TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “Boy Never Smiles” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
“คิมม่อน-คอปเตอร์” นำทีมบวงสรวงซีรีส์ “Boy Never Smiles รักสุดท้าย…นายไม่ยิ้ม”
ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ตั้งแต่ได้ฤกษ์ทำพิธีบวงสรวงกันเลยทีเดียวสำหรับซีรีส์เรื่องBoy Never Smilesรักสุดท้ายนายไม่ยิ้มที่ถูกอกถูกใจแฟนๆ และเตรียมโกยเรตติ้งมัดใจคนดูทางช่องONE31ที่ผลิตโดยบริษัท เมต้าวัน เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัดของผู้จัดปวัตร วงษ์ชูแก้วและ ผู้อำนวยการสร้างอภิชย์ ทรงสุวรรณซึ่งได้คู่จิ้นสุดฮอต คิมม่อน วโรดม เข็มมณฑา ,คอปเตอร์ ภานุวัฒน์ เกิดทองทวีมาประกบคู่สร้างความฟิน พร้อมด้วยทีมนักแสดงวัยรุ่นหน้าใส อาทิแอลฟ่า วีรวิชญ์ บำเพ็ญสวัสดิ์,ภัค ชวิศพงศ์ พูสมจิตสกุล,ก๊ก ปริญญา อังสนันท์,ซินดี้ จอมกนก รุจิมณีพงศ์,แซมรภัสศักย์ รุจิมณีพงศ์,เซ้ง ศุภโชค วิลาสมงคลชัย,ไช้ ศุภกฤต วิลาสมงคลชัย,ริน สาริณ รุ่งเกียรติวงศ์,เอิร์ธ ชิษณุพงศ์ เศิกศิริ,ม่อน วรากร วรุณเจริญธรรม,แซค ณัฐภัทร สุทธิสวรรค์,เนปจูน ภูริชล คุ้มศิริ,ปริ๊น พร้อมพุฒิ นาผม,แฟนต้า ศิริทัศน์ ดํารงค์ขวัญ,อ๊อฟ ธีร์วศิษฐ์ เรือนสอน,แดน วิทยา ศรีลาดี และผู้กำกับเผด็จ อ่อนละฮุงเข้าร่วมพิธีท่ามกลางลมหนาวในบรรยากาศที่สดใส ที่มาพร้อมกับโมเมนต์น่ารักของเหล่านักแสดง รวมถึงแฟนคลับที่ต่างมาให้กำลังใจและร่วมพิธีอันเป็นมงคลนี้กันอย่างคึกคักณTops RCA สำหรับBoy Never Smilesรักสุดท้ายนายไม่ยิ้ม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับจะเกิดอะไรขึ้น?! เมื่อชายหนุ่มน่าเกรงขามในยุค 2499 ที่ไม่เคยมีความทุกข์ใด ๆ ต้องมาเจอกับชายหนุ่มยุคปัจจุบันที่มีชีวิตแสนลำบาก ผู้ไม่เคยมีความสุข ทำให้เขาไม่เคยแม้แต่จะยิ้ม ทั้งคู่ถูกชะตาฟ้าลิขิต ทำให้ต้องมาเจอกัน เรื่องวุ่นวายจึงเกิดขึ้น ติดตามเรื่องราวความสนุกและโมเมนต์น่ารักของ คิมม่อน คอปเตอร์ และเหล่าแก๊งเพื่อนกันแบบจุใจได้ในซีรีส์เรื่อง Boy Never Smilesรักสุดท้ายนายไม่ยิ้ม ออกอากาศทางช่องONE31 ปีหน้า2566ฟินทะลุจอแน่นอน
ข่าวละคร • 21 ธ.ค. 65
อ่าน
รีวิว Never Have I Ever (ไม่สปอยล์)
Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) รีวิวซีรีส์จากNetflix (เพลินดี) (ไม่สปอยล์)ความยาว: 30 นาทีต่อตอน (10 ตอน)ประเภท: คอเมดี้/ ดราม่าโชว์รันเนอร์: มินดี้ คาร์ลิง/ เเลง ฟิชเชอร์มินดี้ คาร์ลิงคือหนึ่งในดาราตลกที่มีสายเลือดอินเดียที่เฉิดฉายมาจากซีรีส์The Mindy Project (2012-2017) เเต่เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเธอมาจากภาพยนตร์เรื่อง Ocean's 8 เเล้วในปีนี้เธอขอมาถ่ายทอดประสบการณ์ในชีวิตของเธอที่ได้พบเจอมาเป็นซีรีส์ที่ฉายทาง Netflix ในตอนนี้เรื่องย่อ: หลังจากผ่านปีเเห่งความโศกเศร้า สาวน้อยวัยรุ่นอินเดียนอเมริกันเปลี่ยนชีวิตของเธอให้มาดูเฉิดฉายมากขึ้น เเต่ทั้งเพื่อน ครอบครัวเเละความรู้สึกในใจก็มาเป็นอุปสรรครีวิว: หากใครดูเเล้วไม่คิดอะไรเรื่องประเด็นเล็กๆน้อยๆมากจะสนุกเลย ขอการันตีเลยว่า ดูซีรีส์นี้เพลินมาก เพลินตั้งเเต่ตอนเเรกจนถึงตอนจบเลย ถือว่าสอบผ่านในเรื่องการทำเรื่องราวให้น่าติดตาม เเต่ปัญหาก็กลับอยู่ที่ช่องโหว่บางอย่าง ความสมเหตุสมผลเเละประเด็นน่ารำคาญเเละขัดใจที่มีค่อนข้างมาก เเต่ถ้าก้าวผ่านจุดนี้หรือไม่สนใจกับจุดนี้คุณจะสนุกไปเลย สิ่งที่ชอบเลยคือฉากดราม่าเเละฉากตลกที่ไม่ดูยัดเยียดเกินไป ตลกก็ตลกเลย ดราม่าก็ดี ส่วนประเด็นเสียดสีสังคมก็ใส่มาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว เเทบจะไม่มีอะไรติสำหรับจุดนี้เลย ส่วนนักเเสดงที่หลายคนอาจจะเป็นห่วงเพราะว่าเป็นหน้าใหม่ซะส่วนใหญ่ บอกเลยว่าเอาอยู่ครับ จะมีบางคนที่เเสดงเเข็งๆไปบ้าง เเต่ถือว่าเป็นเเค่ส่วนน้อย ลงตัวเเละไม่ดูยัดเยียดเกินไป รวมเเล้ว นี่คือซีรีส์วัยรุ่นอีกเรื่องที่มีเรื่องราวเเละนักเเสดงหน้าใหม่ที่ร่วมมือเเละไปด้วยกันได้ลงตัวเลยทีเดียวครับ+:- นักเเสดงเเม้จะเป็นหน้าใหม่เกือบหมด เเต่เเสดงดีทุกคน อย่างตัวละครหลักของเรื่องทั้งนางเอกเเละเพื่อนนางเอกเข้ากับบทบาทที่ตนเองได้รับมาก- ฉากตลกเเละฉากดราม่าไปด้วยกันได้ลงตัว ในฉากตลกก็ฮาเเละบางมุกก็ฮามากๆด้วย เเต่พอถึงจุดที่จริงจังก็ไม่หลุดโทนเเละทำได้ดีตามมาตรฐาน- ดนตรีประกอบเเละป็อปคัลเจอร์ที่ใส่มาเข้ากันดี อย่างป็อปคัลเจอร์บางอย่างที่ถูกพูดถึงเข้าถึงได้ง่าย เเต่อาจจะดูเฉพาะกลุ่มไปบ้างในบางจุด- ใส่ประเด็นเสียดสีสังคมได้ค่อนข้างดี อย่างความเชื่อของเเต่ละเชื้อชาติที่เเตกต่างกัน เเละก็การเป็นวัยรุ่นในยุคปัจจบุันนั้นเป็นอย่างไร- บทน่าติดตามตั้งเเต่ต้นยันจบ ตั้งเเต่ตอนเเรกจนถึงตอนที่ 10 ดูเพลินมากๆ ไม่ค่อยมีจุดไหนที่รู้สึกน่าเบื่อเลย ดูไป 5 ชั่วโมงรวดได้เลยครับ -:- มีจุดขัดใจเเละน่ารำคาญหลายจุด อย่างตัวละครหลักของเรื่องที่พฤติกรรมบางอย่างอาจจะทำให้คนดูนั้นรำคาญบ้าง เเต่อยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้- ไม่ค่อยชอบเเละอินกับบทสรุปเท่าไหร่ สำหรับคนที่ชอบซีรีส์เเนวนี้ ก็อาจจะชอบก็ได้ เเต่ทว่าบางคนอาจจะไม่ค่อยอินกับตอนจบของเรื่องเท่าไหร่- ยังมีบางปมที่ถูกทิ้งค้างไว้เเละทำไม่ค่อยสุดเท่าไหร่ อย่างการที่บางจุดของซีรีส์ทิ้งไว้ให้ไปคิดต่อได้อีกเเละบางอย่างก็เหมือนจะรอเฉลยในภาคต่อ- มีช่องโหว่ที่ลืมปิด อย่างการที่ตัวละครหลักของเรื่องนั้นลืมที่จะทำอะไรไป หรือตัวละครอื่นที่พูดถึงตั้งเเต่ตอนเเรกๆ เเต่หายไปช่วงตอนหลังๆครับสำหรับใครที่รอคอยซีซั่นที่ 2 อยู่ ทาง Netflix ยังไม่มีการประกาศสร้างนะครับ อดใจรอกันนิดนึง ตอนนี้กระเเสจากนักวิจารณ์ออกมาค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับเอาไป 7.5/10 (คะเเนนเฉลี่ย) เขียนโดย เเอดมินจากเพจหมาโรงหนัง หรือชื่ออังกฤษ Doggywatch ครับ เครดิตภาพ1. เครดิตภาพปกจาก Official Trailer บน Youtube2. เครดิตภาพที่ 1 จาก Official Trailer บน Youtube3. เครดิตภาพที่ 2 จาก Official Trailer บน Youtube4. เครดิตภาพที่ 3 จาก Official Trailer บน Youtube
Doggywatch (หมาโรงหนัง) • 8 พ.ค. 63
อ่าน
รีวิว Never Have I Ever ซีรีย์ใหม่จาก Netflix
ซีรีย์แนว comedy-dramaเรื่องใหม่จาก Netflix ที่พึ่งปล่อยออกมาเมื่อปลายเดือนเมษา 2020 นี้ เกี่ยวกับเดวี่ เด็กหญิงชาวอินเดียที่ครอบครัวย้ายมาอยู่ที่อเมริกา พ่อแม่ของเธอยังคงวัฒนธรรมดั้งเดิมอยู่แม้จะย้ายถิ่นฐานแล้ว ในทางกลับกัน เดวี่มีความเป็นชาวอเมริกันอย่างมากเมื่อเทียบกับครอบครัว เพราะเธอย้ายมาที่นี่ตั้งแต่เด็กและเข้าโรงเรียนเดียวกับเด็กอเมริกันคนอื่น เธอเป็นคนมีความคิดของตัวเองและไม่ชอบให้ถูกบงการว่าควรทำอะไร วันหนึ่งพ่อเธอหัวใจวายและเสียชีวิตกระทันหัน เธอเสียใจมากจนอยู่ดีๆ ขาของเธอก็ใช้การไม่ได้ ทำให้เดวี่ต้องนั่งรถเข็นตลอดเวลา โชคดีที่เธอมีเพื่อนสนิทคอยช่วยเหลือ แม่และคนรอบตัวเธอก็หวังให้เดวี่กลับมาเดินได้ในซักวันหนึ่งและวันนั้นก็เป็นจริงแต่เธอไม่ได้กลับมาเดินได้เพราะหายเสียใจ แต่กลับเป็นเพราะผู้ชายในโรงเรียนที่ชื่อ Paxton วันนั้นเธอไปซื้อของกับแม่และเห็น Paxton อยู่กับเพื่อนๆของเขา และนั่นก็เพียงพอให้เดวี่มีแรงลุกขึ้นยืนและเดินได้อีกครั้งหนึ่ง เดวี่จึงตั้งเป้าหมายว่าปีต่อไปในโรงเรียนซึ่งเธอกำลังจะขึ้นชั้น Sophomore จะต้องดีเยี่ยม เดวี่มีแพลนให้เธอและเพื่อนสนิททั้งสองคนมีแฟนจะได้เป็นกลุ่มที่เจ๋งชื่อตอนในแต่ละตอนจะมีความหมายเล็กๆ บ่งบอกว่าเรื่องตอนนั้นจะมีเนื้อหาประมาณไหน ชื่อตอนจะเริ่มต้นด้วย “Never Have I Ever……” เรื่องนี้อาจจะดูเหมือนเป็นซีรีย์เกี่ยวกับโรงเรียนในอเมริกาทั่วๆ ไป แต่เนื้อเรื่องก็มีปมหลายเรื่องทั้งเรื่องความเศร้าของเดวี่ที่ต้องเสียพ่อไป บางครั้งที่เธอกับแม่ไม่ลงรอยกัน อีกทั้งยังมีญาติของเธอ กมลา ที่สวย หุ่นดี เรียกได้ว่า perfect ในสายตาเธอ และเดวี่ก็รู้สึกอิจฉาโดยที่ไม่รู้ว่ากมลาก็มีปัญหาของเธอเหมือนกัน ไม่เพียงแค่นั้น ในซีรีย์ยังมีเรื่องเพื่อนเข้ามาเกี่ยวข้อง และยังมีตัวละครที่เป็น LGBT อีกด้วย ในเรื่องเดวี่ยังมีคู่แข่งที่ไม่ถูกกันมานานอย่าง Ben ที่ทั้งสองพยายามจะเป็นที่ 1 และเอาชนะอีกคนอยู่เสมอ เรื่องราวของเดวี่ ครอบครัว และมิตรภาพของตัวละครแต่ละตัวจะเป็นอย่างไร ติดตามได้บน Netflixตัวละคร Devi Vishwakuma รับบทโดย Maitreyi Ramakrishnan เด็กหญิงชาวอินเดีย-อเมริกาอายุ 15 ปีที่ต้องการให้ชีวิตในปีนี้ดีขึ้นซ้าย: Kamala รับบทโดย Richa Moorjani ญาติของ Devi ที่ดูเหมือนจะมีชีวิตที่ perfect ไปหมดทุกอย่างขวา: Dr. Nalini Vishwakumar รับบทโดย Poorna Jagannathan แม่ของ Devi เป็นหมอผิวหนัง นักเรียนในโรงเรียนหลายคนไปเข้ารับการรักษากับเธอซ้าย: Fabiola Torres รับบทโดย Lee Rodriguez ขวา: Eleanor Wong รับบทโดย Ramona Youngเพื่อนสนิทของ Devi ทั้งสองคน Paxton Hall-Yoshida รับบทโดย Darren Barnet ลูกครึ่งญี่ปุ่นอายุ 16 ปี เป็นนักกีฬาว่ายน้ำของโรงเรียน จริงๆอยู่ชั้น junior แต่มีวิชาที่สอบตกทำให้มาเรียน class เดียวกันกับ DeviBen Gross รับบทโดย Jaren Lewison เพื่อนร่วมชั้นและคู่แข่งของ Devi Review: สำหรับเราเรื่องนี้สนุกมาก ตัวละครทุกตัวมีเรื่องราวของตัวเองทำให้แต่ละตอนน่าติดตาม มีบางตอนที่เดวี่กับเพื่อนหรือครอบครัวมีปัญหาก็น่าติดตามว่าจะปรับความเข้าใจกันได้ยังไง นักแสดงแต่ละคนแสดงบทบาทของตัวเองออกมาได้ดีมากๆ สามารถสื่อสารกับคนดูผ่านตัวละครนั้นๆ เรารู้สึกว่าทุกๆคนในเรื่องมีความสำคัญเท่ากันหมดเลย ทุกตัวละครสามารถเดินเรื่องได้ดี ถึงแม้ว่าเรื่องราวหลักจะเป็นเรื่องของเดวี่ แต่ตัวละครอื่นก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินเรื่องในแต่ละตอน และหลายๆครั้งก็รู้สึกว่าพวกเค้าก็ต้องพึ่งพากันเพื่อผ่านปัญหาไปให้ได้ เนื้อหาทั้งเรื่องแยกย่อยออกมาแต่ละตอนทำให้ไม่น่าเบื่อแล้วยังน่าติดตามอีกด้วย พอดูจบแล้วก็โยงชื่อตอนเข้ากับเนื้อเรื่องได้ เป็นเรื่องที่ถือว่าดูง่าย ไม่หนักสมองจนเกินไป มีบางช่วงเหมือนกันค่ะที่รู้สึกว่าเดวี่ทำตัวไม่ดีเลย เธอสนใจตัวเองก่อนและลืมคิดถึงเพื่อนที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด ในช่วงที่เพื่อนสนิทของเธอทั้งสองคนมีปัญหา เธอไม่ได้รับฟังและคิดว่าตัวเองมีปัญหาที่ใหญ่กว่าใครทั้งหมด นอกจากนั้นเดวี่กลับไปสนใจสิ่งที่ Paxton ไปขอให้เธอช่วยมากกว่า เธอยังผิดคำพูดกับเพื่อนอีกด้วย แต่สุดท้ายแล้วก็ทำความเข้าใจกันได้ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของเธอและเพื่อนๆ แล้วยังมี Ben ที่ตอนแรกเป็นศัตรูกันแต่ก็มีเรื่องที่ทำให้สองคนนี้ต้องมาคุยกันดีๆในเรื่องยังมีการสอดแทรกวัฒนธรรมเข้ามาด้วย อย่างเรื่องครอบครัวของเดวี่ และเทศกาลที่ต้องไปเข้าร่วม แต่ก็ทำออกมาให้เนื้อเรื่องดูเข้าใจง่ายเลยค่ะ นอกจากนี้แต่ละตัวละครยังมีปมปัญหาส่วนตัวของตัวเอง ทำให้เรารู้ว่าทุกคนก็มีเรื่องให้ต้องเผชิญและแก้ไขปัญหาในแบบของตัวเอง อย่าคิดว่าปัญหาของเรายิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนที่เดวี่ตะโกนใส่เพื่อนเพราะคิดว่าปัญหาของตัวเองนั้นยิ่งใหญ่ละก็สำคัญสุดๆ และคิดว่าคนอื่นไม่ได้มีปัญหาอะไร เพื่อนของเดวี่ที่ชื่อ Fabiola เธอค้นพบตัวเองทีหลังว่าชอบผู้หญิงและใช้เวลาอยู่ซักพักกว่าจะบอกกับคนอื่นๆ ได้ ในจุดนี้ยอมรับว่าซีรีย์ทำออกมาได้ดีเลยค่ะ แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความมั่นใจที่จะ come out ตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้ตัว ไหนจะต้องกลัวว่าพ่อแม่ และคนรอบตัวจะไม่ยอมรับ แต่ตัวละครในเรื่องนี้มี character ที่ดีมากๆ ทุกคนพร้อมสนับสนุนกันและกัน อาจจะมีบางช่วงที่มีเรื่องกันบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมาช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างกัน ก็ถือว่าแสดงให้เห็นว่าชีวิตบางทีก็เป็นแบบนั้น เราอาจจะมีเรื่องกับเพื่อนหรือคนในครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วคนพวกนี้ก็ยังพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างกันเสมอ ตอนแรกดูเรื่องนี้เพราะเห็น Netflix แนะนำขึ้นมาเฉยๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่หลังจากเปิดดูตอนแรกแล้ว ก็ดูจบภายในวันเดียวกันเลยค่ะ เรียกได้ว่าไม่ได้หยุดดูเลย ด้วยความที่ตอนนึงไม่ยาวมากยิ่งทำให้รู้สึกว่าดูจบเร็วขึ้นไปอีก มีแค่ 10 ตอน ตอนละ 30 นาทีเท่านั้นค่ะ ถ้าหากใครว่างๆ ไม่รู้จะดูอะไรดี ลองดูเรื่องนี้เลยค่ะ ดีมากๆ มีเรื่องราวหลากหลาย แต่ละตัวละครมี character ที่ต่างกัน ไม่ยากเลยที่จะตกหลุมรักในตัวละครนั้น หลังจากดูจบแล้วต้องได้ตั้งตารอ season 2 แน่นอนค่ะCredit: Netflix, (1)
Pinky • 8 มิ.ย. 63
อ่าน
รีวิว Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) ใน Netflix (No Spoil!)
สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ทุกท่าน เนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นเป็นวันหยุดยาว ทางเราก็ได้มีโอกาสได้ดูซีรีย์เรื่องหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องใหม่ของทาง Netflix นั้นคือ 'Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย)' แค่ชื่อเรื่องก็น่าดูแล้วใช่มั้ยหล่ะค่ะ ถึงกับทำให้เราดูจบรวดเดียวภายในวันเดียวเลยหล่ะ วันนี้เลยถือโอกาสจะมารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ฟังกันแบบสั้น ๆ กัน สำหรับใครที่กำลังสนใจซีรีย์เรื่องนี้หรือกำลังหาซีรีย์จากทาง Netflix ดูกัน ไปดูกันเลยว่าจะเป็นเรื่องราวอะไร ลุย😆เรื่องย่อ เป็นเรื่องราวของสาวน้อยวัยรุ่นที่ชื่อว่า 'เดวี่ วิศวกุมาร' เธอเป็นหญิงสาววัย 15 ปีเชื้อสายอินเดียโดยกำเนิด แต่เกิดและเติบโตในอเมริกา ซึ่งวันหนึ่งชีวิตของเธอก็พลิกผลันหลังจากที่เธอได้แสดงโชว์ดนตรีอยู่ พ่อของเธอก็ได้เสียชีวิตระหว่างที่เธอแสดง หนำซ้ำเธอยังล้มและทำให้เธอเดินไม่ได้ ทำให้ต้องนั่งวีลแชร์มากว่าหนึ่งปีเต็ม ๆ แต่แล้วก็มีปฏิหารเกิดขึ้นกับเธอ เพราะเธออยากจะเห็นหน้าผู้ชายคนหนึ่ง แค่นั้นเลยค่ะเธอก็กลับมายืนได้เลย ฮ่า ๆ ทำให้เธอกลับมาเดินได้อีกครั้ง! วันแรกหลังจากขึ้นม.4 เธอกับเพื่อนซี้อีกสองคนคืออีลีเนอร์ หว่อง และ ฟาร์บิโอล่า ได้ตัดสินใจร่วมกันว่าพวกเขาทั้งสามจะต้องมีแฟนให้ได้ แต่แล้วเธอกลับพบว่าอีลีเนอร์นั้นมีแฟนอยู่แล้วในชมรมการแสดงและต่อมาฟาร์บิโอล่าก็ค้นพบว่าเธอนั้นไม่ได้ชอบผู้ชายและเป็น LGBT หรือการรักข้ามเพศ และจริง ๆ แล้วเดวี่ก็มีคนแอบชอบในโรงเรียนอยู่คนหนึ่งซึ่งก็คือหนุ่มฮอตนีกกีฬาประจำโรงเรียนอย่าง 'แพ็กตั้น' และในปีนั้นเขาก็ดันซ้ำชั้นจะต้องเรียนพอดิบพอดี ทำให้เดวี่ได้เจอกับเขาบ่อย ๆ ซึ่งในวันหนึ่งเธอรวบรวมความกล้าขอตกลงให้เขานั้นมี sex กับเธอ! แต่มันเหนือความคาดหมายเขากลับตอบตกลงเธออีกด้วย และในคลาสเรียนเดวี่ได้มีคู่ปรับอย่าง 'เบน' เพื่อนชายที่มักจะชอบแข่งขันกันเรื่องการเรียนอยู่เสมอ ตั้งแต่เด็ก ๆ เลย ทำให้ทั้งสองค่อนข้างเกลียดขี้หน้ากัน แต่แล้วทำให้มีหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกของทั้งสองเกิดความพลิกจากเกลียดเป็นความรู้สึกดี ๆ กันเฉยเลย! สุดท้ายเรื่องก็ได้ทิ้งปมทำให้เราขบคิดกันไป จนกว่าจะเจอกันใหม่ Season 2เรื่อง Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) มีทั้งหมด 1 Season 10 episodes แต่ละตอนมีประมาณ 30 นาทีความประทับใจและเรื่องนี้ให้อะไรกับเราบ้าง? เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนอาจจะเห็นหน้าปกแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้คงไม่สนใจและคงไม่พ้นในเรื่องแนวความรัก teenager ใส ๆ ซึ่งขอบอกว่าเรื่องนี้ให้อะไรกับเรามากกว่าที่คิดมากค่ะ เป็นเรื่องแนว Comedy ตลกแบบเบาสมอง และ Drama หน่อย ๆ เป็น Plot เรื่องที่ไม่ได้มีความหวือหวาอะไรสามารถเดาได้ แต่ดูแล้วมีความน่ารีก รู้สึกหัวใจฟู และเรื่องนี้ยังมีวัฒนธรรม วิถีชีวิต ของอินเดียสอดแทรกเข้ามาให้เราเห็นเรื่อย ๆ อาทิเช่น การทานอาหารที่แตกต่างกัน การคลุมถุงชน การเข้าพิธีบูชาพระพิฆเนศโดยผ่านตัวละคร เป็นต้น ซึ่งเรื่องนี้ก็มีเรื่องของ'ครอบครัว'เข้ามาเกี่ยว เพราะด้วยความที่เดวี่มีหัวแบบคนสมัยใหม่ แต่แม่ของเดวี่ยังชอบยึดติดกับอะไรเดิม ๆ ตามขนบธรรมเนียม ยังเป็นหัวคิดแบบคนสมัยเก่า ทำให้ทั้งสองนั้นชอบทะเลาะกันอยู่เสมอ และมีการทะเลาะกันแบบรุนแรงอีกด้วย และทั้งสองยังต้องแบกรับความรู้สึกของการสูญเสียหัวหน้าครอบครัว พ่อ สามีอีกด้วย ขอบอกว่าเรายังแอบน้ำตาซึมอยูาหน่อย ๆ เลยหล่ะค่ะ และเรื่องราวไฮสคูลแบบนี้ก็ไม่พ้นเรื่องของ 'ความสัมพันธ์และเพื่อน' สื่อถึงเรื่องความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ และในเรื่องยังมีการเล่นเรื่อง LGBT หรือการรักข้ามเพศของฟาร์บิโอล่า การเปิดเผยตัวตนของเธอให้คนรอบข้างและครอบครัวของเธอรู้ เพราะในสังคมเรื่องรักข้ามเพศก็ยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างพูดยากอยู่ (ต้องมาตามลุ้นกันว่าฟาร์บิโอล่าเธอจะจัดการได้อย่างไร) และเรื่องของความสัมพันธ์ของเพื่อนที่อาจจะมีการนอยด์น้อยใจเกิดขึ้น ที่สำคัญเรื่องนี้จะมีเสียงการเสียงพากย์ของ 'จอห์น แม็คเอนโร' ซึ่งหากใครเล่นเทนนิสคงรู้จักเขาเป็นอย่างดี เพราะว่าเขาเป็นนักเทนนิสชายชาวอเมริกัน อดีตมือวางอันดับหนึ่งของโลก จัดอันดับโดยเอทีพีติดต่อกัน 4 ปี ซึ่งเขามักจะมีหัวร้อนและทะเลาะกับคู่แข่งและคณะกรรมการอยู่เสมอ โดยเขามีนิสัยที่ค่อนข้างคล้ายกับเดวี่ในเรื่องมาก ๆ ทำให้จับมาพากย์เป็นเสียงในใจของเดวี่ซะเลยตัวละครที่โดดเด่นของเรื่องนี้ ตัวเอกของเรื่อง เป็นเด็กสาวชาวอินเดียวัย 15 ปีที่มีความฉลาดมาก ๆ ในเรื่องการเรียน แต่นิสัยจะออกแนวโก๊ะ ๆ เปิ่น ๆ หน่อย แต่ยังจัดว่าอยู่ในกลุ่มเนิร์ดของโรงเรียน เป็นคนที่เรียกว่า 'หัวสมัยใหม่' เลยก็ว่าได้ ทำให้เธอมักจะทะเลาะกับแม่อยู่เป็นประจำ แถมยังเป็นคนที่เรียกว่ากล้ามาก ๆ กล้าเผชิญกับทุกอย่าง พูดอะไรตรงไปตรงมา หนุ่มนักกีฬาประจำโรงเรียน ดีกรีหนุ่มฮอตเลยก็ว่าได้ เป็นรักแรกพบของเดวี่เลยก็ว่า ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งเราก็อาจความคิดของเขาไม่ออกเหมือนกันนะ ฮ่า ๆ แบบเป็นคนที่น่าสนใจมาก ๆ ทำให้เรารู้สึกว่าเขาคิดอะไรอยู่ตลอด และในคราวเดียวกันก็เป็นคนอ่อนโยนชอบช่วยเหลือคนอื่น ใน season นี้เราคิดว่ายังไม่ค่อยเห็นมุมมองของหนุ่มหล่อแพ็กตั้นสักเท่าไหร่ แต่ Season ต่อไปคิดว่าต้องมีอย่างแน่นอน และขอบอกว่าเป็นหนุ่มหล่อที่ชวนมองจริง ๆ ค่ะ🥰 ผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมาของสาวน้อยเดวี่ ทั้งสองเติบโตและเรียนมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก มีความสูสีในเรื่องของการเรียนอยู่ตลอด มักจะชอบเถียงทะเลาะกัน แต่แม้ว่าเบนจะเป็นเด็กฉลาด ชอบเถียง รวย แต่จริง ๆ แล้วในมุมของเขาก็ยังเป็นคนที่อ่อนไหว sensitive มาก ๆ ในเรื่องของครอบครัว เพราะเขามักจะโดนพ่อแม่ทิ้งให้อยู่บ้านกับแม่บ้านตลอดเวลา เป็นอีกตัวละครที่รู้สึกสงสาร อินสุด ๆ อีกตัวหนึ่งเลยค่ะก็จบกันไปแล้วนะคะสำหรับ 'รีวิว Never Have I Ever (ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย) ใน Netflix (No Spoil!)' ซึ่งเป็นซีรีย์สั้น ๆ ที่น่ารัก อบอุ่นหัวใจค่ะ แถมความพิเศษคือนำเอาตัวละครที่เป็นคนผิวสีคนอินเดียมาเพิ่มความสนุกให้กับเนื้อเรื่องอีกด้วย เป็นอีกเรื่องที่เราอยากแนะนำให้เพื่อนดูเลยหล่ะค่ะ เพื่อน ๆ สามารถรับชม Never Have I Ever ได้ที่ Netflix ซึ่งในปัจจุบันสามารถรับชม Netflix ผ่านทางกล่อง True ID TV ได้แล้ววันนี้ สำหรับวันนี้เราก็ขอตัวลาไปก่อนนะคะ พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ 🙂เครดิตภาพหน้าปก :Never Have I Ever (2020– )เครดิตภาพประกอบบทความ :ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (Never Have I Ever) | ตัวอย่างซีรีส์อย่างเป็นทางการ | Netflix
nowadays girl☀︎︎ • 18 พ.ค. 63
อ่าน
รีวิว "Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย" 10 นาทีแรก น่าดูหรือน่าเบื่อ?
กรี๊ดกร๊าดกันจัง! เขาว่าพระเอกฮ๊อตมาก "Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย" ซีรีย์ฝรั่งเรื่องใหม่ที่พึ่งลง Netflix เพื่อนแนะนำมาว่าดีมาก ดูกันหมดแล้ว เหลือเราคนเดียวตกเทรนด์ ไม่รอช้าไปรีวิวกันเลยดีกว่า!เริ่มเรื่อง 10 นาทีแรกเดวี่ วิศวกุมาร เด็กสาวอินเดียนอเมริกันกำลังสวดภาวนากับเทพเจ้าของเธอ ขอให้เธอได้พบกับแฟนหนุ่มหล่อ ๆ สักที หลังจากผ่านปีอันย่ำแย่มา ตัดภาพไปเล่าอดีตตอนที่ครอบครัวเธอย้ายมาอเมริกาใหม่ ๆ เจอกับปัญหาเพราะพวกเขาเป็นชาวสีผิวน้ำตาล และวันหนึ่งพ่อของ เดวี่ ก็หัวใจวายกระทันหัน ส่วนเธอเองก็ประสบปัญหาระหว่างว่ายน้ำ ทำให้เดินไม่ได้ จนกระทั่งเกิดปาฏิหาริย์ขึ้น เมื่อเธออยากลุกขึ้นจากรถเข็นเพื่อแอบมองหนุ่มที่เธอปิ๊ง เธอจึงกลับมาเดินได้ และแล้ววันนี้ก็เป็นวันแรกของการเรียนม.4 เธอจะปฏิวัติชีวิตตัวเองใหม่ เริ่มจากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวของเธอและเพื่อน ๆ ต้องหาแฟนสุดฮ๊อตสักคน แต่แค่เริ่มต้น เธอก็พลาดไปจีบหนุ่มเจ้าสำอางค์ ที่เพื่อนบอกว่าเขาเป็นเกย์ซะแล้ว อยากรู้ว่าเป็นยังไงต้องติดตามรับชมต่อความประทับใจแรก• เลือดกำเดาพุ่งเลย! ใช้ความคับจอของ...พระเอกมาสะกดจิตกันชัด ๆ แน่นทั้งแผงอก กล้ามหน้าท้อง กล้ามแขน และแววตาหวานเยิ้ม เขาเป็นนักแสดงที่เอาอยู่จริง ๆ เป็นทั้งไทป์ของฝรั่งและเอเชีย ออกอินเดียนิด ๆ ถ้าจะต้องแนะนำหนังสักเรื่องที่พระเอกหล่อ ก็คงบอกให้ไปดูเรื่องนี้เลย• ดำเนินเรื่องไวดี ไม่เสียเวลา แค่ 5 นาทีแรก ก็ลากเราไปผูกกับชีวิตตัวเอกได้ เล่าความเป็นมาชีวิตของ เดวี่ เธอน่าเห็นใจมาก และเหมือนกับชีวิตพวกเราทุกคน มีเรื่องดราม่าปัญหาครอบครัว เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ที่ใันใจก็ฝันอยากมีแฟนหล่อ ๆ กับเขาบ้าง ดูแล้วก็ลุ้นเอาใจช่วยไปกับเธอ ทั้งตลก คลายเครียด และทำให้หัวใจพองโต!• ชอบฉากและบรรยากาศ คิดถึงไฮสคูลและรักแรกแย้ม! ทำให้เหมือนย้อนวัยกลับไปเรียนอีกครั้งเลย (ถึงแม้จะเป็นมัธยมปลายมาก็เถอะ) เป็นภาพแบบที่คนไทยอย่างเราหลายคน คงเฝ้าฝันอยากจะลองใช้ชีวิตแบบนั้นสักครั้ง แต่งตัวอะไรก็ได้ไปโรงเรียน เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องมีกฏเกณฑ์ และได้แอบเฝ้ามองหนุ่ม ๆ ที่เราแอบปิ๊ง ไม่ต้องคิดมาก ทำงานปวดหัว วัยเรียนสนุกสุดแล้วจริง ๆประเด็นที่น่าจับตา• ตัวละครในเรื่องสะท้อนชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวชาติพันธุ์ในอเมริกา นอกจาก เดวี่ วิศวกุมาร ที่เป็นภาพแทนชาวอินเดียนอเมริกันแล้ว (ผิวน้ำตาล ผมดำ) เพื่อน ๆ ของเธอก็ยังเป็นภาพแทนคนชาติต่าง ๆ ด้วย เช่น ฟาบิโอรา ทอร์เรส - เชื้อชาติแอฟริกัน (ผมหยิก ผิวสี), เอเลนอร์ หว่อง - เชื้อชาติจีนอเมริกัน (ผิวเหลือง ตาตี่) หรือแม้แต่พระเอกอย่าง แพกซ์ตัน ฮอลล์ โยชิดะ เขาเองก็มีเชื้อสายมาจากญี่ปุ่นอย่างแน่นอน แสดงให้เห็นถึงคนในสังคมอเมริกา ปะปนด้วยเชื้อชาติต่าง ๆ นอกจากฝรั่งผิวขาว หนังจะแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ และการดำรงชีวิตอยู่ของพวกเขา• ชาวชาติพันธุ์ที่อาศัยในประเทศเจ้าอาณานิคม (อเมริกา) ล้วนถูกหล่อหลอมวัฒนธรรมโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ในกรณีที่ถูกหล่อหลอมแบบรู้ตัว เช่น พ่อแม่ของ เดวี่ เลือกต่อต้านจะกินแต่อาหารมังสวิรัติ แต่ เดวี่ เลือกที่จะกินเนื้อสเต๊กตามแบบชาวอเมริกัน เธอรู้ตัวว่ากำลังถูกวัฒนธรรมหล่อหลอมแต่เธอเลือกที่จะยอมรับ ส่วนกรณีที่ไม่รู้ตัว อย่างเช่น การที่ เดวี่ พูดคุย ภาวนากับเทพเจ้าฮินดูเหมือนคุยกับเพื่อน ก็เหมือนกับวัฒนธรรมของฝรั่ง ที่เขาพูดคุยกับพระเจ้าของเขาเหมือนคุยกับพ่อ เดวี่ถูกเปลี่ยนวิธีคิดการปฏิบัติโดยไม่รู้ตัว สรุปคือ การที่คนเราใช้ชีวิตอต่างแดนเป็นเวลานาน เราจะถูกหล่อหลอมวัฒนธรรม ความเชื่อ และค่อย ๆ เปลี่ยนไป โดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว• การล้อเลียน เหยียดหยาม และแบ่งแยกเชื้อชาติ (Racism) ยังมีอยู่ให้เห็นอยู่ ถึงแม้จะผ่านไปนานแค่ไหน เพราะมันเป็นคุณลักษณะร่วมของมนุษย์ที่มีเหมือนกัน มนุษย์เราจะแบ่งแยกและเข้าหากลุ่มคนที่เหมือนเราเพื่อต้องการการยอมรับ และต่อต้านคนที่ดูแตกต่าง จึงเกิดเป็นการเหยียดเชื้อชาติขึ้น ในหนังเรื่องนี้ก็มีอยู่ เกิดขึ้นแม้แต่กับนางเอกเอง ทั้ง ๆ ที่ เดวี่ วิศวกุล เธอก็ไม่ใช่ชาวอเมริกันแท้ แต่เธอเองก็ยังดูถูกภาษาอังกฤษ ของญาติตัวเองที่มาจากอินเดีย ที่พูดคำว่า "เปิดทีวี" ผิด แต่กระนั้น เดวี่ ก็ถูกเหยียดหยามและล้อเลียนโดยเพื่อนฝรั่งที่โรงเรียนเช่นกันปมที่น่าติดตาม• คำอธิษฐานของ เดวี่ ขอแฟนหล่อ ๆ สักคน จะเป็นจริงไหม? คิดว่าเป็นจริงนะ แต่จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทั้งสองจะตกหลุมรักกันอย่างไร น่าตามลุ้นจริง ๆ จิกหมอนรอแปปนึงนะ• ทำไมต้องเอานักเทนนิสมาบรรยายเรื่องราวของ เดวี่ ต้องมีความสำคัญบางอย่างแน่นอน นอกจากเป็นเสียงพากษ์ที่ตลกแล้ว ก็น่าจะมีนัยแอบแฝงบางอย่าง แต่หนังยังไม่เฉลยตอนต้นแน่ ๆ หนังบอกให้ดูต่อไปเรื่อย ๆ แล้วจะพบคำตอบ• หนังเรื่องนี้จะมีบทสรุปแง่มุมความรักแบบไหน เด็กเนิร์ดกับนักกีฬาหนุ่มสุดฮ๊อตจะสมหวังยังไง ต้องติดตามชม เพราะเดาทางผู้แต่งไม่ออกจริง ๆ บทสรุปและข้อคิดที่ได้มักจะปรากฏในท้ายเรื่อง ดังนั้นต้องติดตามชมกันต่อไปหลังจากดู 10 นาที การันตีเลย "Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย" เป็นซีรีย์เรื่องเดียวที่อยากดูให้จบ ณ ตอนนี้ น่าดูต่อมาก ๆ ด้วยโครงเรื่องที่สนุก คลายเครียด ย้อนให้คิดถึงวัยเรียนและการแอบรักหนุ่มหล่อข้างห้อง อีกทั้งยังสร้างกำลังใจให้เราหันมาเปลี่ยนตัวเอง เพื่อรับสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตอีกด้วย คลิกไปดูได้เลยที่ netflix ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมการเหยียดสีผิวจาก :https://www.posttoday.com/sports/183529ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องธรรมชาติมนุษย์จาก : https://www.siamturakij.comขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Racism จาก : https://itstopswithme.humanrights.gov.au/about-racismขอบคุณภาพประกอบบทความจาก : netflix.com ผู้เขียนบทความบันทึกภาพจากตัวอย่างหนัง Official ของ Netflixขอบคุณภาพหน้าปกจาก : netflix.com ผู้เขียนบทความดัดแปลงจากภาพในตัวอย่างหนัง Official ของ Netflix
TubThong • 27 พ.ค. 63
อ่าน
never have i ever ซีรีส์วัยรุ่น สุดฟิลกู๊ด
