังไม่พร้อม ถ้ามีเพื่อนร่วมงานมาเสนองานให้คุณทำ อย่าเพิ่งรับงาน ถ้าคุณรู้ตัวว่าต้องการพัก ไม่ใช่ตอบรับเพียงเพราะว่าคุณเกรงใจ หวังว่าเพื่อนๆจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้นะคะ แล้วพบกันใหม่คะ   Photo by JESHOOTS.COM on Unsplash Photo by Gregory Pappas on Unsplash Photo by Tom Pumford on Unsplash Photo by Cris Trung on Unsplash

คุณจะเป็นไหม? Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย
อ่าน

คุณจะเป็นไหม? Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย

งานหนักไม่เคยฆ่าใคร เห็นทีจะเสื่อความขลังลงเรื่อย ๆ หลังจากที่ข่าวคนทำงานหนักจนตายถูกนำเสนอออกมาอยู่เสมอ ที่สะเทือนใจในวงกว้างเห็นจะเป็นหมอ! ข่าวแพทย์ประจำโรงพยาบาลลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ดูแลคนไข้ไม่ได้พักจนล้มป่วย ปอดติดเชื้อ เสียชีวิต ทำเอาชาวบ้านใจหายไม่น้อย จากนั้นในโรงพยาบาลชนบทแห่งหนึ่งแพทย์หญิงวัย 25 ก็ทำงานติดต่อกัน 72 ชั่วโมง ไม่มีพัก กระทั่งภูมิต้านทานอ่อนแอ ติดเชื้อจากคนไข้ และเสียชีวิตในที่สุด ทราบไหมว่า การทำงานหนักจนเสียชีวิตก็เป็นอีกโรคหนึ่งเช่นกัน นั่นคือ Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตายภาพโดย Pexels จาก Pixabay Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย Karoshi อ่านว่า “คาโรชิ” เป็นคำญี่ปุ่น แน่นอน ต้นเหตุมาจากญี่ปุ่น แต่ไม่ใช่โรคติดต่ออย่างโควิด-19 เพราะโรคนี้ไม่ได้ติดต่อทางไวรัส แต่ติดต่อทางภาวะตึงเครียด และบ้างาน บางคนจึงเรียก Karoshi Syndrome ว่า “โรคบ้างาน”Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย เริ่มรู้จักกันมากขึ้นหลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ญี่ปุ่นแพ้สงคราม และเสียเงินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องฟื้นฟูประเทศอย่างหนักหน่วง คนญี่ปุ่นจึงมีค่านิยมทำงานหนักเพื่อชาติ ทำงานหนักจนตายหลายคน กรณีที่ฮือฮา คือ มิวะ ซาโดะ ผู้สื่อข่าวสาววัย 31 หัวใจล้มเหลวตาย เพราะทำงานหนักราว 159 ชั่วโมงKaroshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย ไม่ได้มีเพียงเสียชีวิตเพราะอดหลับอดนอนเท่านั้น แต่ยังมาจากการฆ่าตัวตาย เพราะเครียดและจริงจังกับงานจนเกินไปด้วย ฉะนั้นจึงมีถูกแบ่งเป็น 2 แบบทำงานจนหัวใจวายตายฆ่าตัวตายเพราะเครียด เพราะกดดัน เพราะจริงจังกับงานเกินไปภาพโดย StartupStockPhotos จาก Pixabay Karoshi Syndrome กับทางสายกลางKaroshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย นับวันจะขยายไปทั่วทุกส่วนของโลก และทุกอาชีพ ไม่เว้นแม้แต่อาชีพที่หลายคนคิดว่าน่าจะทำอย่างมีความสุขอย่างดนตรี