ผู้กำกับ: Mindy Kaling , Lang Fisherช่องทางรับชม : Netflix เรื่องนี้เป็นผลงานล่าสุดของ มินดี้ คาร์ลิ่ง นักแสดง-นักเขียน ชาวอินเดียฝีมือเยี่ยม ที่มีผลงานดังมากมาย เธอได้หยิบเอาเรื่องราวสมัยไฮสคูล มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างซีรีส์เรื่องนี้ออกมาเรื่องย่อ ครอบครัวของ เดวี่ ย้ายมาอยู่ที่อเมริกาจนตอนนี้เดวี่อายุ 15 ปี ที่มีความเป็นอเมริกันมากกว่าพ่อและแม่ที่ยังยึดขนบแบบชาวฮินดูอย่างเหนียวแน่น เป็นธรรมดาเพราะเธออยู่ที่นี่ตั้งแต่เด็ก ๆ คำพูดคำจาก็เหมือนเด็กวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป เดวี่มีปมในใจอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ พ่อของเธอเสียชีวิตกลางงานแสดงดนตรีของเธออย่างกะทันหัน เหตุการณ์นั้นมันทำให้เธอเสียใจหนักมาก อยู่ ๆ เธอก็เดินไม่ได้แต่ก็มีสิ่งหนึ่งทำให้เธอลุกขึ้นมายืนได้แบบไม่รู้ตัวนั้นก็คือผู้ชายที่เธอชอบเหมือนเธอจะนั่งอยู่บนรถเข็นเธอสบตาก็เขาแล้วเธอก็ลุกขึ้นยืนได้เฉยเลย แพ็กตั้นคือผู้ชายที่เธอแอบชอบ เขาเป็นหนุ่มนักกีฬาสุดฮอตประจำโรงเรียน หลังจากนั้นเธอก็ได้ตั้งเป้าว่าฉันจะเปลี่ยนตัวเองมาเป็นสาวสวยที่เฉิดฉายและมี sex กับผู้ชายแบบที่ผู้หญิง ๆ คนอื่น ๆ เขาทำกัน เดมี่ยังชวนเพื่อนซี้ทำภารกิจว่าก่อนขึ้นม.4 คราวนี้พวกเราจะมีแฟนกันทุกคน แต่นี่ไม่ใช่แค่ซีรีส์แนววัยรุ่นทั่วไปแต่ยังเล่าถึงการเติบโตขึ้นของตัวละครแล้ว มันยังเป็นเรื่องราวโรแมนติกเบาสมองมากดูแล้วผ่อนคลาย แต่ยังสอดแทรกการเสียดสีสังคมอย่างร้ายกาจซ่อนปมได้อย่างแนบเนียนแถมยังมีประเด็นดราม่าที่บีบหัวใจมาก เช่น การเผชิญหน้ากับความเศร้า การรับมือกับความสูญเสีย และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดค่ะ ถ้าอยากรู้ว่าสนุกแค่ไหนอย่าลืมไปติดตามชมทาง Netflix นะคะความรู้สึกหลังที่ดูเรื่องนี้จบซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราชอบเรื่องนี้มากคือองค์ประกอบในเรื่องดีมาก ค่อนข้างลงตัวทำให้เราเชื่อมโยงตัวเองเข้าไปในเรื่องได้ง่ายเพราะเนื้อเรื่องหลักพยายามที่จะเล่าเรื่องการเข้าสังคมของตัวหลัก เธอต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นที่ยอมรับในสังคม สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในโรงเรียน ที่แม้แต่ทำงาน เรื่องนี้ล้วนทำให้รู้ว่าทุกคนล้วนมีปัญหา เราต้องรู้จักเผชิญกับปัญหาและแก้ไขมันNever Have I Ever ที่เข้าถึงได้อย่างไม่ยากแล้ว และสิ่งที่ทำให้ซีรีส์มีเสน่ห์ที่สุดคือบทที่ชาญฉลาด สร้างสรรค์ฉากต่าง ๆ ออกมาได้อย่างสนุกสนานความอลวนอลเวงในปมความรักของนางเอกทำให้เรายิ่งอยากติดตามเอาใจช่วยนางเอกมากขึ้นไปด้วยค่ะข้อคิดต่าง ๆ ที่ได้จากเรื่อง1. ความสูญเสียที่เป็นปมภายในใจที่ปลดปล่อยไม่ได้ของนางเอก เธอต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและเดินหน้าต่อไป2. การเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ สีผิว คนเราทุกคนต้องได้รับการยอมรับ ในซีรีส์เรื่องนี้ได้เล่าเรื่อง LGBT ที่ไม่ได้โฉ่งฉ่างแต่กลับเล่าให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมและทำให้มันเป็นที่ยอมรับเพราะนี่คือตัวตนของคนทุกคน3. ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมของอเมริกา ความเป็นอยู่ของเขาเหมือนว่าเราได้เรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อยจุดเด่น1. สิ่งที่ซีรีส์นี้ทำได้ดีคือการใส่เรื่องราวตัวละครสมทบมาได้น่าติดตามทุกคน2. องค์ประกอบทุกอย่างในเรื่องลงตัวมาก3. มีข้อคิดมากมายจากเรื่องนี้จุดด้อย1. พล็อตเรื่องเดิม ๆ แนวหนังรักวัยรุ่น ซึ่งแม้เรื่องจะฉีกให้นางเอกเป็นคนอินเดียที่มีความเก่งในตัวเองสูงเท่านั้น และก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจมากค่ะ เราให้คะแนนที่8.5/10 เพราะมีเนื้อหาที่สนุกทุกอย่างลงตัว ในเรื่องแฝงไปด้วยข้อคิดเยอะแยะมากมาย เช่น การเป็นที่ยอมรับในสังคมและได้แทรกเรื่องLGTB เข้ามาในเรื่องได้อย่างน่าสนใจแต่ไม่ได้มีความรุนแรงทางเพศมาเกี่ยวข้องเลยสักนิด มีการผสมผสานวัฒนธรรมสองฝั่งไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เป็นเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องค่ะ ทุกคนต้องไปดูให้ได้นะคะ รูปภาพหน้าปกจาก : Netflix Thailandรูปภาพในเนื้อหาจาก : Official Trailer
hotchocolate • 14 ส.ค. 63
อ่าน
[รีวิว] Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ซีรี่ย์มัธยมไฮสคูลสุดเฟี้ยวของ Netflix
สำหรับใครที่กำลังเบื่อกับซีรี่ย์แนวเดิมๆ เรื่องเดิมๆ กำลังหาซีรี่ย์เรื่องใหม่แต่ไม่มีเรื่องไหนที่ถูกใจเลย เราขอเชิญทางนี้ค่ะ วันนี้เราจะมาแนะนำซีรี่ย์เรื่องใหม่ของ Netflix ที่มีชื่อว่า "Never Have I Ever" (Cr.Netflix) Never Have I Ever เป็นซีรี่ย์รักวัยใสของเด็กสาวอเมริกันอินเดียสายเนิร์ดนามว่า “เดวี่” ที่ต้องการมีเซ็กส์กับแพ็กซ์ตันหนุ่มสุดฮอตประจำโรงเรียน เธอจะทำอย่างไรต่อไปในเมื่อ 'ก็คนมันไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน'... ภารกิจนี้จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีหรือไม่ มาช่วยเป็นกำลังใจให้กับเธอได้ใน Netflix แล้ววันนี้ค่ะ (โดยซีรี่ย์จะมีทั้งหมด 10 ตอน ตอนละประมาณ 30 นาที ใช้เวลาทั้งหมด 5 ชม. เอาใจคนมีเวลาน้อยดูคืนเดียวก็สู้ไหวค่ะ)Trailer : https://www.youtube.com/watch?v=HyOCCCbxwMQ(Cr.Netflix)[มีสปอยเนื้อเรื่องเริ่มต้นนิดหน่อย]เนื้อเรื่องจะถูกนำเสนอในมุมของชาวอินเดียที่มาอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกา แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและวัฒนธรรมแตกต่างออกไป อาจจะเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของซีรี่ย์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งเล่าเรื่องผ่านเดวี่ที่หลังจากมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ ทำให้เธอเดินไม่ได้ไป 3 เดือน และเมื่อกลับมาเดินได้อีกครั้งเธอตั้งใจจะปฏิวัติตัวเองให้เป็นสาวสุดเจ๋งที่มีความรักสุดเร่าร้อนกับแพ็กซ์ตัน! โดยมีเพื่อนซี้หลากหลายเชื้อชาติของเธอเข้ามาร่วมขบวนการด้วย(Cr.Netflix) เรื่องราวดำเนินไปคล้ายกับภารกิจพิชิตรักที่มีเรื่องราวต่างๆ มากมายมาทำให้คุณสนุกสนานและปวดหัวไปพร้อมกันๆ นอกจากนี้ ด้วยความซ่าสุดทีนของเดวี่ และพฤติกรรมแปลกๆ ของเธอ ทำให้ซีรี่ย์เรื่องนี้มีสีสันมากขึ้นเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันเนื้อเรื่องยังคงสอดแทรกปมปัญหาทางครอบครัวเรื่องของความแตกต่างทางความคิดของเด็กและผู้ใหญ่ มีการกล่าวถึง LGBT เล็กน้อย รวมถึงปัญหาระหว่างแก๊งเพื่อน และวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างลงตัว ซึ่งทั้งหมดนี้เรียบเรียงออกมาได้กลมกล่อมและน่าชื่นชมทีเดียว (Cr.Netflix)โดยรวมแล้ว Never Have I Ever เป็นซีรี่ย์ที่ผ่อนคลาย เบาสมอง ดูได้เรื่อยๆ แม้ว่า Netflix จะทำซีรี่ย์แนวนี้ออกมามากแล้วก็ตาม แต่ซีรี่ย์เรื่องนี้ก็สามารถครองใจผู้ชมได้ด้วยเนื้อเรื่องที่ตลก การเดินเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ มีจุดหักมุมที่น่าสนใจ และนักแสดงของเรื่องก็เลือกเฟ้นออกมาได้เป็นอย่างดีตามคาแรคเตอร์ของตัวละคร ซึ่งจะทำให้หัวใจของคุณเต้นรัวอย่างคาดไม่ถึงแน่นอนค่ะ ยังไงก็ไปเป็นกำลังให้กับเดวี่ได้ใน Netflix สามารถรับชมผ่านกล่อง trueID TV ได้แล้ววันนี้นะคะ ✌✌
ppaloy • 17 มิ.ย. 63
อ่าน
Smile 2 ยิ้มสยอง 2
เรื่องย่อ Smile 2 ยิ้มสยอง 2 ชื่อเรื่อง Smile 2 (ยิ้มสยอง 2)ประเภท สยองขวัญนำแสดงโดย นาโอมิ สก็อต, ไคล์ กาลเนอร์, โรแมรี เดอวิตต์, ลูคัส เกจกำกับโดย พาร์คเกอร์ ฟินน์กำหนดฉาย 17 ตุลาคม 2024ความยาว 127 นาที อ่านรีวิวหนังได้ที่นี่
เรื่องย่อหนัง • 12 ต.ค. 67
อ่าน
บีบอย (B-boy) คืออะไร ?
ภายหน้าปกโดย : pixabay “เซาท์บรองซ์" เมืองแห่งการเริ่มต้นของการกำเนิด การเต้นร่วมกับดนตรี เพลง Hiphop ที่เรียกว่า “Break dance หรือ B-boy ” ซึ่งในปี 1970 เป็นยุคที่วัยรุ่นละตินอเมริกาและคนผิวสี ออกมาขยับร่างกายกันตามท้องถนน เรียกได้ว่าเป็นนักเต้นเท้าไฟในตำนานเลยก็ว่าได้ การเป็นนักเต้นบีบอย หรือ เบรกแดนซ์(Break dance) นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนละตินอเมริกา หรือ คนผิวสี มีรสนิยมในการฟังเพลงที่แตกต่าง หรือ การแต่งตัว เพียงแค่เป็นคนที่มีใจรักในการเต้นแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับ การเป็น นักเต้นบีบอย ถ้าคุณมีใจรักในการเต้น เพียงแค่เปิดใจ เปิดตา มาขยับร่างกายกัน! เราจะมารู้จัก 4 Step ที่นักเต้นบีบอยใช้ในการเต้นกัน ดังนี้ Step 1 : Top-rock คือ การยืนเต้นเป็นส่วนใหญ่(Top = ด้านบน) โดยใช้แขนและขา ในการเต้นให้ตรงจังหวะของเพลง ภาพถ่ายโดย : ผู้เขียน(Supasin Saetang) Step 2 : footwork คือ การเต้นโดยใช้แขนและขา คล้ายๆกับ Top-rock เป็นส่วนล่าง (downward) ซึ่งอาจจะมีส่วนอื่น ๆ เช่น หัวเข่า , ศอก เป็นต้น ภาพถ่ายโดย : pixabay Step 3 : Freeze คือ ไม่ใช่การแช่แข็งในตู้เย็น แต่จะเป็นท่าจบของ บีบอย เมื่อทำ Top-rock , Footwork เสร็จแล้ว ภาพถ่ายโดย : ผู้เขียน(Supasin Saetang) Step 4: Powermove คือ การเต้นโดยใช้ทุกส่วนของร่างกาย เป็นท่าที่ต้องใช้แรงในการเหวี่ยง ซึ่งจะเป็นท่าที่หมุนกลางอากาศ หรือหมุนกับพื้น ซึ่งจะต้องมีพละกำลังในการเต้น เช่น ท่า Head-spin , Airflare, Jackhammer , cricket , windmill , much-mill ,turtle , 2000s , 1990s เป็นต้น ภาพถ่ายโดย : ผู้เขียน(Supasin Saetang) ในประเทศไทย การเต้นบีบอยก็เป็นที่นิยมในหมู่ของวัยรุ่น จนถึงกลุ่มของคนวัยทำงาน ซึ่งมากกกว่าการเต้นที่ทุกคนจะได้รับนั่นก็คือ มิตรภาพที่ดี ซึ่งบีบอยในประเทศไทย จะรู้ดีว่า การได้ไปแข่งในต่างบ้านต่างเมือง จะได้รับการต้อนรับ การช่วยเหลือที่ดี ซึ่งกันและกันเสมอ ทำให้สามารถบีบอย หรือ กีฬาที่คนภายนอกรู้จักนั้น ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่า “Run HiphopB-boy” เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับบทความที่ผมได้แนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับ “บีบอย” ถ้าชอบและถูกใจฝากติดตาม “ห้องสี่เหลี่ยม” ด้วยนะครับ / ขอบคุณครับ 😊
ห้องสี่เหลี่ยม • 5 ก.พ. 63
อ่าน
รีวิวซีรีส์ Never Have I Ever (SPOIL)
เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของวัยว้าวุ่นเป็นสิ่งที่ยากเกินจะห้ามไว้ได้ ซีรีส์วัยรุ่นที่กำลังมาแรงอย่าง Never Have I Ever นั้นสามารถตอบโจทย์ความตลกและเนื้อหาสาระได้อย่างแน่นอนเป็นผลงานการกำกับของ Lang Fisher และ Mindy Kaling โดยเนื้อหาภายในซีรีส์ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนตัวอย่างที่ปล่อยออกมา เป็นเรื่องราวของสาวเชื้อสายอินเดียมัธยมปลายอย่าง Devi (เดวี่) รับบทโดย Maitreyi Ramakrishnan เธอต้องการเปลี่ยนตัวเองจากเด็กเฉิ่มให้กลายเป็นดาวเด่นและมีแฟน แต่อะไรคือสาเหตุของการปฏิวัติตัวเองครั้งนี้ของเดวี่ต้องติดตามต่อในซีรีส์รีวิวสปอยล์เนื้อหาบางส่วนเดวี่เป็นเด็กมัธยมปลายที่สูญเสียพ่อ เธอต้องอยู่กับแม่ผู้เคร่งครัดศาสนา เธอต้องการที่จะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสาวสไตล์อเมริกันเพราะเธอไม่ได้สนใจความเป็นอินเดียเลย สิ่งที่ทำให้เดวี่ยังต้องนับถือศาสนาพรหมฮินดูคือแม่จึงทำให้เธอต้องปฏิวัติตัวเอง จากตัวอย่างและเรื่องย่อของซีรีส์คงเดาไม่ยากว่าการดำเนินเรื่องต้องเกี่ยวกับความรัก เดวี่และกลุ่มเพื่อนต้องทำภารกิจเปลี่ยนจากกลุ่มเด็กเฉิ่มให้กลายเป็นกลุ่มเด็กฮอตให้ได้เดวี่ได้พบกับแพ็กสัน (Paxton) รับบทโดย Darren Barnet หนุ่มนักกีฬาสุดฮอตบทนิยายขายฝันสุด ๆ เดวี่ทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้คบกับแพ็กสัน แต่ระหว่างทางก็ไม่ได้มีอุปสรรคเข้ามาทดสอบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัว และตัวเธอเองที่มีบาดแผลในใจต้องพบจิตแพทย์เป็นประจำบาดแผลที่อยู่ในใจของเดวี่คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้เธอโหยหาความรักจากที่อื่น จากการวิเคราะห์ของผมแล้ว สาเหตุที่ทำให้เดวี่โหยหาความรักแบบฉบับวัยรุ่น หรือต้องการให้เพื่อนมองเห็นปัญหาของเธอใหญ่กว่าใครอื่นเพราะหนึ่งเธอสูญเสียพ่ออันเป็นที่รัก บุคคลผู้เข้าใจและรับฟังความเห็นของเดวี่ สองเธอต้องอยู่กับแม่ชาวอินเดียที่เคร่งครัด บังคับเธอทุกอย่างขัดกับสังคมเสรีภาพอย่างอเมริกันและแม่ของเดวี่มักพูดทำร้ายจิตใจตลอด ทำให้พฤติกรรมของเธอกลายเป็นเด็กขาดความรักซีรีส์สะท้อนสังคมมาก ๆ ถ้าได้นั่งรับชมกับครอบครัวต้องดีอย่างแน่นอน ได้เรียนรู้จากซีรีส์เกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กว่าเกิดมาจากการเลี้ยงดูและสังคมที่อยู่ เช่น กรณีของเดวี่ จริงอยู่ที่พ่อแม่ของเธอเป็นชาวอินเดียแต่สังคมที่อยู่คืออเมริกัน ฉะนั้นโรงเรียนจึงสอนเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องธรรมดาซึ่งขัดกับขนบธรรมเนียบของบ้าน พฤติกรรมของเดวี่จึงก้าวร้าวอย่างที่เห็น แต่ผลสุดท้ายซีรีส์ก็จบแบบมีความสุขความรู้สึกหลังรับชม ซีรีส์สร้างปมขึ้นมาได้น่าสนใจเป็นประเด็นเกี่ยวกับเด็กขาดความรักเพราะอยู่กับผู้ปกครองที่เคร่งครัดมากเกินไป จึงส่งผลทำให้เดวี่ต้องพบจิตแพทย์เนื้อเรื่องก็เชื่อมโยงไปถึงการโหยหาความรักของเหล่าวัยรุ่น ซึ่งที่กล่าวมาทำให้น่าสนใจมากแต่ตอนจบผู้กำกับตัดจบง่ายมากเกินไปผมมองว่าไม่สมเหตุสมผล ผู้รับชมอย่างผมคาดหวังอยากให้ seasons 2 เล่นประเด็นต่าง ๆ ให้กระจ่างและขยายมุมมองของตัวละครให้เด่นชัด และถ้าไม่ชมไม่ได้เลยคือซีรีส์ตลกมาก เดวี่เธอเป็นผู้หญิงอารมณ์แปรปรวนจุดนี้ช่วยสร้างเสน่ห์ให้ตัวละครมาก ๆ ครับ สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดสนใจ สามารถรับชมได้ผ่านทาง Netflix นะครับขอบคุณรูปภาพทั้งหมดจาก Never Have I Ever | Official Trailer | Netflix
HOMOSICK • 5 มิ.ย. 63
อ่าน
The Boy and the Heron เด็กชายกับนกกระสา
เรื่องย่อ The Boy and the Heron เด็กชายกับนกกระสา ชื่อเรื่อง The Boy and the Heron เด็กชายกับนกกระสาประเภท แอนิเมชัน / ผจญภัย / ดรามาให้เสียงพากย์โดย โซมะ ซานโตกิ, มาซากิ สุดะ, ไอมยอน, โยชิโนะ คิมุระกำกับโดย ฮายาโอะ มิยาซากิกำหนดฉาย 11 มกราคม 2024ความยาว 124 นาที
เรื่องย่อหนัง • 12 พ.ย. 66
อ่าน
แนะนำ: Never Have I Ever สักครั้งในชีวิตที่แม่ไม่เข้าใจ!