มีตัวอย่างการเสียชีวิตของนักดนตรีเช่นกัน เป็นชายไทยวัย 62 เป่าปี่พาทย์ ในงานศพ 5 วันติดกันจนล้มลงหมดสติ และเสียชีวิตจากทั้งข่าวของแพทย์ ของนักข่าว กระทั่งคุณลุงนักดนตรี เราจะเห็นว่า Karoshi Syndrome เป็นผลมาจากสุขภาพร่างกายเป็นหลัก ลุงนักเป่าปี่อาจมีเรื่องชราเข้ามาผสม คนหนุ่ม ๆ อย่างหมอและผู้สื่อข่าว แน่นอนว่าโหมงานหนักเกินไป จนร่างกายอ่อนแอ เมื่อร่างกายอ่อนแอย่อมเปรียบเหมือนกำแพงต้านเชื้อโรคพังทลาย โรคต่าง ๆ จึงเข้าจู่โจมได้โดยง่ายนอกจากส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ และจิตใจตึงเครียดจนลามไปสู่การฆ่าตัวตายแล้ว Karoshi Syndrome ยังทำให้เกิดโรคนอนน้อยตามมาด้วย ก็คุณเล่นบ้างานไม่หลับไม่นอนนี่ ฉะนั้นไม่ว่าอาชีพใดหากทำงานไม่พักละก็ มีสิทธิ์ตายเพราะงานหนักเท่าเทียมกัน ไม่เว้นแม้แต่ฟรีแลนซ์ไส้แห้งภาพโดย Pexels จาก Pixabay ฟรีแลนซ์ไส้แห้ง หมายถึง คนทำงานอิสระที่งานไม่เข้าวิ่งชน แต่คนเราไม่มีงานเลยย่อมไม่ถูก ฉะนั้นกลุ่มเหล่านี้จะมีงานมานาน ๆ ครั้ง มาแล้วก็ตะบี้ตะบันสะสาง เพื่อแสดงศักยภาพ ไม่หลับไม่นอน ช่วงเวลานี้แหละที่จะเป็น Karoshi Syndrome ได้ผลกระทบของการนอนน้อย ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่า มี โรคมะเร็งลำไส้, โรคหลอดเลือดหัวใจ, โรคเบาหวาน, ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ, นอนไม่หลับเรื้อรัง, สมรรถภาพทางเพศเสื่อมลง และ อารมณ์แปรปรวนง่ายด้วยภาวะการแข่งขันสูงของยุค 4.0 อาจจะเลี่ยงความเข้มงวดทุ่มเทหนัก ๆ ไม่ได้ มามัวทำงานแบบเรื่อย ๆ เอื่อย ๆ คงตกขบวน แต่ Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตายนั้นไม่สนหรอกว่า เราจะทำงานหนักเพราะเหตุใด ฉะนั้น ต่อให้ทำงานหนักเพียงไร ต้องยึดหลักทางสายกลางเข้าไว้ ทางสายกลางในที่นี้ ไม่ใช่นั่งสมาธิ แต่ต้องเป็นกลาง ทำงานมาก ต้องพักให้พอ, งานยังต้องเครียร์ เดี๋ยวไม่ทันส่ง จะพักอย่างไร ทำได้โดยกำหนดตารางในแต่ละวันขึ้นมา งาน A ส่งเวลานี้ / เวลานี้พัก / แล้วมาทำงาน B ต่อ รักษาวินัยให้ตัวเอง เราจะมีเวลาพักผ่อนระหว่างงาน และที่สำคัญอย่าเครียดกับงานมาก หากสมองตัน ให้พักทันที ขอให้ยึดคติว่า เครียด นั่งหน้ากองงานไปก็ไม่ช่วยให้คิดออก นั่ง 3 ชั่วโมงไม่เกิดผล สู้เดินเล่น 1 ชั่วโมง แล้วคิดวิธีแก้ไขออกไม่ได้ภาพโดย kaboompics  จาก Pixabay Karoshi Syndrome ทำงานหนักจนตาย ไม่ใช่โรคเล่น ๆ ขำ ๆ ทุกท่านมีสิทธิ์เป็นได้ แม้จะนั่งเล่นเกมก็มีโอกาสปะทะกับโรคนี้ ฉะนั้นงานหนักแค่ไหน ก็อย่าลืมพักผ่อนกันให้พอนะภาพปกโดย Pexels จาก Pixabay อ้างอิงmatichon.co.thnews.mthai.combrighttv.co.thworkpointnews.com