ในที่สุด! ก็มีโอกาสได้รีวิวซีรีย์วัยรุ่นเนื้อหาปังสุดฉุดไม่อยู่อย่างเรื่อง Never Have I Ever ซึ่งเป็นซีรีย์ของทาง Netflix นั่นเอง ในตอนแรกก็คิดว่าคงเป็นหนึ่งในซีรีย์วัยรุ่นที่มีพล็อตเรื่องเดิมๆไม่ได้แตกต่างอะไร ประมาณว่าเด็กเนิร์ดอยากเทิร์นเป็น Gossip girl ซึ่งในตอนแรกมันก็ใช่อ่ะนะ ฮ่าๆๆ แต่พอดูไปเรื่อยๆก็ถึงกับร้องว้าวออกมาพร้อมอ้าปากค้างเหวอในรายละเอียดที่ทางซีรีย์ได้สอดแทรดเอาไว้ให้คิด ซึ่งข้อแตกต่างของเรื่องนี้คือความยากลำบากของเด็กวัยรุ่นแรกแย้มที่ต้องการมีชีวิตเหมือนเพื่อนอเมริกันรอบๆตัว แต่กลายเป็นว่าเพราะศาสนาและวัฒนธรรมของชนชาติเดิมเธอนั้นทำให้ความยากลำบากเกิดขึ้น ซึ่งก็ตรงกับชื่อเรื่องที่ว่า ก็คนมันไม่เคย...เป็นวัยวรุ่นปกตินี่หน่า เนื้อเรื่องจะน่าติดตามขนาดไหนไปติดตามกันเลย ***ไม่มีเนื้อหาที่เป็นการสปอยแน่นอน ไว้ใจไรต์ได้เลย*** เนื้อเรื่องย่อ: Devi เด็กสาววัย 16 ที่พึ่งหายจากการเดินไม่ได้และจำเป็นต้องโตมากับแม่เพียงสองคนเพราะพ่อเสียได้ไม่นาน กำลังจะเป็นวัยรุ่นและวัยรุ่นในนิยามของเธอคือ ต้องได้ปาร์ตี้ มีชีวิตที่เป็น somebody ไม่ใช่ Nobody แบบนี้ ซึ่งเมื่ออาการเดินไม่ได้ก็หายแล้ว ทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางไปหมด ฉะนั้นมิชชั่นแรกที่ต้องทำให้สำเร็จประเดิมช่วงวัยรุ่นก็คือได่นอนกับคนที่เธอชอบและป๊อบระดับดังข้ามโรงเรียนอย่าง Paxton แต่แค่อย่างแรกก็ขัดกับความเชื่อของชาวฮินดูของเธออย่างมหันต์ขนาดนี้ จะทำยังไงให้แม่เข้าใจหรือจะทำลับหลังแม่ดี คุณพระ! นั่นแหละค่ะเรื่องย่อที่เกี่ยวกับเด็กสาวชาวอินเดียที่เกิดและโตที่อเมริกา ภายใต้สภาพแวดล้อมที่อิสระ เธอยังคงต้องปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่ขัดกับความเป็นอยู่รอบๆตัวนั่นเอง เรื่องวุ่นมันก็เลยเกิดขึ้นเมื่อเธออยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเองสักที แต่แม่ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าใจและไม่ปล่อยให้เธอได้โผบินด้วยตัวเองเลยนี่สิ เอาล่ะค่ะคุณผู้อ่าน การขัดใจแม่นี่แหละที่มันส์ไม่ไหว ฮ่าๆๆ แนะนำตัวละคร Devi '16 แล้วพี่แต่มามี้ไม่ยอมให้เป็นวัยรุ่น!' หญิงสาวที่มีบุคลิกเปรี้ยวซ่าก๋ากั่นแต่ขัดกับความเชื่อที่บ้านที่ต้องเป็นเด็กเรียบร้อย รักนวลสงวนตัว ซึ่งนั่นทำให้ชีวิตของเธอค่อนข้างยากเพราะความต้องการของเธอดูจะไม่เป็นที่ปลื้มปริ่มของแม่เท่าไหร่ ยากไปกว่านั้นเนื่องจากเป็น 'ลูกรักพ่อ' จึงเดาได้ไม่ยากว่าค่อนข้างจะไม่ถูกกับแม่สักเท่าไหร่แต่เมื่อจู่ๆพ่อที่มักจะเข้าข้างเดวี่กลับเสียชีวิตไปซะงั้น ใครล่ะจะเป็นคนประนีประนอมเวลาที่เดวี่กับแม่ทะเลาะกัน ชีวิตในโรงเรียนของเดวี่ที่มีเพื่อนขนาบข้างอย่าง 'Eleanor' และ 'Fabiola' ที่ค่อนข้างจะเป็นเพียงหนึ่งในนักเรียนธรรมดาไม่ได้พิเศษอะไรและนั่นทำให้เดวี่ไม่ยอมและหาทางเปลี่ยนกลุ่มของเธอให้เริ่ดปัง เป็นที่จับจ้องของคนทั้งโรงเรียนซึ่งทุกคนรู้ดีใช่มั้ยคะว่ามันไม่ได้ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เธอต้องเผชิญและพุ่งชนเป้าหมายก็คือการได้นอนกับคนดังของโรงเรียนที่เธอแอบชอบอย่าง 'Paxton' ตอนแรกก็ดูจะง่ายอยู่หรอกจนกระทั่งต้องเผชิญกับความกลัวไม่กล้าของตัวเองด้วยนี่สิ เหนื่อยแทนเลยคุณแม่ Eleanor 'ชีวิตหนูดราม่ากว่าบทละครที่ได้รับอีกค่ะมัม!' สาวเอเชียที่เติบโตในอเมริกาและเป็นลูกไม้ตกไม่ไกลต้นในเรื่องการแสดง เพื่อนในกลุ่มของเดวี่ที่มักจะอยู่ข้างๆและคอยซัพพอร์ตเดวี่เสมอ ซึ่งมิชชั่นของเดวี่ก็ต้องสำเร็จ เธอจะช่วยและคอยเป็นหูเป็นตาเสมอ แต่แท้จริงแล้วนั้นความดราม่าคลุกรุ่นในชีวิตก็เกิดขึ้นกับเอลีนอร์ ซึ่งเธอจะรับมือได้มั้ยนะ Fabiola 'ผู้หญิงสายหวานทาเล็บมันไม่ใช่หนู!' เพื่อนอีกคนของเดวี่ที่มักจะอยู่ข้างๆและเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอหากแต่เรื่องของเธอกลับยังไม่มีใครได้ฟังเพราะหากพูดไปก็กลัวเพื่อนไม่เข้าใจและสังคมรอบข้างเปลี่ยนไป ความแสนดีของเฟบรีโอล่าช่างเป็นดาบสองคมในการพูดความจริงเพราะเธอเป็นห่วงความรู้สึกคนรอบข้างหากได้รู้เรื่องในใจของเธอ Paxton 'คนดังก็มีหัวใจ ผมไม่ได้ชอบใครที่หน้าตา' คนนี้ขอหวีดเพราะหลงไม่ไหวแล้วค่าาา เพกตันคือชายในฝันของเดวี่ (รวมถึงไรต์ด้วย ฮ่าๆๆ) ที่เป็นหนุ่มฮอตนักว่ายน้ำของโรงเรียน ซึ่งคงคอนเซ็ปเบสิคที่ว่า สาวเนิร์ดชอบหนุ่มป๊อบ ประมาณนั้น แต่แท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่คนอื่นเห็นเพกตันมันไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นที่เขาเป็นและเขาก็รอว่าสักวันจะมีคนบางคนเข้ามาเข้าใจเขาและพร้อมรับในสิ่งที่เขาเป็นจริงๆให้ได้ โอ้โห อวยกันซะไม่มี ฮ่าๆๆ Ben 'หนุ่มเนิร์ดแสนเพอร์เฟคก็เหงาเป็น' คู่กัดตลอดกาลของเดวี่ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีวันญาติดีกัน โดยเบนเป็นหนุ่มเนิร์ดแสนรวยที่มีแฟนแสนสวยแล้ว ทุกอย่างดูครบครันไม่ขาดสิ่งใดอีกหากแต่ใจจริงแล้วนั้น เขากลับเหงาและรู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่เห็นมีค่าเลย เขายอมแลกทุกอย่างเพื่อมีเพื่อนสักคนที่จริงใจกับเขา โถๆ อย่าร้องนะลูกกก พ่อแม่ของเดวี่ แก้วตาดวงใจที่ไม่ว่ายังไงก็เป็นแค่เด็กเล็กๆสำหรับพ่อแม่ พ่อแม่ชาวอินเดียของเดวี่ที่ย้ายมาทำงานที่อเมริกาและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน การเลี้ยงดูลูกให้ยังคงเป็นสาวอินเดียที่ไม่ลืมวัฒนธรรมชนชาติของตนในสังคมที่ขัดกับคำสอนทุกอย่างช่างเป็นงานหนักของพ่อแม่เสียจริง ยิ่งไปว่านั้นลูกคนนี้ก็แสบใช่ย่อย แต่ให้ทำไงได้ ลูกรักของพ่อแม่ จะต้องเลี้ยงให้ได้ดีให้ได้ น้าของเดวี่ 'สวยดั่งนางฟ้าแต่ว้า...ต้องถูกคลุมถุงชน' ความสวยบางทีก็เป็นอุปสรรคสำหรับเธอในการใช้ชีวิตที่อเมริกาเพราะเมื่อเธอชอบใครและเขาชอบกลับ ยังไงก็คงพัฒนาความสัมพันธ์แบบยืนยาวไม่ได้เพราะเธอรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงคนที่ใช่ก็คือคนที่พ่อแม่เลือกไว้ บทบาทของน้ามักจะพยายามคอยรับฟังเดวี่แต่ก็ยังต้องแก้ปัญหาของตนให้ได้ ความลำบากของสาวสวยไม่น่าอิจฉาเลยค่ะซิสสส รีวิว: โดยส่วนตัวชอบเนื้อหาของเรื่องที่ไม่ผูกปมจนเกินไป แต่ละตอนก็จะมีปัญหาในแต่ละครั้งไปเลยหากแต่ยังคงมีเนื้อหาหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นทุกๆปัญหาของเดวี่และเพื่อนๆของเธอทำให้หยุดดูไม่ได้ จนในที่สุดก็ดูจบรวดเดียวแบบไม่มีพักเลยค่ะ ฮ่าๆๆ องค์ประกอบภาพและบรรยากาศภายในเรื่องค่อนข้างดี ไม่ได้เน้นหนักไปทางชีวิตในโรงเรียนอย่างเดียวแต่ยังคงมีการพูดถึงครอบครัวของแต่ละบ้านของเด็กๆภายในเรื่อง และเบื้องหลังที่สร้างให้ตัวละครเป็นแบบนี้ก็ค่อนข้าง make sense ทำให้เราเข้าใจวัยรุ่นทุกคนในเรื่องจริงๆ ที่ชอบที่สุดคือเนื้อเรื่องไม่เน้นหนักไปทาง sex และความต้องการของวัยรุ่นเหมือนซีรีย์วัยรุ่นหลายๆเรื่องเลยทำให้เราสามารถดูซีรีย์เรื่องนี้ไปพร้อมๆกับคนในครอบครัวได้แน่นอนค่ะ Never Have I Ever ซีรีย์สะท้อนชีวิตวัยรุ่นที่ไม่เคยได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น เป็นอีกหนึ่งในซีรีย์ที่อยากแนะนำคุณผู้อ่านไปตำ ไปเสพมากๆเลยค่ะและไรต์รับประกันว่าทุกคนจะต้องหลงรักตัวละครทุกตัวแน่นอน คลายเครียดละหนึ่ง ฟินละหนึ่ง ซึ้งละหนึ่ง ครบรสขนาดนี้พลาดไม่ได้แล้วนะคะ อีกทั้งซีรีย์เรื่องนี้ยังสามารถรับชมผ่านกล่อง True ID TV ได้แล้ววันนี้นะคะ เริ่ดที่สุด! สำหรับครั้งนี้ก็ต้องขอลากันไปก่อน แต่อย่างที่บอกว่าหนังดีซีรีย์ปังมีอีกเป็นร้อยล้านแปดเรื่อง ฉะนั้นครั้งหน้าไรต์จะเอาเรื่องอะไรมาฝากนั้น ปูเสื่อรอได้เลยเจ้าค่ะ ขอบคุณรูปภาพจาก เครดิตภาพปกและภาพทั้งหมดในบทความ
mikella • 18 มิ.ย. 63
อ่าน
Bridget Jones: Mad About the Boy บริดเจ็ท โจนส์ หลงหนุ่มหนักมาก
เรื่องย่อ Bridget Jones: Mad About the Boy บริดเจ็ท โจนส์ หลงหนุ่มหนักมาก ชื่อเรื่อง Bridget Jones: Mad About the Boy บริดเจ็ท โจนส์ หลงหนุ่มหนักมากประเภท ตลก / โรแมนติกนำแสดงโดย เรเน เซลเวเกอร์, ฮิวจ์ แกรนท์, ชูวิเท็ล เอจีโอฟอร์, เอ็มมา ทอมป์สันกำกับโดย ไมเคิล มอร์ริสกำหนดฉาย 12 กุมภาพันธ์ 2025ความยาว 124 นาที อ่านรีวิวหนังได้ที่นี่
เรื่องย่อหนัง • 8 ก.พ. 68
อ่าน
The Boy Who Never Grows ชวนให้อ่านหนังสือดีของศิลปินดัง แม็กซ์เจนมานะ
เรื่องประหลาด ๆ ที่จะสอนให้เราเติบโต จากหนังสือ เด็กไม่รู้จักโตประโยคหนึ่งจากหนังสือ ( เด็กไม่รู้จักโต , 2559)ผมจะเป็นเด็กไปอย่างนี้ ไปจนกว่าโลกจะล่มสลาย ประโยคข้างต้นอาจอธิบายความรู้สึกของใครหลาย ๆ คนได้อย่างดี ไม่ว่าใครก็ต้องผ่านช่วงเวลาแห่งการเติบโตกันทั้งนั้น แต่บางครั้งเมื่อเรากำลังเติบโตขึ้นเรากลับรู้สึกว่า “ไม่อยากโต” เพราะเหตุผลมากมายหลายอย่าง การเปลี่ยนแปลงของตัวเองและสิ่งรอบตัว การจัดการกับความรู้สึก การมีเรื่องที่ยากขึ้นให้ต้องตัดสินใจ รวมไปถึงภาระหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโต หนังสือเล่มหนึ่งวรรณกรรมเยาวชนแนว Coming of age ที่อยากชวนให้อ่าน “The boy who never grows เด็กไม่รู้จักโต” เป็นเรื่องราวของเด็กไม่รู้จักโตคนหนึ่งสะท้อนถึงเบื้องลึกความรู้สึกในจิตใจของผู้ใหญ่ไม่อยากโตหลาย ๆ คนเอาไว้ซึ่งเมื่อเราได้อ่านจบแล้วจะรู้สึก ว่าเราได้เติบโตขึ้น หรือไม่ก็พร้อมที่จะโตขึ้นไปอีกขั้นนั่นเอง หนังสือเล่มนี้เราอยากแนะนำเพราะค่อนข้างอ่านง่าย น่าติดตาม สนุก ที่สำคัญไม่ยาวมากด้วย แถมยังรู้สึกได้อะไรดี ๆ กลับมานักเขียน? เครดิตภาพ : https://www.instagram.com/p/Bf_OjMqFrmO/?igshid=rqtmljc5iyj8 ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นศิลปินหนุ่มเจ้าของบทเพลงอินดี้ที่โด่งดังอย่าง “วันหนึ่งฉันเดินข้าป่า” แม็กซ์ เจนมานะ หรือนามปากกา เจนมานะ ชื่อเสียงของเขามักเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นศิลปินจากรายการประกวดร้องเพลง The Voice Thailand เขาเป็นทั้งนักร้อง นักดนตรี นักแต่งเพลงที่มีฝีมือมีผลงานทางดนตรีมากมาย แต่อันที่จริงแล้วความฝันที่เขาอยากทำที่สุดก็คือการเป็นนักเขียนและตอนนี้เขาก็ได้เป็นนักเขียนอย่างที่ใจปรารถนาแล้ว แม๊กซ์ เจนมานะ มีผลงานหนังสือด้วยกัน 2 เล่มคือ Strange to meet you และ The boy who never grow งานเขียนของเขาก็ทำได้ดีไม่แพ้กับงานดนตรีเครดิตภาพ : https://www.instagram.com/p/B6NBOhTFY7V/?igshid=fos52ckzfmdxเขาพึ่งจะเปิดตัวลูกชายสุดน่ารักไป "น้องชัดเจน" เมื่อเปิดหน้าแรกของหนังสือ ก็ทำให้เราเข้าใจและรู้สึกกับหนังสือเล่มนี้ยิ่งขึ้น The boy who never grows นวนิยายเรื่องแรกของเจนมานะ จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือเนื้อหาเรื่องราวที่แปลกและแฝงความหมายประกอบกับแง่คิดให้เราได้ฉุกคิดมากมายระหว่างอ่าน อีกทั้งยังเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เขียนโดยคนไทย แต่ เมื่ออ่านแล้วรู้สึกได้กลิ่นอายของวรรณกรรมแปลของต่างประเทศ ด้วยการเขียนบรรยายของนักเขียน การใช้ภาษาของเขาอ่านแล้วรู้สึกเข้าถึงได้ง่ายกระชับไม่ยืดยาว เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้คล้ายกับว่าเรากำลังได้ฟังบทเพลงบรรเลงของเขาอยู่ในขณะเดียวกัน เพราะภาษาแสดงออกถึงความเป็นตัวเขาได้ดีเช่นเดียวกับเพลงเลย เปิดหนังสืออ่านบทแรกก็วางไม่ลง เรื่องถูกเล่าผ่านมุมมองของตัวละคร “ผม” ตัวเอกของเรื่อง เรื่องราวเริ่มต้นอย่างเรียบง่ายเด็กชายตัวจ้อยไม่ยอมนอนคนหนึ่งออกไปเดินเล่นยามค่ำคืนท่ามกลางอากาศหนาวและหิมะตกปรอย แต่เมื่อเรื่องดำเนินถึงบรรทัดที่ว่า “ข้าง ๆ กันนั้นก็คือหลุมศพของผมเอง ”ประโยคจบของบทแรก ได้ทิ้งปริศนาให้สงสัย กระตุ้นความอยากรู้จนต้องอ่านต่อจนจบ เรื่องย่อ เรื่องราวแปลก ๆ เริ่มต้นขึ้น เด็กชายคนหนึ่งฟื้นขึ้นมาจากความตาย การตายของเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อเขาหายตัวไปรวมทั้งแม่ของเขากลับกลายเป็นปฏิบัติต่อของอย่างเย็นชา สิ่งที่เขาได้มาแลกกับการมีชีวิตต่ออีกครั้งไม่รู้จะเรียกว่า “พร” หรือ “คำสาป” สี่อย่างที่ผิดแปลกไปก็คือ1.จำไม่ได้ 2.ไม่หลับ 3.ไม่หลับ 4.ไม่ตาย ในที่สุดแม่ของเขาก็ทนไม่ได้และหนีไปอีกคน เมื่อไม่มีทั้งพ่อและแม่แล้วเขาจึงตัดสินใจออกตามหาความจริงและความทรงจำที่หายไปด้วยหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ 8 ชิ้นทำไมถึงน่าอ่าน ? มีเหตุการณ์ที่ ชวนให้สงสัย ทำให้ตื่นเต้น พร้อมเอาใจช่วยตัวละครตลอดเวลา เกิดอะไรขึ้นกับเด็กประหลาดคนนี้กันแน่ ? ทำไมถึงนอนไม่หลับ ? ทำไมถึงไม่โต? ตอนที่เขาค้นพบว่าเขามีความเป็นอมตะยิ่งทำให้เราอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ปมเหล่านี้เป็นจุดสำคัญที่นำตัวละคร “ผม” เข้าสู่ปัญหาทั้งยังมีตัวละครอื่นเข้ามาทำให้ชีวิตของเขาวุ่นวายเข้าไปกันใหญ่ ในที่สุดเมื่อชีวิตของเขาไม่เหลืออะไรจึงตัดสินใจออกผจญภัยตามหาสิ่งที่เขาต้องการเพื่อตอบทุกข้อสงสัย วิธีที่จะได้สิ่งที่ต้องการคือการผจญภัยไปเพื่อตามหาอดีต ในการผจญภัยมีสิ่งประหลาดมากมายที่ดูมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น ชายขี้เมาที่ดูเหมือนจะสติไม่ดีแต่กลับเชียวชาญในหน้าที่ของเขา ห้องสมุดแห่งสถานที่ซึ่งมีประตูนำพาคุณไปที่ไหนก็ได้ , ห้องสมุดแห่งเวลา , หนังสือของชีวิต , เหล่าโทรล หีบวิเศษที่ทำให้คุณลืมทุกอย่าง ในที่สุดเขาก็ค้นพบความจริงที่ให้ทุกความกระจ่างแก่เขา แต่ความจริงนั้นอาจเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากนัก เรื่องราวหักมุมในตอนท้าย เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลับเป็นผลจากการกระทำของเขาเองมันจบลงด้วยดี แต่จบอย่างไรต้องไปตามอ่านกันเองInterest เราจะหยิบประเด็นที่น่าชวนขบคิดมาให้ลองอ่านกันเผื่อว่าอยากจะไปหาอ่านหนังสือเล่มนี้ตาม ชื่อหนังสือบอกใบ้อยู่แล้วว่า เด็กไม่รู้จักโต แต่ที่แน่ ๆ แก่นของหนังสือเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงเด็กเพียงอย่างเดียว แต่พูดถึง “ความเป็นเด็ก” ในตัวของทุกคนมากกว่า ในแง่ของ วรรณกรรม Coming of Age นวนิยายเรื่องนี้ก็ไม่ใช่วรรณกรรม Coming of Ageสำหรับเด็ก ซะทีเดียว แต่เป็นวรรณกรรมแห่งการเติบโตสำหรับผู้ใหญ่ด้วย หากคุณสามารถลืมทุกอย่างเหมือนเอามันใส่ไว้ในหีบ? ในเรื่องมีฉากที่ตัวเอกเดินทางไปตามหาความทรงจำของพ่อที่หายไปและพบกับโทรลกับหีบวิเศษของโทรล ที่สามารถทำให้ลืมทุกอย่างได้ “ใส่ทุกอย่างเข้าไปในหีบวิเศษของข้า ไม่ว่าอะไรที่เข้าไปอยู่ในหีบนี้จะถูกลืมเลือนจนหมดสิ้น และเจ้า... เจ้าจะลืมเรื่องราวทุกอย่าง” หลายคนอาจถามหาหีบวิเศษใบนั้นที่สามารถลบล้างให้ลืมเรื่องราวทุกอย่างไปได้จนหมดสิ้น ถ้าหากมันมีจริงเราคงนำเรื่องราวเจ็บปวดมากมากใส่ลงไปในหีบเพื่อที่จะลืมมัน และไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป แต่ถ้าหากว่ามันมีจริงหล่ะ ? ที่ตัวละครเอกความจำเสื่อมไม่ใช่เพราะเหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะเขาเลือกที่จะลืมมากกว่าซึ่งตีความหมายว่าเป็นการกระทำแบบเด็ก ๆ การก้าวหนีจากความจริง การยอมรับเรื่องราวที่เจ็บปวดไม่ได้ การผลักไสความรับผิดชอบสิ่งที่ทำ การเลือกจำไม่ได้คงจะดีกว่าสุดท้าย “ผม”ก็ได้รู้ความจริง เขายอมรับอดีตและกลับไปเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ เพราะในสิ่งที่เลือกจะลืมไม่ได้มีแค่ความเจ็บปวดแต่ยังมี “ความรัก” โอบล้อมอยู่เสมอ และความรักนี้เองเป็นแรงจูงใจและแรงขับเคลื่อนที่ซ่อนอยู่ เขาเลือกที่จะจำคนที่เขารักที่สุดเพียงคนเดียวไว้ คนทุกคนมีหนังสือของชีวิต ในเรื่องพูดถึง “หนังสือของชีวิต” คือหนังสือที่เก็บบันทึกเรื่องราวชีวิตของผู้คนทุกเหตุการณ์ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ละคนมีหนังสือชีวิตเป็นของตัวเอง หนังสือชีวิตแต่ละคนมีเรื่องราวที่แตกต่างกันออกไป บ้างเป็นเรื่องธรรมดา บ้างเป็นเรื่องตลก บ้างเป็นเรื่องโศกนาฏกรรม น่าคิดตามเหมือนกับเป็นสิ่งที่อธิบายความเป็นจริงได้เห็นภาพว่าชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกันและแต่ละคนมีเรื่องราวของตัวเอง คล้ายกับหนังสือของชีวิตในนวนิยายเรื่องนี้ "อ่านชีวิตจริงอาจจะยิ่งกว่านิยาย" เวรกรรม ตามทันกันในชาตินี้ อีกประเด็นที่น่าคิดที่หนังสือเล่มนี้สอดแทรกไว้ คือ “เวรกรรมมีจริง” เวรกรรมในที่นี้หมายถึง “ผล”ของการกระทำ ในเรื่องเห็นของผลจากการกระทำมากมายทั้งเล็กน้อย รวมทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับเข้าทุกอย่างก็เป็นผลจากการกระทำของเขาทั้งนั้น"ลูกดอกพุ่งไปยังเจ้านกตัวร้าย....และพบว่าลูกดอกที่ยิงออกไปได้ตกลงมาบนหัวของผมเองเสียแล้ว" ถึงในหนังสือจะมีประโยคเด็ดที่กล่าวไว้อย่างโดนใจว่า “ผมจะเป็นเด็กไปอย่างนี้ ไปจนกว่าโลกจะล่มสลาย” เช่นเดียวกันเราหลาย ๆ คน ก็ไม่อยากจะเติบโตเมื่อโลกมันยาก แต่วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงให้เห็นแง่มุมของการก้าวข้ามผ่านไปถึงการเติบโตในชีวิตที่ต่างออกไป ทำให้เราเห็นว่าเมื่อมาถึงจุดหนึ่งเราก็ต้องโตอยู่ดี ทั้งร่างกาย ความคิด และ จิตใจด้วย ทุกสิ่งจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตเสมอ ความจริง ความเสียใจ ความเจ็บปวด ความยาก ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง แต่อย่าลืมว่าไม่ได้มีแต่สิ่งแย่ ๆ เสมอไป มีสิ่งดีๆมากมาย ความรัก ความสุข เสียงหัวเราะ ก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เราเติบโตได้ดีเช่นกัน เราต้องยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและก้าวต่อไป เพราะการเติบโตก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หลังอ่าน “เด็กไม่รู้จักโต” แล้ว แน่นอนว่าคุณเองก็จะเติบโตขึ้นด้วย
thithaเขียน • 8 ม.ค. 63
อ่าน
รีวิวหนังสือภาพ : A Fish That Smiled At Me ปลายิ้มได้กับชายคนหนึ่ง
ผมเป็นเจ้าของปลาตัวหนึ่ง เป็นปลาที่ซื่อสัตย์เยี่ยงสุนัข รู้ใจเยี่ยงแมว ผูกพันเยี่ยงคนรักภาพชายใส่หมวกอุ้มโหลใส่ปลายืนอยู่ริมน้ำกับชื่อหนังสือที่ว่า A Fish That Smiled At Me ปลายิ้มได้กับชายคนหนึ่ง ค่อนข้างดึงดูดความสนใจคนที่ชอบอ่านหนังสือภาพอย่างเราไม่น้อยเลยค่ะ ไม่นานมานี้ญาติของเรานำหนังสือมาแบ่งให้อ่านหลายเล่มมาก ๆ ทั้งหนังสือภาพและเรื่องสั้นต่าง ๆ แต่เพราะรู้สึกสะดุดตากับภาพและชื่อเรื่องที่ปกของเล่มนี้เป็นพิเศษ เราเลยเลือกหยิบขึ้นมาพลิกดูเรื่องย่อแล้วก็ได้พบกับประโยคสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยคที่ปกหลังซึ่งทำให้เราที่กำลังลังเลว่าจะอ่านอะไรก่อนดีตัดสินใจนำหนังสือภาพเล่มนี้มานั่งอ่านเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในผลงานของ Jimmy Liao นักวาดภาพประกอบชาวไต้หวันผู้สร้างสรรค์หนังสือภาพสำหรับผู้ใหญ่ซึ่งโด่งดังมาแล้วหลายต่อหลายเล่ม ผลงานของเขาเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศจนถูกนำไปแปลไว้หลายภาษา นอกจากนี้บางผลงานยังได้รับการดัดแปลงทำเป็นละครเพลงรวมถึงภาพยนต์ด้วยค่ะ สำหรับ A Fish That Smiled At Me ปลายิ้มได้กับชายคนหนึ่ง ก็เป็นหนังสือภาพอีกเล่มที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์แอนิเมชั่นจนได้รับรางวัล Special Prize of the Deutsches Kinderhilfswerk ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน ประจำปี 2006 มาแล้ว A Fish That Smiled At Me ปลายิ้มได้กับชายคนหนึ่ง เป็นหนังสือภาพที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่เดินผ่านร้านขายสัตว์น้ำเป็นประจำค่ะ ในแต่ละครั้งที่เขาเดินผ่านร้านนี้จะมีปลาหน้ายิ้มตัวหนึ่งว่ายตรงมาหาราวกับเฝ้ารอที่จะได้ทักทายเขาอยู่ตลอด จนในที่สุดเขาก็เกิดถูกชะตาและตัดสินใจซื้อปลาตัวนี้นำกลับมาเลี้ยงที่บ้าน เจ้าปลาตัวน้อยคอยอยู่กับเขาทั้งในตอนทานข้าว ดูทีวี แม้กระทั่งอาบน้ำ มันคอยว่ายวนในโหลข้างตัวเขาราวกับเป็นเพื่อนคลายเหงา ทำให้ชายคนนี้รักปลาของเขามาก ๆ ค่ะแต่อยู่มาวันหนึ่งในคืนที่เงียบสงบเขาได้หลับและฝันไปว่าได้ออกเดินทางร่วมกับเจ้าปลาตัวน้อย ทั้งเข้าไปเต้นรำในป่า เดินผ่านทุ่งหญ้า ลอยคอในทะเลด้วยกันอย่างสนุกสนาน เขารู้สึกเหมือนปลาที่แหวกว่ายในทะเลได้อย่างอิสระเสรีแต่แล้วกลับพบความจริงที่ว่าตัวเองกลายเป็นเพียงปลาตัวหนึ่งในโหลใบใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะพยายามฝ่าผนังใส ๆ นั่นเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ นั่นทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งตื่นค่ะ เมื่อมองไปยังโหลปลาคู่ใจในครั้งนี้เขากลับรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดได้ว่าบางทีเขาอาจกำลังขังปลาตัวโปรดไว้ในบ้านของเขาเอง นั่นเลยเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างซึ่งนำไปสู่การปลดปล่อยทั้งตัวเขาและเจ้าปลาในที่สุด ส่วนบทสรุปจะเป็นยังไงสามารถติดตามต่อได้ภายในเล่มได้เลยค่ะรีวิวสำหรับหนังสือภาพเล่มนี้ถูกนำมาแปลโดยคุณอนุรักษ์ กิจไพบูลทวี ซึ่งผู้แปลเลือกใช้คำแปลออกมาได้อย่างเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งตรงประเด็นกับที่ผู้เขียนอย่าง Jimmy Liao ต้องการจะสื่อ ด้านในประกอบด้วยภาพประกอบที่มีลายเส้นสมกับเป็นงานของ Jimmy Liao ที่วาดด้วยลายเส้นเข้าใจง่ายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยในแต่ละภาพประกอบ ไม่จำเป็นต้องอ่านจากตัวอักษรก็สามารถตีความจากภาพได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีประโยคสั้น ๆ ประกอบบางหน้าเพื่อให้ผู้อ่านเข้าถึงเรื่องราวได้มากขึ้น ส่วนภาพประกอบเขาเลือกใช้สีที่ค่อนข้างสบายตาไม่ฉูดฉาดค่ะ มีการคุมโทนสีไปในโทนเดียวกันทำให้ระหว่างอ่านและดูรูปเรารู้สึกไหลลื่นไม่ขัดตา มีการเล่นสีที่โดดเด่นขึ้นมาบางจุดเพื่อดึงสายตาผู้อ่านไปยังจุดสำคัญที่เขาต้องการจะสื่อและเน้นให้เห็นองค์ประกอบที่สวยงามค่ะสำหรับเนื้อเรื่องนั้นแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่เรียกได้ว่าแฝงไว้ด้วยแง่มุมของชีวิตอย่างคาดไม่ถึงเลยค่ะ หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกระจกที่สามารถสะท้อนความคิดของผู้อ่านได้อย่างหลากหลายแล้วแต่มุมมองแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีแก่นของความคิดในรูปแบบเดียวกัน เป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่พออ่านจบแล้วเรากลับต้องอ่านอีกครั้งเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ผู้วาดต้องการจะสื่อได้ถ่องแท้มากขึ้น สำหรับเราตีความหนังสือเรื่องนี้ออกมาในแง่ของความรักค่ะ อย่างที่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาบ้างว่าความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่สำหรับหนังสือเล่มนี้นอกจากจะสื่อว่าความรักไม่ใช่การครอบครองแล้ว ความรักยังเป็นการให้อิสระแก่กันด้วยค่ะเมื่อเรารักใครซักคนหลาย ๆ คนคงมีความรู้คล้ายกับชายเลี้ยงปลาคนนี้ที่อยากเป็นเจ้าของและเก็บเจ้าปลาตัวนี้ไว้กับตัวเองไปตลอด แต่บางครั้งการตีกรอบไว้ตลอดเวลานั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดก็ได้จริงไหมคะ บางครั้งพื้นที่ในโหลแก้วที่ปลอดภัยนั้นอาจคับแคบเกินกว่าจะว่ายไปไหนมาไหนได้อย่างใจนึก ชีวิตของปลาที่ควรได้แหวกว่ายในท้องทะเลก็เหมือนชีวิตของคนเราที่ยังมีสิ่งต่าง ๆ รอให้ค้นพบอีกมาก แต่บางครั้งเพียงเพราะคำว่ารักอาจเป็นการเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้กับตัวเองมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหนังสือเล่มนี้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการให้อิสระแก่กันมากขึ้นค่ะ เราสามารถรักและผูกพันกันมากเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าความรู้สึกผูกพันนั้นส่งผลให้เกิดการกระทำที่ผูกมัดกันมากเกินไป จากสุขก็อาจอาจกลายเป็นทุกข์ได้ง่าย ๆ โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการไม่ยึดติดกันมากจนเกินไปถือเป็นอีกสิ่งที่จะทำให้หัวใจของเราเป็นสุข เหมือนกับที่ชายเลี้ยงปลาเลือกที่จะปล่อยวางและตัดสินใจทำบางสิ่งเพื่อเจ้าปลาแสนรักของเขาในที่สุดแต่อย่างไรก็ตามอย่าถึงขั้นปล่อยปละละเลยกันไปเสียก่อนนะคะ ไม่ว่ายังไงการเอาใจใส่กันและกันก็คือสิ่งสำคัญที่สุดไม่น้อยไปกว่าการให้อิสระแก่กันเลยค่ะสำหรับใครที่สนใจฉบับรูปเล่ม สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือซีเอ็ดหรือสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ร้านหนังสือออนไลน์ได้เลยนะคะ ราคา 325 บาทเท่านั้น จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ a book รับรองว่าภาพสวย กระดาษดี สีคมชัด และเนื้อเรื่องให้ข้อคิดในชีวิต คุ้มค่าต่อการซื้อแน่นอนค่ะวันนี้เราคงต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่เลยค่ะ : Kiki เครดิต : ภาพประกอบที่ 1 โดยนักเขียน / ขอบคุณรูปประกอบที่ 2 จาก Pexels / ภาพประกอบที่ 3 โดยนักเขียน
Kiki • 26 เม.ย. 63
อ่าน
'คิงเพาเวอร์' เผยโฆษณา 'THAILAND SMILES WITH YOU' เสนอเรื่องราวผู้รับผลกระทบจากโควิด-19
หลังจากที่ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ริเริ่มโครงการ THAILAND SMILES WITH YOU #ยิ้มให้โลกให้โลกยิ้ม ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการจดจำชื่อ ประเทศไทย กับทั่วโลกในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งโดยภาพรวมของโครงการ คือการสร้างกำลังใจ และการประชาสัมพันธ์ประเทศไทยผ่านกีฬาฟุตบอล หนึ่งในกีฬาที่คนทั่วโลกสนใจติดตาม โดยนำสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกของประเทศอังกฤษ มาร่วมสื่อสารโครงการฯ ในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การจัดทำเสื้อ THAILAND SMILES WITH YOU สำหรับชุดแข่งของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ตลอดฤดูกาล 2020-2021 โดยนักเตะสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ใส่ชุดแข่งดังกล่าวให้ปรากฏแก่สายตาชาวโลกกว่า 212 ประเทศ 643 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นการสื่อสารในระดับสากล ในประเทศไทย โครงการฯ ได้เปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ และได้เป็นผู้ริเริ่มการสร้างช่องทางให้คนไทยมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีนอาร์เอนเอ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ของคณะวิทยาศาสตร์และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และโครงการเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 อื่นๆ ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน ด้วยการจัดทำเสื้อรุ่นพิเศษ THAILAND SMILES WITH YOU โดยรายได้ทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่ายจากการจำหน่ายเสื้อจำนวน 10,000 ตัวจะสมทบเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว และการตอกย้ำครั้งสำคัญก่อนเข้าสู่ปีใหม่ เพื่อเป็นกำลังใจให้เกิดความหวัง ผลักดันให้ทุกคนมองไปข้างหน้ารอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ร่วมกัน โครงการ THAILAND SMILES WITH YOU โดย คิง เพาเวอร์ จึงนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาชุด Smile at your home ground ที่นำเสนอเรื่องราวจากชีวิตจริงของผู้คนจากหลากหลายอาชีพที่ต้องเผชิญอุปสรรคมากมายภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เปรียบเสมือนการเดินทางผ่านอุโมงค์อันมืดมิดที่ทอดยาวมาตลอดปี และกำลังต้องมุ่งหน้าต่อไปเพื่อให้พบกับ ความหวังที่เป็นแสงสว่าง เพื่อที่จะกลับสู่สนามชีวิตดังเดิมในที่สุด โดยในภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ ได้หยิบยกเรื่องราวของหลากหลายอาชีพเพื่อสื่อสารถึงแนวคิดสำคัญในการเผชิญอุปสรรคและสร้างกำลังใจ ความหวัง ให้ตัวเองอีกครั้ง นางกุสุมา ทองคำพูล รองหัวหน้ากุ๊กครัวไทย ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า