ยังไหวอยู่มั้ย? คุณอาจกำลัง Burnout โดยไม่รู้ตัวก็ได้…
อ่าน

ยังไหวอยู่มั้ย? คุณอาจกำลัง Burnout โดยไม่รู้ตัวก็ได้…

เคยรู้สึกมั้ย? ตื่นเช้ามาแบบที่ไม่ได้อยากลุก ไม่ได้อยากลา แต่ก็ไม่มีแรงจะลุกจริงๆ งานยังทำได้ ส่งทัน แต่ไม่มีความรู้สึกภูมิใจหรือสนุกกับมันเหมือนเมื่อก่อน ตอบแชต ตอบอีเมล ประชุมเสร็จหมดทุกอย่าง แต่ข้างใน… มันว่างเปล่าแบบอธิบายไม่ได้ ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่า “เออ มันใช่ว่ะ” คุณอาจกำลังเผชิญกับ ภาวะ Burnout แบบไม่รู้ตัว ซึ่งน่ากลัวกว่า Burnout แบบทั่วไป เพราะมันไม่ล้มทันที แต่ค่อยๆ ดูดพลังชีวิตจนคุณชินกับความเหนื่อยไปเลย   Burnout แบบไม่รู้ตัว…เกิดขึ้นได้ยังไง? ภาวะนี้มักเกิดจาก “ความคาดหวัง” และ “ความกดดัน” ที่ไม่ได้มาจากคนอื่นเสมอไป บางทีมาจากตัวเราเองด้วยซ้ำ เช่น: อยากเป็นคนที่ไว้ใจได้เสมอ ไม่อยากให้ใครคิดว่าเราทำงานไม่เต็มที่ ตั้งเป้าหมายไว้สูงเกินจนกลายเป็นความเครียดสะสม ทำงานต่อเนื่องโดยไม่พัก ไม่หยุด ไม่ฟังร่างกาย พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด...ทุกอย่างเลย สิ่งเหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นนิสัยของคนเก่ง คนตั้งใจ แต่ถ้าไม่รู้จักหยุดพัก มันจะกัดกินพลังใจเราแบบเงียบๆ จนวันหนึ่งถึงขั้น “หมดใจแต่ยังฝืนไปต่อ”   แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า Burnout มาเยือนแล้ว? ลองสังเกตตัวเองดูจากอาการเหล่านี้: ทำงานเสร็จแต่ไม่รู้สึกดี ไม่ภูมิใจเลย รู้สึกเฉยๆ กับความสำเร็จ ไม่มีอารมณ์อยากคุย อยากพบเจอใคร แม้แต่กับคนที่เคยสนิท รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่งานที่เคยชอบ ใช้พลังไปกับงานจนหมด ไม่มีเหลือให้ชีวิตส่วนตัว อยากหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน พอมีวันหยุดก็ยังรู้สึกเครียด หรือรู้สึกผิดที่ไม่ทำงาน ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้หลายข้อ แปลว่าไม่ใช่แค่ “เหนื่อยธรรมดา” แล้ว แต่อาจอยู่ในภาวะ Burnout ที่ต้องดูแลตัวเองอย่างจริงจัง   วิธีรับมือกับ Burnout แบบไม่ต้องลาออก (ทันที) 1. ยอมรับว่าเรา “เหนื่อย” ได้ ไม่ต้องแข็งแรงตลอดเวลา การยอมรับคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา ไม่ต้องแกล้งเก่งตลอดเวลา การบอกกับตัวเองว่า “ฉันเหนื่อย” ไม่ได้แปลว่าแพ้ แต่มันแปลว่าเรา “ฟังตัวเองเป็น” 2. ลดความคาดหวัง (จากตัวเอง) ลงบ้าง ไม่ต้องเก่งทุกเรื่อง ไม่ต้องได้คำชมจากทุกคน ไม่ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว แค่ทำดีที่สุด “เท่าที่ไหว” ก็พอ 3. แบ่งเวลาให้ “พักแบบมีคุณภาพ” พักไม่ใช่แค่เลิกงานแล้วไปไถมือถือ ลองหากิจกรรมที่ให้ใจได้พักจริงๆ เช่น เดินเล่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ วาดรูป หรือแค่เงียบๆ อยู่กับตัวเองสัก 15 นาที 4. คุยกับคนที่ไว้ใจได้ บางครั้งเราไม่ได้ต้องการคำแนะนำ แค่ต้องการใครสักคนที่ฟังโดยไม่ตัดสิน และช่วยสะท้อนสิ่งที่เรากำลังเผชิญ 5. ขอความช่วยเหลือ ถ้าไม่ไหว หากเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างหนักเกินไป อย่ากลัวที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา เพราะบางทีแค่ได้พูด ได้ระบาย ก็ช่วยลดความอัดอั้นในใจได้มากแล้ว   สรุปส่งท้าย Burnout ไม่ได้มาในรูปแบบคนที่นอนร้องไห้อยู่บ้าน มันอาจอยู่ในตัวคุณที่ยังไปทำงานทุกวัน ยังตอบแชตลูกค้า ยังยิ้มให้หัวหน้า แต่ข้างในกำลังพังแบบเงียบๆ คุณไม่จำเป็นต้องรอให้ล้มก่อนถึงจะยอมพัก ไม่จำเป็นต้องลาออกเพื่อดูแลตัวเอง และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่อยากให้ใจตัวเอง “มีแรงอีกครั้ง” งานสำคัญ แต่คุณสำคัญกว่า อย่ารอให้ชีวิตพัง เพราะคุณไม่กล้าบอกว่า “ฉันเหนื่อยแล้วจริงๆ” credit ภาพปก: Rudi Endresen/unsplash credit1: Nubelson Fernandes/unsplash credit2: Sydney Latham/unsplash credit3: JESHOOTS.COM/unsplash credit4: Vitaly Gariev/unsplash   เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !

"หล่ง-แฟรงค์" เจอกันครั้งแรกในซีรีส์ "Love syndrome" การันตีความสนุกโดย "ต้อ มารุต"
อ่าน

"หล่ง-แฟรงค์" เจอกันครั้งแรกในซีรีส์ "Love syndrome" การันตีความสนุกโดย "ต้อ มารุต"

กระแสแรงตั้งแต่ยังไม่ลงจอออนแอร์ สำหรับซีรีส์วายรักสุดฟินที่ทุกคนรอคอย "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" ที่ถูกสร้างมาจากนวนิยายเรื่องดังของ ยอนิม การันตีด้วยยอดผู้อ่านมากถึง 100 ล้านคน และยังได้ผู้กำกับมือทองแห่งวงการละครไทยอย่าง "ต้อ มารุต สาโรวาท" มาโชว์ฝีมือนั่งแท่นกำกับซีรีส์วายเรื่องนี้ด้วย เปิดผัง "อมรินทร์ทีวี 2023" เสิร์ฟละคร ซีรีส์ รายการ สุดปังพร้อมเซอร์ไพรส์เพียบ "ต้อ มารุต"การันตีความสนุกซีรีส์ "Love syndrome" สำหรับ "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" ถือได้ว่าเป็นซีรีส์ที่แฟนด้อม (Fandom) หลายประเทศรอคอย เป็นการร่วมผลิตโดย 2 บริษัทคุณภาพ ได้แก่ บริษัท ไอ เซ็นเตอร์ จำกัด และ บริษัท โกลเด้น อายส์ วิว จำกัด โดย ต้อ มารุต ได้คว้าตัว "แฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ ซำทองไหล" และ "หล่งซื่อ ลี" คู่จิ้นที่หลายคนกำลังให้ความสนใจในขณะนี้ เนื่องจากมีเคมี และฝีมือการแสดงที่เข้าขากัน ทำให้คนดูแอบเชียร์ว่าอยากให้กลายเป็นคู่รักนอกจอ ทั้งที่เห็นเพียงแค่ตัวอย่างทีเซอร์ไม่กี่วินาที นอกจากนี้ยังมี นักแสดงคุณภาพ ร่วมแสดงมากมาย อาทิ เอ พศิน, รัญ นัฐมนกาญจณ์, ปุ๋ย นิทัศน์, โหน่ง วสันต์ และนายแพทย์ชื่อดัง "หมอสอง นพ.นพรัตน์ รัตนวราห" ที่มาร่วมแสดงในเรื่องนี้ด้วย "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" เป็นบทประพันธ์ขึ้นหิ้งของ ยอนิม ถือเป็นนวนิยายชื่อดังที่มียอดผู้อ่านในโลกออนไลน์กว่า 100 ล้านวิว มีทั้งหมด 5 ภาค ซึ่งเรื่องนี้ทางผู้กำกับ ต้อ มารุต ได้นำภาคที่ 3 ของนวนิยาย ซึ่งเป็นภาคที่มีเนื้อหาที่แสดงถึงความทรงจำเกี่ยวกับความรัก ความผูกพันธ์และสัญญา ที่ทั้งคู่มีให้กัน จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ความทรงจำเหล่านั้นหายไป เหลือไว้เพียง ความจำที่แสนเจ็บปวด เปลี่ยนจากคนที่รัก กลายเป็นคนที่เกลียด สุดท้ายแล้วทั้งคู่จะกลับมารักกัน เหมือนเดิมได้มั้ย? แล้วผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่? และพวกเขาจะจำสัญญาที่มีต่อกันได้หรือเปล่า? ติดตามได้ใน "Love syndrome รักโคตรๆ โหดอย่างมึง" เริ่มออนแอร์ทุกวันเสาร์ เวลา 22.30 ทางช่องอมรินทร์ทีวี หมายเลข 34 เริ่มตอนแรกวันเสาร์ ที่ 4 มีนาคม 2566 อ่านข่าวบันเทิงวันนี้ที่เกี่ยวข้อง : เปิดผัง "อมรินทร์ทีวี 2023" เสิร์ฟละคร ซีรีส์ รายการ สุดปังพร้อมเซอร์ไพรส์เพียบ