พี่ไม่เคยท้อ และไม่เคยร้องไห้เลยนะ เพราะพี่เชื่อในอาชีพของพี่ และมั่นใจว่าจะได้กลับมาทำงานที่เรารักได้เหมือนเดิม พี่เป็นแม่ครัวที่นี่มา 15 ปีแล้ว ที่นี่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง พี่และเพื่อนๆอีกกว่า 200 ชีวิตยังมีความหวังอยู่ว่าจะได้กลับมาเปิดครัวทำในสิ่งที่เรารักอีกครั้ง และได้เจอเพื่อนๆ ที่เป็นเหมือนครอบครัว วัชรา ดำสมุทร ผู้จัดการเรือ บริษัท แปซิฟิก ฮอลิเดย์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า พยายามคิดแต่สิ่งที่ดีๆ ครับ คิดถึงวันข้างหน้าไว้เสมอ มองไปข้างหน้าอย่างเดียว ผมมองไปไกลแล้วครับ ผมไม่ได้มองอยู่แค่โควิด ผมจึงไม่เคยท้อ ผมสู้ต่อ โชคชะตาข้างหน้าไม่แน่นอน เราคิดว่า โควิดก็เหมือนเป็นด่านทดสอบ ที่เราต้องคิดหาวิธีว่าเราจะรับมือกับมันอย่างไร อาธากร สุดเวหา นักแสดงหุ่นละครเล็ก โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ รางน้ำ กล่าวว่า คณะเราอยู่กันแบบครอบครัว ให้กำลังใจกันตลอด ก็บอกกันเสมอว่าอย่าไปท้อ เดี๋ยวสักวันหนึ่งเราก็จะกลับมารวมกันเหมือนเดิม ได้กลับมาทำงานที่เรารัก คนในคณะก็เลยไม่มีใครท้อหรือยอมแพ้ทุกคนต่างเฝ้ารอและมีความหวังว่าจะได้กลับมาแสดงร่วมกันอีกครั้ง ทั้งนี้ โครงการ THAILAND SMILES WITH YOU เป็นโครงการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย ที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดทำขึ้นด้วยตระหนักถึงการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบต่อสังคม ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการช่วยบรรเทา สนับสนุน และสร้างเสริมโครงการต่างๆ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ ให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไปด้วยกัน ซึ่งภาพยนต์โฆษณาชุดนี้จะเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ออนไลน์ทั้งในประเทศไทยและประเทศอังกฤษผ่านช่องทางการสื่อสารของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ โดยเริ่มเผยแพร่แล้วตั้งแต่วันนี้ และสำหรับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19
มติชน • 25 ธ.ค. 63
อ่าน
10 ข้อที่ควรดูซีรีส์อินเดีย-อเมริกัน Never Have I Ever (2020) จาก NETFLIX Original
ซีรีส์ที่ผสมผสานความเป็นเอเชียท่ามกลางสังคมวัยรุ่นอเมริกัน การใช้ชีวิตของเดวี่ วิศวกุมาร สาวน้อยเชื้อสายอินเดีย 100% ที่เติบโตในอเมริกา มองเผิน ๆ ก็เหมือนคนอินเดียทั่ว ๆ ไป แท้จริงเธอไม่มีความเป็นอินเดียเลยต่างหาก ซีรีส์ถ่ายทอดการใช้ชีวิตไฮสคูลที่มีทั้งความรัก มิตรภาพ ครอบครัว เป็นหนัง Coming of Age ที่มีสีสันของความเป็นอินเดียเข้ามาทำให้มีความสับสันปะปนกันไป ทำไมเราจึงแนะนำให้ไปดูเพราะ 10 ข้อที่ควรดูของ Never Have I Ever ภารกิจแสนซน ของคนไม่เคยของเดวี่ ที่ต้องลองทำบางอย่างเป็นครั้งแรกก่อนก้าวข้ามความเป็นวัยรุ่นไปก็น่าจะโดนใจหลาย ๆ คนที่ผ่านช่วงเวลานั้นมา01 รู้จักวัฒนธรรมอินเดียผ่านครอบครัวของเดวี่ เราจะเห็นว่าครอบครัวนี้มาอยู่ที่อเมริกาเพราะหน้าที่การงานที่เติบโต ประชาชนส่วนใหญ่ในอินเดียนับถือศาสนาฮินดู รวมถึงครอบครัวนี้ด้วย สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เห็นคือ พ่อแม่ไม่ทานเนื้อวัว แต่เดวี่เองทาน แม่ที่บังคับลูกให้เป็นไปตามวิถีของคนเอเชีย ตั้งใจเรียนอย่างเคร่งครัด ห้ามคบเพื่อนต่างเพศ มองภาพการศึกษาต้องควบคุมเด็ก การศึกษาแบบอเมริกาไม่สร้างคนคุณภาพ02 มิตรภาพภายในกลุ่มเพื่อนที่รวมตัวกันหลายชาติพันธุ์ทั้งอินเดีย จีน และเม็กซิกัน ที่เหล่าเพื่อนในโรงเรียนในฉายากลุ่มนี้ว่า UN เป็นการรวมตัวของคนที่ไม่โดดเด่น แต่ก็มีความอบอุ่นและจริงใจภายในแก้งค์เพื่อนกลุ่มเล็ก ๆ03 Stereotype ที่มองคนเอเชียว่าฉลาด แบบที่เพื่อน ๆ ในห้องให้ฉายาว่ากลุ่มเนิร์ด ที่สำคัญซีรีส์ก็ทำให้เห็นว่าเดวี่เป็นเด็กที่เรียนเก่ง04 ธรรมเนียมปฎิบัติของอินเดีย ในเรื่องครอบครัวของเดวี่ที่อาศัยอยู่กับแม่และลูกพี่ลูกน้องของเธอ ที่กำลังเรียนปริญญาเอก มหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ต้องถูกคลุมถุงชนที่ครอบครัวเลือกให้ เธอพยายามหาทางออกว่าคู่ครองเป็นเรื่องที่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง แน่นอนว่าจะต้องปัญหากับครอบครัวอย่างแน่นอนหรือให้เป็นหน้าที่ของครอบครัวจะดีกว่า05 ความเจ็บปวดของวัยรุ่นผ่านตัวละคร ประเด็น LGBTQ ผ่าน ฟาร์บิโอล่า เพื่อนสาวชาวเม็กซิกัน ที่ต้องยอมรับความเป็นตัวเองและทำอย่างไรให้ครอบครัวได้รับรู้ ประเด็นความขัดแย้งระหว่างครอบครัวผ่าน อีลีเนอร์ หว่อง ที่แม่ยังไล่ล่าความฝัน ซึ่งการทำเช่นนี้ย่อมทำให้เธอห่างจากลูกไปเรื่อย ๆ จนลูกที่เคยเห็นว่าแม่เป็นไอดอล ไม่คิดเช่นนั้นอีกต่อไป ประเด็นพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกผ่าน เบน เพื่อนคู่ปรับกับเดวี่ทางการศึกษา ทำให้เห็นว่าจิตใจของเด็กที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ ภายในใจเขาเป็นเช่นไร06 มุมมองด้านความรัก เราได้เห็นความรักในวัยรุ่นที่เป็นทั้งแรงบันดาลใจ ความโรแมนติก หรือความรักแบบเพื่อนที่เดวี่ต้องตัดสินใจว่าเธอจะนิยามความรักแบบใด และมอบความรักให้ใครระหว่าง เบน ที่เปลี่ยนจากคู่ปรับมาเป็นคนที่เข้าใจหรือ แพ็กตั้น หนุ่มหล่อในฝันที่มอบปาฏิหาริย์ในชีวิต07 แม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้ที่ไม่ค่อยลงรอยกับลูก เราจะได้เห็นประเด็นครอบครัวที่แม่ของเดวี่ ที่ควยควบคุม ไม่ให้อิสระกับลูกเป็นเพราะเธอรักลูกน้อย หรือรักตามแบบฉบับของคุณแม่สไตล์เอเชียกันแน่08 วันสำคัญทางศาสนาฮินดูก็คือวันรวมญาติแบบเอเชีย การอนุญาตให้บรรดาญาติ ๆ เข้ามาติฉินนินทา โอ้อวดลูกหลานอย่างเปิดเผย ในมุมนี้ใคร ๆ ที่ดูก็น่าจะเชื่อมโยงกับประเทศไทยที่มีวัฒนธรรมการรวมญาติคล้าย ๆ กัน09 ใครที่ชื่นชอบ จอห์น แม็คเอนโร นักเทนนิสชายชาวอเมริกัน อดีตมือวางอันดับหนึ่งของโลก ที่พากย์ดำเนินเรื่องให้เนื้อเรื่องกลมกล่อมเพราะอุปนิสัยที่คล้ายกับ "เดวี่" ที่อารมณ์ร้อน พอ ๆ กัน ในภาคแรก แม็คเอนโร ได้ปรากฎตัวด้วยแต่ไม่บอกหรอกว่าตอนไหนต้องไปหาดูกันเอง10 เราจะผ่านมันไปด้วยกัน Coming of Age บทสรุปในซีซั่น 1 ทำให้ตัวละครทุกคนเติบโตขึ้น ผ่านครั้งแรก... ในหลาย ๆ อย่างที่ชวนให้ย้อมมองที่ชีวิตของเรา ในวัยเดียวกันนี้ เรามีมีหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นเหมือนกับเด็กวัยรุ่นในเรื่อง เพื่อน ๆ สามารถรับชม Never Have I Ever ได้ที่ Netflix ซึ่งในปัจจุบันสามารถรับชม Netflix ผ่านทางกล่อง True ID TV ได้แล้ววันนี้ อย่าพลาดที่รับชมเชียวล่ะ หลังดูจบแล้วก็คงอยากดูซีซั่นต่อไปอย่างแน่นอน ซีรีส์ภาคต่ออาจจะเล่นประเด็นของแพ็กตั้น หนุ่มหล่อลูกเสี้ยวญี่ปุ่น ต้องติดตามชมไปด้วยกันนะ ภาพหน้าปกและภาพประกอบจาก Never Have I Ever | Official Trailer | Netflix
แมวน้อยด้อยปัญญา • 4 มิ.ย. 63
อ่าน
The Boy and The Beast อนิเมะในปี 2015
สวัสดีครับผม…. วันนี้ผมก็มีอนิเมะเก่ามาแนะนำให้อ่านกันนะครับ มีชื่อเรื่องว่า The Boy and The Beast เป็นอนิเมะในปี 2015 เนื้อเรื่องก็เป็นเกี่ยวกับ โลกอีกมิติหนึ่งที่จะมีสัตว์อาศัยอยู่ และก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับด้านมืดในใจของมนุษย์ ผมบอกได้เลยว่าอนิเมะเรื่องนี้สนุกมากและซึ้งด้วยเรื่องก็มีอยู่ว่า เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเรนนั้นเขากำลังเสียใจเรื่องที่แม่เขาเสียชีวิต และเขากำลังจะถูกรับเลี้ยงโดยญาติฝั่งแม่ แต่เรนนั้นไม่อยากไป เขานั้นอยากไปอยู่กับพ่อของเขามากกว่า แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าพ่ออยู่ไหน เรนได้หนีออกจากบ้านเขาได้เข้าไปในซอยก็มีหนูตัวหนึ่งอยู่ ซึ่งเรนนั้นก็ได้ให้อาหารหนูตัวนั้นไป ทำหนูตัวนั้นขึ้นไปอยู่บนหัวเรนและตามเรนไปทุกที่ เรนได้มานั่งแอบอยู่ที่จอดจักยาน อยู่ดี ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามาทักถามว่าอยากไปอยู่กับเขาไหม ไปเป็นลูกศิษย์ของเขา ด้วยน้ำเสียงห้วน ๆ เรนเห็นท่าทางเขาเหมือนไม่ใช่คนก็ตกใจ แต่เขาก็ตามคนแปลกหน้านั้นไป คนแปลกหน้าเดินเขาไปในซอย พอเรนเดินตามมาก็ทำให้เขามาอยู่อีกมิติหนึ่งซึ่งที่นี่มีแต่สัตว์อาศัยอยู่ เรนก็งงและตกใจมากวิ่งวุ่นไปทั่วจนโดนพวกสัตว์จับได้ สัตว์พวกนั้นจะเอาเรนไปทำเป็นอาหารแต่โชคดีที่ พระที่มีชื่อว่ายาชุคุโบะ ผ่านมาพอดีเขาได้ช่วยเรนไว้ได้พอดี ยาชุคุโบะก็มีรูปร่างเป็นหมู ยาชุคุโบะได้พาเรนเดินเล่น แต่ก็มาเจอชายแปลกหน้าที่ชื่อว่าคุมัทเท็ตสึ ซึ่งเป็นคนแปลกหน้าที่เรนเดินตามเข้ามาในมิตินี้คุมัทเท็ตสึนึกดีใจคิดว่าเรนนั้นเดินตามมาเพราะอยากเป็นศิษย์ ยาชุคุโบะก็ห้ามคุมัทเท็ตสึว่าอย่าเอามนุษย์มาเป็นลูกศิษย์ ยาชุคุโบะก็พูดขึ้นชาวสัตว์นั้นไม่อยากให้มนุษย์เข้ามาเพราะมนุษย์นั้นอ่อนแอและมีด้านมืดในจิตใจ ยาชุคุโบะก็บอกให้เอาเรนนั้นกลับไปส่งที่โลกมนุษย์คุมะเท็ตสึนั้นก็ไม่ยอมจะเอาเรนมาเป็นลูกศิษย์ให้ได้เพราะเขานั้นทำตัวแย่ไม่อยากมีใครเป็นลูกศิษย์เขาเลย คุมะเท็ตสึจึงพาตัวเรนกลับไปที่บ้าน เขาถามชื่อของเรนแต่เรนนั้นไม่ยอมตอบอะไรเลย แล้วเขาก็ถามอายุของเรน แต่ครั้งนี้เรนยอมตอบ เรนชูนิ้วขึ้นมา 9 นิ้ว เรนอายุ 9 ขวบ คุมะเท็ตสึจึงตั้งชื่อให้ว่าคิวตะ ซึ่งแปลว่า เก้าคุมะเท็ตสึก็บอกให้คิวตะนอนแต่เขานั้นหัวแข็งไม่ค่อยยอมคุมะเท็ตสึ เขาวิ่งหนีออกไปข้างนอกเช้าวันต่อมาคุมะเท็ตสึตื่นมาก็ไม่เจอคิวตะนอนอยู่ก็คิดคีตะนั้นหนีไปแล้วแต่ที่ไหนได้ คิวตะนั้นนอนอยู่ในกรงไก่ คุมะเท็ตสึเห็นก็ดีใจไปเอากระทะกับค้อนมาเคาะให้เสียงดัง เพื่อให้คิวตะนั้นตื่น แล้วก็พาไปกินข้าว คุมะเท็ตสึได้ทำอาหารให้คิวตะกิน อาหารนั้นก็คือข้าวกับไข่ดิบ คิวตะก็ไม่ยอมกิน จากนั้นคิวตะก็วิ่งหนีไป คิวตะจะหนีกลับโลกมนุษย์แต่ดันมาเจอสองพี่น้องหมูป่าที่มีพ่อเป็นหมูป่าชื่ออีโอเซ็นซึ่งกำลังจะเป็นประมุขคนต่อไป ซึ่งการที่จะเป็นประมุขได้ก็ต้องได้รับการยอมรับจากประมุขคนก่อน คุมะเท็ตสึที่วิ่งตามคีตะมาก็ได้เจออีโอเซ็น ซึ่งอีโอเซ็นได้เข้าไปทักทายและได้รู้ว่าคุมะเท็ตสึนั้นได้รับมนุษย์เข้ามา เขาทั้งคู่เลยมีปากเสียงกันและก็ท้าดวลกัน ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นก็มาดูชาวบ้านนั้นก็ต่างเชียร์แต่อีโอเซ็นเพราอีโอเซ็นนั้นสุภาพเรียบร้อยต่างจากคุมะเท็ตสึที่เหมือนนักเลง การดวลนั้นช่วงแรกเหมือนคุมะเท็ตสึนั้นจะชนะแต่เพราะเสียงเชียร์จากชาวบ้านทำให้อีโอแว็นมีแรงสู้ จังหวะนั้นทำให้คิวตะก็ตะโกนเชียร์คุมะเท็ตสึทำให้คุมะเท็ตสึนั้นพลาดท่าให้กับอีโอเซ็นชนะ จากนั้นท่าประมุขก็ปรากฏตัวขึ้น บอกให้หยุดการต่อสู้แล้วแยกย้ายจากนั้นคิวตะก็ได้กลับไปบ้านคุมะเท็ตสึ เขาก็ยอมกินข้าวที่คุมะเท็ตสึทำให้คุมะเท็ตสึที่นอนอยู่ได้ยินเสียงคิวตะกำลังกินข้าวที่เขาทำก็ดีใจ ซึ่งแน่นอนว่าคิวตะนั้นจะยอมเป็นลูกศิษย์ของคุมะเท็ตสึ วันต่อมาเขาทั้งคู่ได้ไปฝึกการต่อสู้แต่คุมะเท็ตสึที่พึ่งเคยสอนคนอื่นทำให้การอธิบายการสอนต่าง ๆ ฟังไม่ค่อยเข้าใจทำให้เขาทั้งคู่ทะเลาะกันเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ที่น่ารักมากครับ ฮ่า ๆ ผมว่าก็สนุกและตลกดี ถ้าเพื่อน ๆ อยากรู้ว่าคุมะเท็ตสึและคิวตะจะเป็นยังไงต่อก็ไปดูกันนะครับ เป็นอนิเมะที่ภาพสวยมากครับและเนื้อเรื่องก็สนุกผมชอบอนิเมะเรื่องนี้เพราะว่ามันแปลกดี มีความน่าของมนุษย์ของมนุษย์และสัตว์ แถมการเดินเรื่องก็สนุก การเปลี่ยนแปลงของทั้งคู่เริ่มดีขึ้นจากคนที่นิสัยหยาบคายไม่มีใครชอบก็เริ่ม มีคนยอมรับ จริง ๆ แล้วคุมะเท็ตสึนั้นก็เป็นอาจารย์ที่ดีแต่แสดงออกไม่เป็นขอบคุณภาพจาก http://www.theboyandthebeast.com/
เจ้าแมวดำ • 27 เม.ย. 63
อ่าน
รู้จัก 8 นักแสดง ซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย
และแล้วก็เดินทางมาถึง Season4 ซึ่งถือว่าเป็น Season สุดท้ายแล้วสำหรับซีรีส์ original ของทาง Netflix อย่าง “Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย” ที่เป็นการบอกเล่าของวัยรุ่นชาวอินเดียอย่าง เดวี่ ที่ในแต่ละวันของเธอนั้นมีเรื่องวุ่นวายอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์กับเพื่อน หรือเรื่องราวของความรักของเธอนอกจากพล็อตเรื่องจะสนุกเฮฮาไม่เครียดแล้วนั้น ก็ยังได้เหล่านักแสดงมากฝีมือในเรื่องอีกด้วย วันนี้เราเลยอยากจะชวนเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักกับนักแสดงในเรื่องนี้กันผ่านทาง ‘รู้จัก 8 นักแสดง ซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย’ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (Never Have I Ever) ซีซั่นสุดท้าย | ตัวอย่างอย่างเป็นทางการ | Netflixhttps://youtu.be/RJljOsqFqvIhttps://www.instagram.com/p/Cs1iGrZJy1w/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CsBpqOWNdhy/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==1.) ไมท์เรยิ รามากริชนาน (Maitreyi Ramakrishnan) นางเอกในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย มีชื่อว่า “ไมท์เรยิ รามากริชนาน (Maitreyi Ramakrishnan)” เธอเกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ2001 ปัจจุบันอายุ 21 ปี เธอนั้นเกิดและเติบโตในเมือง Mississauga, Ontario ประเทศแคนาดา สัญชาติแคนาดา ในพาร์ทของการศึกษา York University ในสาขาการละครhttps://www.instagram.com/p/CtcPzMQO407/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ไมท์เรยิ รามากริชนาน รับบท เดวี่ วิชวากุมาร โดยในซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย สาวไมท์เรยิ รามากริชนาน แสดงในบทบาทของ “เดวี่ วิชวากุมาร (Devi Vishwakumar)” ซึ่งเป็นนางเอกหรือตัวเองของเรื่อง เธอนั้นเป็นสาวสวยชาวอินเดียที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 6 และกำลังเข้ามหาลัยในอีกไม่ช้า เธอเป็นเด็กเนิร์ด เรียนเก่ง และเป็นคู่แข่งและคู่กัดตีคู่กันกับเบนในเรื่องของการเรียนเสมอ มีนิสัยเฮฮา ทะเล้น แต่จะเป็นคนที่พูดมากพูดเยอะเวลาตื่นเต้น ทำให้ในหลาย ๆ ครั้งเธอทำทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี ซึ่งเรียกว่าสาวไมท์เรยิแสดงออกมาได้ดีเยี่ยมมาก เหมือนเธอแสดงเป็นเดวี่จริง ๆ ดึงและคีพคาแรคเตอร์ได้ปังมาก ชอบตอนเดวี่คลั่งรัก ดูแล้วแบบอินสุดอะไรสุดจริง ๆ ค่ะ เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่การันตีว่าเพื่อน ๆ จะต้องหลงรักแน่นอนhttps://www.instagram.com/p/CsRfsrNJV8N/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CtKJZFcJpPz/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CtSE57GPOxs/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามไมท์เรยิ รามากริชนานInstagram : @maitreyiramakrishnan2.) จาเรน เลวิสัน (Jaren Lewison) นักแสดงคนต่อมาในเรื่องนี้ก็คือหนุ่ม “จาเรน เลวิสัน (Jaren Lewison)” เขาเกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ 2000 เกิดและเติบโตที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส จบการศึกษาจากวิทยาลัยที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย ด้วยปริญญาตรีสาขาจิตวิทยา พร้อมวิชาโทด้านนิติวิทยาศาสตร์และอาชญวิทยา โดยเขาเคยเป็นนักแสดงเด็กที่แสดงในละครเรื่อง Barney Friends และบทบาทที่โดดเด่นที่สุดของเขาคือ Lang Fisher และ Mindy Kaling และซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever ทาง Netflixhttps://www.instagram.com/p/Cikw9wDpHs1/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==จาเรน เลวิสัน รับบท เบ็น กรอส โดยในซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย หนุ่มจาเรนแสดงเป็น “เบ็น กรอส (Ben Gross)” เป็นหนุ่มเนิร์ดเรียนเก่งที่เป็นคู่ปรับกับเดวี่ แต่แล้วพวกเขาทั้งสองก็ดันตกหลุมรักกันและกันแบบงง ๆ ซึ่งเบ็นเป็นคนที่รวย เพอร์เฟค เกิดมาในกองเงินกองทอง เป็นคนที่ค่อนข้างปากเก่ง ชอบเอาชนะทำให้บางครั้งเขาเผลอขิงและดูถูกคนอื่นแต่ลึก ๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีจิตใจดี อีกทั้งเขายังเป็นหนุ่มที่ Perfectionist พอตัวเลย ซึ่งหนุ่มจาเรนก็แสดงในบทบาทของเบ็นได้ดีมาก มีความเป็นเบ็นจริง ๆ แสดงอินเนอร์ผ่านสีหน้า แววตา และท่าทางได้ดีมาก จนบางครั้งทางเราดูไปก็หมั่นไส้ไปเลยละค่ะ ฮ่า ๆ https://www.instagram.com/p/Cs9kWFmviF9/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/Ch2d0Lpsyf-/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามจาเรน เลวิสันInstagram : @jarenlewison3.) ดาร์เรน บาร์เน็ต (Darren Barnet) หนุ่มฮอตในเรื่อง Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ที่บอกเลยว่าใครต่อใครเป็นต้องหลง!♥️หนุ่มคนนั้นคือ “ดาร์เรน บาร์เน็ต (Darren Barnet)” เขาเกิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ.1991 ในลอสแองเจลิส โดยเขานั้นแสดงละครและภาพยนตร์สั้นตั้งแต่อายุได้ 5 ขวบ และในปี 2018 หนุ่มดาร์เรน รับบทบาท เป็นฮอต เซธในซีรีส์เรื่อง Turnt แลเได้แสดงตัวประกอบในภาพยนตร์โทรทัศน์ Lifetime Instakiller ซึ่งเป็นการเปิดตัวในพาร์ทของการแสดงภาพยนตร์ของเขาเลยhttps://www.instagram.com/p/CidQFGZOyPC/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ดาร์เรน บาร์เน็ต รับบท แพ็กซ์ตัน ฮอลล์-โยชิดะ หนุ่มดาร์เรน บาร์เน็ต รับบทบาทเป็น “แพ็กซ์ตัน ฮอลล์-โยชิดะ (Paxton Hall-Yoshida)” โดยเขานั้นเป็นหนุ่มหล่อสุดฮอตประจำโรงเรียนที่สาวมๆ ทุกคนต่างชื่นชอบ โดยใน Season4 นั้นเขาก็ได้ขึ้นมหาวิทยาลัยที่ ASU แต่แล้วก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับเขา ทำให้เขาจะต้องกลับมาอยู่ที่เดิม!? โดยแพ็กซ์ตันนั้นเป็นเหมือนรักแรกของเดวี่เลย เป็นหนุ่มที่เดวี่ไฝ่ฝันอยากเป็นแฟนกับเขามาก ๆ แพ็กซ์ตันเป็นคนที่มีนิสัยดี เป็นหนุ่มสายชิล แอบมีความเจ้าชู้ไม่ใช่เล่น เขาเป็นคนที่รักครอบครัว รักเพื่อนมาก ซึ่งหนุ่มดาร์เรนนั้นเรียกว่าฟิตติ้งกับบทบาทที่ได้รับเป็นอย่างมาก เป็นหนุ่มที่หล่อ นัยต์ตาสวยมีเสน่ห์ หุ่นคือแซ่บเบอร์สิบมาก เป็นหนึ่งบทบาทที่ชวนหวีดมากค่า https://www.instagram.com/p/CsrX9eHPZnx/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/CrAFg7DLACx/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามดาร์เรน บาร์เน็ตInstagram : @darrenbarnet4.) ไมเคิล ซิมิโน (Michael Cimino) หนุ่มหล่อคนต่อมา เป็นหนุ่มที่เรียกว่ามาใหม่ใน Season เป็นหนึ่งในตัวละคนที่หล่อเท่กร้าวใจมาก นั่นคือหนุ่ม“ไมเคิล ซิมิโน (Michael Cimino)” เขาเกิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ1999 ปัจจุบันอายุ 23 ปี ที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา โดยหนุ่มไมเคิล ซิมิโนเป็นหนุ่มที่หลายคนรู้จักเขาในบทบาทของ Bob Palmeri จากเรื่อง Annabelle Comes Home และ Victor Salazar ใน Hulu series Love, Victorhttps://www.instagram.com/p/CTniAeKvcBB/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ไมเคิล ซิมิโน รับบท อีธาน โมราเลส โดยในซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย หนุ่มไมเคิล ซิมิโน แสดงเป็น “อีธาน โมราเลส (Ethan Morales)” โดยเขานั้นเป็นเด็กชั้นมัธยมปีที่ 5 เป็นรุ่นน้องในโรงเรียนที่หล่อคมเข้ม แถมฮอตสาวกรี๊ดมาก แต่เขาเป็นคนที่นิสัยไม่ดี เกเร แถมยังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง เจ้าชู้มาก แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาและเดวี่เกิดปิ๊งกันเรื่องราววุ่น ๆ ครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องไปติดตามรับชมค่า ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ใหม่ในเรื่องนี้ แต่บอกเลยว่าเป็นบทบาทที่มีเสน่ห์จนแฟนคลับของซีรีส์เรื่องนี้คือหวีดมาก หนุ่มไมเคิลแสดงคาแรคเตอร์ของอีธานออกมาได้ดี ดูแบดถึงใจ ดูแล้วหลงรักตามเลย😍 แถมขอสปอยด์เลยว่าหนุ่มไมเคิลหนุ่มแซ่บมากแม่!! https://www.instagram.com/p/CtPLgTUJ3xs/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามไมเคิล ซิมิโนInstagram : @itsmichaelcimino5.) ราโมน่า ยัง (Ramona Young) นักแสดงคนต่อมาในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever นั่นคือสาวสวยหน้าเฉี่ยวที่บอกเลยว่าเฟี๊ยซตัวแม่มาก เธอคนนั้นก็คือ “ราโมน่า ยัง (Ramona Young)” เกิดวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ.1995 ปัจจุบันอายุ 25 ปี จริง ๆ แล้วเธอเป็นคนฮ่องกง และได้มาใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกา เรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียลอสแองเจลิส และได้ศึกษาการแสดงที่ Playhouse West โดยเธอนั้นได้ปรากฏตัวครั้งแรกในตอนของซิทคอม ABC เรื่องสั้นเรื่อง Super Fun Night ในปี 2014 อีกทั้งเธอยังมีความสนใจและความสามารถในด้านการเขียนบท และการกำกับอีกด้วย เรียกได้ว่าสวยเก่งไม่เกินจริงhttps://www.instagram.com/p/ClG7sw4J4Rv/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ราโมน่า ยัง รับบท เอเลนอร์ หว่อง โดยในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever สาวราโมน่า ยัง รับบทเป็น “เอเลนอร์ หว่อง” เป็นหนึ่งในเพื่อนซี้ของเดวี่ โดยเธอนั้นเป็นชาวเกาหลีที่เรียกว่าแฟชั่นนิสต้ามาก เป็นคนที่มีนิสัยร่าเริง Alert เป็นคนที่เฮฮา และเป็นพลังบวกของเพื่อน ๆ อยู่เสมอเลย เอเลนอร์ยังมีความฝันอยากเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฮอลลีวูดอีกด้วย เรียกว่าเป็นหนึ่งตัวละครที่น่ารัก ช่วยสร้างสีสันและความสนุกให้กับเรื่องราวเป็นอย่างมาก โดยสาวราโมน่านั้นพรีเซ้นท์ออกมาได้ดีมาก ชอบการแต่งตัวของเธอในแต่ละซีนมาก โดดเด่นคัลเลอร์ฟูลสุดแม่ ♥️https://www.instagram.com/p/CsyxK7nOMu5/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==https://www.instagram.com/p/Cq-5gxYL_bM/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามราโมน่า ยังInstagram : @ramonabishyoung6.) ลี โรดริเกซ (Lee Rodriguez) มาต่อกันที่นักแสดงคนต่อมาในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever นั่นคือ สาวเท่สุดปังอย่าง “ลี โรดริเกซ (Lee Rodriguez)” เธอเกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ.1999 ปัจจุบันอายุ 23 ปี ในเมืองเฟรสโน รัฐแคลิฟอร์เนีย การแสดงครั้งแรกของเธอคือ บทบาทของ Bea ในซีรีส์เรื่อง Class of Lies ในปี 2018 และในปีเดียวกันนั้น เธอก็ได้แสดงในเรื่อง Grown-ish และปี 2020 กับซีรีส์ทาง Netflix อย่าง Never Have I Ever https://www.instagram.com/p/CtAOnCwSwPI/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ลี โรดริเกซ รับบท ฟาบิโอล่า ตอร์เรส ในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever สาวลี โรดริเกซ รับบทเป็น “ฟาบิโอล่า ตอร์เรส (Fabiola aka Fab)” หรือจะเรียกเธอสั้น ๆ ว่า Fab (แฟ้บ) โดยเธอก็เป็นเพื่อนรักเพื่อนที่ดีของเดวี่ เป็นคนที่ซัพพอร์ตและใจดีกับเพื่อนมาก อีกทั้แฟ้บยังเป็นคนที่ฉลาด รักความถูกต้อง รักเพื่อน และเธอก็มีทักษะด้านการสร้างหุ่นยนต์ เป็นหัวหน้าชมรมหุ่นยนตร์เลย และแฟ้บก็เป็น LGBTQ อีกด้วย เรียกว่าเธอนั้นเป็นอีกหนึ่งคาแรคเตอร์ที่น่ารัก เป็นคนที่มีความอบอุ่นใจมาก ซึ่งสาวแซ่บอย่างลี โรดริเกซ สลัดภาพสาวเซ็กซี่สาวแซ่บออกมาอย่างสิ้นเชิง แสดงออกมาได้ดีมาก ชอบวิธีการพูด การมองของเธอ ทำให้คนดูอินและหลงรักตัวละครนี้ไปแบบเต็มเปา!😍👏🏻https://www.instagram.com/p/CsZgJvNvLPW/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==ช่องทางการติดตามลี โรดริเกซInstagram : @leerodriguez7.) วิคตอเรีย มอโรลส์ (Victoria Moroles) นักแสดงสางสวยในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย นั่วคือสาวหน้าเก๋อย่าง “วิคตอเรีย มอโรลส์” เกิดเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1996 ปัจจุบันอายุ 26 ปี ที่ Corpus Christi, Texas ส่วนสูง 170 เซนติเมตร โดยเธอนั้นเปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 ในภาพยนตร์ต้นฉบับของดิสนีย์แชนแนลเรื่อง Cloud 9 และต่อมาเธอก็มีผลงานออกมาอีกมากมทย ไม่ว่าจะเป็น Liv and Maddie , Teen Wolf , Down a Dark Hall ถือว่าเธอนั้นเป็นนักแสดงเด็กที่เก่งและมีความสามารถมากจริง ๆ ค่ะhttps://www.instagram.com/p/CRmlunysRk9/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==วิคตอเรีย มอโรลส์ รับบท มาร์โกต์ โดยในซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever สาววิคตอเรีย มอโรลส์ รับบทเป็น “มาร์โกต์ (Margot)” ซึ่งเธอนั้นเป็นแฟนสาวคนใหม่ของเบน ซึ่งเธอนั้นเป็นสาวสวยที่เรียกว่าค่อนข้างมีความเป็นตัวของตัวเอง ดูแรง ๆ แต่จริงใจ ตรงไปตรงมา เธอนั้นชื่นชอบเกี่ยวกับพวกงานศิลป์มาก อีกทั้งเธอยังเป็นคู่ปรับของเดวี่อีกด้วย ซึ่งสาววิคตอเรียก็แสดงคาแรคเตอร์ของมาร์โกต์ออกมาได้เป็นอย่างดีมาก อินเนอร์อินใจคือมาเต็มมากช่องทางการติดตามวิคตอเรีย มอโรลส์Instagram : @victoriamoroles8.) เบนจามิน นอร์ริส (Benjamin Norris) เดินทางมาถึงหนุ่มหล่อคนสุดท้ายท้ายสุดในซีรีส์ Never Have I Ever นั่นคือหนุ่ม “เบนจามิน นอร์ริส” เขาเกิดเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม โดยเกิดในไวต์เพลนส์ นิวยอร์ก โดยเขานั้นเปิดตัวในฐานะของนักแสดงในภาพยนตร์สั้นเรื่อง Mens Rea ในปี 2010 ซึ่งถือว่าเป็นหนุ่มหล่อมาดเท่ที่มีคาแรคเตอร์โดดเด่นมากเลยละค่ะ ^^https://www.instagram.com/p/ChxVPQsJdBH/?igshid=MzRlODBiNWFlZA==เบนจามิน นอร์ริส รับบท เทรนต์ โดยเบนจามินรับบทบาทเป็น “เทรนต์ (Trent)” เป็นเพื่อนซี้เบสเฟรนของแพ็กซ์ตัน เป็นหนุ่มที่มีความเกเร ชิล ๆ และยังไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ ทำให้เขาซ้ำชั้นมัธยมปีที่ 6 ไม่ได้ขึ้นในมหาลัย สิ่งนี้ทำให้เขาเสียใจเป็นอย่างมาก โดยหนุ่มเบนจามิน นอร์ริสนั้นแสดงออกมาได้ดีมาก คาแรคเตอร์คือโดดเด่น มีความชิลทะเล้นที่ฮามาก เป็นอีกหนึ่งบทบาทสมทบในเรื่องที่สร้างสีสันมากค่ะ🫶🏻ช่องทางการติดตามเบนจามิน นอร์ริสInstagram : @benanorrisก็จบลงไปแล้วนะคะสำหรับ รู้จัก 8 นักแสดง ซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ต้องบอกเลยว่านักแสดงแต่ละคนในเรื่องนั้นล้วนแล้วแต่มีความน่ารัก คาแรคเตอร์โดดเด่นมาก แถมยังแสดงออกมาได้ดี มีความธรรมชาติ โบ๊ะบ๊ะแบบสุด! ทำให้เรื่องราวสนุกสนานและคนดูอินตามเลยละค่ะ และสุดท้ายนี้เพื่อน ๆ สามารถติดตามซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ทั้ง Season 1-4 ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix ค่า ^^เครดิตภาพหน้าปกโดย@neverhaveiever : ภาพหน้าปก1 / ภาพหน้าปก2 / ภาพหน้าปก3 / ภาพหน้าปก4 / ภาพหน้าปก5 / ภาพหน้าปก6 / ภาพหน้าปก7 / @benanorris : ภาพหน้าปก8 เครดิตภาพประกอบบทความโดย@neverhaveiever : ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6 / ภาพที่8 / ภาพที่9 / ภาพที่11 / ภาพที่17 / ภาพที่20@maitreyiramakrishnan : ภาพที่3 @jarenlewison : ภาพที่7 @darrenbarnet : ภาพที่10 / / ภาพที่12@itsmichaelcimino : ภาพที่13 / ภาพที่14 @neverhaveiever : ภาพที่15 / ภาพที่21 / ภาพที่23 / ภาพที่25@ramonabishyoung : ภาพที่16 / ภาพที่18 @leerodriguez : ภาพที่19 @victoriamoroles : ภาพที่22 @benanorris : ภาพที่24 เครดิตวิดีโอประกอบบทความโดย Netflix Thailandภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (Never Have I Ever) ซีซั่นสุดท้าย | ตัวอย่างอย่างเป็นทางการ | Netflixบทความที่น่าสนใจ : https://intrend.trueid.net/post/308026จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !
nowadays girl☀︎︎ • 19 มิ.ย. 66
อ่าน
Now or Never! Warrix เปิดตัวชุดแข่งใหม่ทีมชาติไทย ลุยศึก เอเชียน คัพ 2019
วอริกซ์ แบรนด์กีฬาชื่อดังเปิดตัวเสื้อทัพช้างศึกที่จะใช้ในปี 2019 ภายใต้คอนเซ็ป “Now or Never” ประเดิมสู้ศึกเอเชียนคัพที่ยูเออี เมื่อวันอังคารที่ 18 ธันวาคม 2561 ณ สเตเดียม วัน บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด ผู้ถือสิทธิ์การออกแบบ การผลิต และการจัดจำหน่ายชุดแข่งขันและเครื่องแต่งกายนักเตะทีมชาติไทย เปิดตัวชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยประจำปี 2019 ที่มาในคอนเซ็ปต์ “Now or Never” ปลุกพลังนักเตะและแฟนบอลทีมชาติไทยเตรียมพร้อมสู้ศึกใหญ่แห่งเอเชีย เอเอฟซี เอเชียน คัพ 2019 ศึกแรกแห่งศักราชใหม่ โดยสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในโลก นำมาออกแบบและผลิตชุดแข่งขันที่ดีที่สุดเท่าที่เคยทำมาเพื่อนักเตะทีมชาติไทย ภายในงานได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ พร้อมตัวแทนนักฟุตบอลทีมชาติไทย นำโดย ฉัตรชัย บุครพรม, เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, สิโรจน์ ฉัตรทอง และธนาสิทธิ์ ศิริผลา รวมทั้งนักฟุตซอลทีมชาติไทย นำโดย คฑาวุธ หาญคำภา และปาณัสม์ กิตติภาณุวงศ์ ร่วมด้วย “เวย์-ไทเทเนี่ยม” มาร่วมสร้างปรากฏการณ์เปิดตัวเพลง Now or Never เรียกพลังใจพลังเชียร์จากคนไทยทั่วประเทศ โดยวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะผู้ถือสิทธิ์การออกแบบ การผลิต และการจัดจำหน่ายชุดแข่งขันและเครื่องแต่งกายฟุตบอลทีมชาติไทย วอริกซ์มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำภารกิจสำคัญนี้ และขอเดินหน้าแสดงพลังศรัทธาในฟุตบอลทีมชาติไทย เปิดตัวชุดแข่งใหม่ปี 2019 ในคอนเซ็ปต์ “Now or Never” ที่เป็นเหมือนกับการประกาศพลังศรัทธาของพวกเราคนไทยว่าเราจะไม่ยอมล้มตลอดไป แต่จะลุกขึ้นสู้ใหม่ไปด้วยกัน โดยชุดแข่งใหม่ปี 2019 จะถูกใช้ครั้งแรกโดยนักเตะทีมชาติไทยชุดใหญ่ในการแข่งขันรายการสำคัญระดับเอเชียซึ่งกำลังจะฟาดแข้งกันต้นเดือนมกราคม ปี 2019” “วอริกซ์มุ่งมั่นขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งส่งพลังให้ทัพนักเตะไทย จึงได้ตัดสินใจสร้างปรากฏการณ์ชุดแข่งขันที่ดีที่สุดเพื่อนักฟุตบอลทีมชาติไทย โดยเป็นครั้งแรกที่ชุดแข่งขันของทีมชาติไทยเลือกใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเดียวกันกับชุดแข่งขันของทีมฟุตบอลทีมชาติที่ดีที่สุดของโลก และทีมฟุตบอลระดับสโมสรชั้นนำของโลกหลายทีม รวมทั้งการเลือกใช้เฟล็กซ์ (flex) บนชุดแข่งขันก็เป็นเฟล็กซ์ที่มีมาตรฐานเดียวกับชุดแข่งขันทีมชาติระดับโลกเช่นเดียวกัน ผนวกเข้ากับดีไซน์ที่โดดเด่นมากขึ้น ทั้งรูปลักษณ์และสอดรับกับสรีระของนักฟุตบอลมากขึ้นกว่าเดิม เพิ่มความรู้สึกกระชับและคล่องตัวสูงสุดขณะลงแข่งขัน โดยชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยปี 2019 มีชื่อชุดว่า Changsuek The First Eleven (ช้างศึก เดอะ เฟิร์ส อีเลฟเว่น) สื่อถึง 11 ผู้เล่นตัวจริงที่ดีที่สุด ที่กำลังลงสนามไปปฏิบัติภารกิจสำคัญเพื่อชาติ และเพื่อความสุขของคนไทยทั้งประเทศ” ทั้งนี้ การออกแบบลวดลายของชุด “Changsuek The First Eleven” มีแรงบันดาลใจจาก “The Time Space Lighting” หรือเส้นแสงแห่งการพุ่งทะยานผ่านกาลเวลา จากแนวคิดที่ว่า การจะทำสิ่งใดให้สำเร็จ เราจำเป็นต้องเดินทางก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ซึ่งผู้คนมักจะแสวงหาแสงแห่งพลังที่จะจุดไฟแห่งความหวังและความฝัน ให้ลุกโชนขึ้นมา สร้างสรรค์พลังให้ลุกขึ้นสู้ เพื่อก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ ก่อเกิดเป็นลายเส้นแสงบนเนื้อผ้าคล้ายกับแสงไฟในสีสันที่โดดเด่นด้วยระบบพิมพ์ดิจิทัลขั้นสูง โดยใช้กระบวนการซับลิเมชั่นในการพิมพ์ไล่เฉดเพื่อสร้างลวดลายที่มีมิติเสมือนแสงไฟ ราวกับแสงแห่งห้วงอวกาศและกาลเวลาที่มุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง และนี่คือแสงแห่งการลุกขึ้นสู้เพื่อไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง นายใหญ่วอริกซ์กล่าวต่ออีกว่า “ชุดแข่งขัน Changsuek The First Eleven สรรค์สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงการใช้งานของนักเตะเป็นสำคัญ นอกจากจะเลือกนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของโลกเช่นเดียวกับสโมสรชั้นนำของโลกมาใช้ในการผลิตแล้ว วอริกซ์ยังเลือกใช้เนื้อผ้าโพลิเอสเตอร์ผสมเส้นใยสแปนเด็กซ์ ผสานกับนวัตกรรมการตัดเย็บขั้นสูงในทุกรายละเอียด เพื่อทำให้ชุดแข่งขัน Changsuek The First Eleven เป็นชุดแข่งที่ครบถ้วนไปด้วยคุณสมบัติเด่น ทั้งการระบายอากาศและถ่ายเทความร้อนดีเยี่ยม การรักษาสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย การดูดซับความชื้น การป้องกันรังสียูวี ช่วยเพิ่มความมั่นใจแก่นักเตะทุกคน เพื่อส่งเสริมให้สามารถโชว์ฟอร์มการเล่นได้อย่างเต็มศักยภาพ” “ส่วนโลโก้เป็นโลโก้ที่สวยงาม น้ำหนักเบา นอกจากนี้ ยังคงเสน่ห์ความสวยงามของงานดีไซน์ที่มีสไตล์ตามแบบฉบับของวอริกซ์ ซึ่งชุดแข่งขันปี 2019 ถือว่ามีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นในเรื่องของดีไซน์ด้วย โดยออกแบบให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ในแนวมินิมอลที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความเท่ และความคล่องตัว สามารถสวมใส่ได้หลากหลายโอกาสไม่ว่าจะเป็นการใส่ไปออกกำลังกาย หรือใส่ไปทำกิจกรรมอื่นๆ หลากหลายรูปแบบ เรียกได้ว่าเป็นเสื้อที่เหมาะที่จะใส่ได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน” กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด ปิดท้าย สำหรับชุดแข่งขันฟุตบอลทีมชาติไทยปี 2019 จะใช้สีน้ำเงินเป็นชุดแข่งเหย้า สีแดงเป็นชุดแข่งเยือน สีขาวเป็นชุดแข่งที่ 3 ส่วนชุดผู้รักษาประตู ประกอบไปด้วย สีเขียวเข้ม, สีเขียวอ่อน, สีเทา และสีม่วง นอกจากนี้ วอริกซ์ ยังทำชุดแข่งขันออกมาเป็น 3 แบบได้แก่ ชุดแข่งขันสำหรับนักเตะ (1,999 บาท) ชุดแข่งขันสำหรับแฟนบอล (999 บาท) และ เสื้อเชียร์ทีมชาติไทย (399 บาท) เพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสามแบบถูกออกแบบให้มีรูปลักษณ์เดียวกัน เพื่อตอกย้ำการรวมใจเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งนักเตะและแฟนบอลทั่วประเทศ
ทีมชาติไทย • 18 ธ.ค. 61
อ่าน
ครูกรสอนศิลปะ : Land of Smile
การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) สร้างความวิตกกังวลให้แก่ผู้คนทั่วโลก เนื่องจากเป็นโรคอุบัติใหม่ และยังไม่มีวัคซีน หรือยารักษา ดังนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่เด็กผ่านกระบวนการเรียนรู้วิชาศิลปะ ทำให้เด็กมีความเข้าใจและรู้จักวิธีการป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสดังกล่าวได้เป็นอย่างดีค่ะ // Photo by sakooclub //สำหรับการเรียนศิลปะเด็ก ณ Cat Art Tutor โรงเรียนนี้มีแมว ในสัปดาห์นี้ คุณครูได้เชื่อมโยงสถานการณ์ปัจจุบันเข้ากับการสร้างสรรค์งานศิลปะให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน และได้สมาธิด้วยนะคะ มาติดตามการเรียนการสอนเลยค่ะคุณครูร่างองค์ประกอบภาพให้เด็ก ๆ เพื่อความรวดเร็วในการสร้างผลงาน จากนั้นให้เด็ก ๆ ใช้สำลีพันปลายไม้ หรือคอตตอนบัด แล้วค่อย ๆ จุดสีลงไปตามลายเส้น ซึ่งเทคนิคการจุดสีช่วยฝึกสมาธิให้กับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดีเลยนะคะ// Photo by sakooclub //การทำงานนี้เหมือนง่ายนะคะ แต่จริง ๆ แล้วใช้เวลาในการสร้างสรรค์ชิ้นงานนานมากนะคะ เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยความตั้งใจ และความแม่นยำในการจุดสีทีละจุดให้ตรงตามเส้นที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ใช้วิธีการเดียวกัน คือ จุดสีทีละจุด ไม่ใช้การระบาย หรือป้ายสีเหมือนงานที่ผ่าน ๆ มา // Photo by sakooclub //ในช่วงปิดเมือง คุณพ่อคุณแม่สามารถนำเทคนิคการจุดสีไปเล่นกับลูกได้นะคะ แม้จะไม่มีทักษะในการวาดรูปเลยก็ตาม แต่สามารถวาดลายเส้นง่าย ๆ ให้ลูกได้จุดตามลายเส้นที่เรากำหนด โดยงานชิ้นหนึ่งใช้เวลาในการจุดสีประมาณ 1 - 2 ชั่วโมงเลยนะคะ ช่วงที่ลูกจุดสีคุณพ่อคุณแม่สามารถทำความสะอาด หรือดูแลความเรียบร้อยของบ้านได้สบาย ๆ เลยนะคะทั้งนี้ การชักชวนลูกทำกิจกรรมใด ๆ อย่าลืมหลักการที่สำคัญนะคะ คือ การสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานให้แก่ลูกเสมอ ๆ เพื่อลูกจะได้ไม่รู้สึกเบื่อกับการสร้างสรรค์ชิ้นงานนั้น ๆ ค่ะบทส่งท้าย : #ศิลปะเด็ก #นนทบุรีCat Art Tutor ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง สะพานพระนั่งเกล้า ลงจากสถานีแล้วเดินเท้าต่ออีกนิดก็มาถึงโรงเรียนแล้วค่ะ โรงเรียนอยู่ใกล้กับประตูทางเข้า-ออกวัดแจ้งศิริสัมพันธ์คอร์สเรียนที่เปิดสอน คือ🎨 คอร์สศิลปะเด็กสร้างสรรค์ ราคา 2,500 บาท/10 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง / เรียนเสาร์ - อาทิตย์ รอบ 10.00 - 11.00 น. หรือรอบ 11.00 - 12.00 น.🎨 คอร์สองค์ประกอบศิลป์ (Composition) ราคา 2,500 บาท/10 ครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง / เรียนเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 13.00 - 16.00 น. ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ คุณครูกร 088-683-8366 / คุณครูเล็ก 081-149-3658ดูภาพบรรยากาศการเรียนการสอนที่สนุกสนานได้ที่นี่นะคะ www.facebook.com/CatArt.tutor
sakooclub • 6 เม.ย. 63
อ่าน
รีวิวซีรีส์ Never Have I Ever : ซีรีส์วัยรุ่นเบาสมองจาก Netflix ที่รับประกันความแซ่บ!
พวกเราได้เสพภาพยนตร์หรือซีรีส์กับทาง Netflix กันมาเยอะแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องยอมรับกันตามตรงว่าหลังๆนั้น เรามักจะดูอะไรที่เนื้อหาหนักๆ เช่น Stranger Things หรือ Bridgerton แต่วันนี้ผมจะมาป้ายยาซีรีส์วัยรุ่นใสๆ (รึเปล่า?) มาให้ดูอะไรที่เบาสมองกันบ้าง ซีรีส์ที่ผมจะมารีวิววันนี้ก็คือ 'Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย' ซีรีส์วัยรุ่น High School ทั่วๆไป แต่นำเสนอออกมาได้ค่อนข้างแปลกใหม่ และมีประเด็นที่น่าพูดถึงเยอะ แล้วที่สำคัญ ซีซั่น 3 กำลังจะมาแล้ว! โดยที่การรีวิวครั้งนี้ผมจะมีการสปอยเล็กน้อย แต่ก็จะพยายามไม่สปอยจนหมดสนุก ใครที่ยังไม่เคยดู ลองอ่านแล้วตัดสินใจดูนะครับ ส่วนตัวผมนั้นเลื่อนผ่านเรื่องนี้ไปหลายรอบมาก เพราะดูจากหน้าปกแล้วมันก็ไม่เห็นมีอะไรที่น่าสนใจ แต่พอลองกดเข้าไปดู มันดันสนุกกว่าที่คิด ซีรีส์เรื่อง Never Have I Ever เล่าเรื่องของเด็กสาวชาวอินเดียที่ชื่อ 'เดวี่ วิชวกุมาร์ (Devi Vishwakumar)' ซึ่งถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนอินเดีย แต่ตัวเธอเองนั้นซึมซับความเป็นสาวอเมริกันเข้าไปจนแทบไม่เหลือความเป็นอินเดียเลย รับบทโดยนักแสดงสาวชาวแคนนาดาที่ชื่อ 'Maitreyi Ramakrishnan' เธอนั้นดีบทแตกมากๆ เล่นออกมาได้น่ารักและมีเสน่ห์ เธอสวยมากด้วย ในเรื่องเป็นสาวเนิร์ดที่ยิ่งดูยิ่งหลงรัก ทำให้เราเชื่อได้ว่าจะมีผู้ชายมาติดพันเธอถึง 2 คน โดยเนื้อเรื่องทั้ง 2 ซีซั่นนั้นก็จะวนเวียนอยู่กับผู้ชายทั้ง 2 ที่คาแรคเตอร์แตกต่างกันอย่างสุดขั้วนี่แหละ คนแรกคือ 'แพ็กซ์ตัน' หนุ่มสุดฮ็อตที่เดวี่ชอบมาตั้งแต่เด็ก ส่วนอีกคนคือ 'เบน' หนุ่มเนิร์ดบ้านรวยที่เคยเป็นคู่กัดกับเดวี่ แต่เอาจริงๆเนื้อเรื่องมันก็สอดแทรกประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจไว้มากมาย เช่น ประเด็นสังคมในโรงเรียน เรื่องมิตรภาพ และเรื่องครอบครัว แต่ละประเด็นนั้นก็จะมีความดราม่า แต่ว่าตัวซีรีส์นั้นนำเสนอออกมาให้ดูไม่เครียดจนเกินไป ทำให้เราดูได้สบายๆ เสน่ห์ของซีรีส์เรื่องนี้ นอกจากนางเอกและหนุ่มๆของเธอแล้ว ตัวละครรอบตัวของเดวี่นั้นก็มีเสน่ห์เช่นกัน เช่น ตัวละครเพื่อนสนิทของเธออย่าง 'เอเลนอร์' และ 'ฟาบิโอล่า' ทั้งสามคนคือความแตกต่างอย่างลงตัว เอเลนอร์เธอเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายจีน และเป็นนักแสดงละครเวที ตัวละครนี้จะออกแนวร่าเริงแจ่มใส เรียกเสียงฮาได้ตลอด น่ารักมาก ให้คำแนะนำแต่ละอย่างคือเด็ดๆทั้งนั้น ส่วนฟาบิโอล่าเธอเป็นเด็กเนิร์ด มีงานอดิเรกคือสร้างหุ่นยนต์ ตัวเดวี่เองก็เป็นเด็กเนิร์ด แต่ก็มีความซนตามประสา ส่วนตัวผมชอบความสัมพันธ์ของสามคนนี้มากกว่าหนุ่มๆของเธอเสียอีก มีช่วงทะเลาะกันไม่เข้าใจกันบ้าง แต่สุดท้ายพวกเธอนั้นก็ตัดกันไม่ขาดอยู่ดี นอกจากเพื่อนๆแล้ว ตัวละครในครอบครัวของเดวี่นั้นก็มีเสน่ห์เช่นกัน แม่ของเดวี่เป็นหมอผิวหนัง เธออยู่ตรงกลางระหว่างคนหัวโบราณกับคนหัวสมัยใหม่ ถึงแม้ว่าจะดุจะว่าเดวี่บ่อยแค่ไหน แต่เอาจริงๆเธอก็รักลูกสาวของเธอมาก แม้จะแสดงออกไม่เก่งก็ตาม ส่วนอีกคนคือญาติที่อยู่บ้านหลังเดียวกันชื่อ 'กมลา' เธอเป็นสาวฮ็อตที่มีหนุ่มๆมาตามจีบเยอะ ในช่วงแรกๆเดวี่ดูจะไม่ชอบเธอสักเท่าไหร่ แต่หลังๆนั้นทั้งสองคนก็ปรับตัวเข้าหากันมากขึ้น ซีรีส์เรื่องนี้เล่าประเด็นครอบครัวเยอะมากพอๆกับประเด็นความรักเลย เพราะเปิดเรื่องมาก็เล่นประเด็นที่เดวี่พึ่งจะสูญเสียพ่อไป เธอช็อกมากเพราะเธอนั้นสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ เดวี่คิดว่าแม่ของเธอแทบไม่รู้สึกเสียใจอะไรกับการจากไปของสามี เธอจึงมักจะก่อปัญหาหรือพูดอะไรให้แม่เสียใจตลอด แต่บอกเลยว่าประเด็นนี้แอบเรียกน้ำตาได้เหมือนกัน แม่ของเธอต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาจึงทำให้เดวี่คิดว่าแม่ของเธอนั้นไม่เสียใจ แต่จริงๆแล้วกลับกันเลย ถึงแม้ว่าตอนท้ายของซีซั่น 1 จะคลายปมนี้แล้ว แต่พอขึ้นซีซั่น 2 ประเด็นนี้ก็ยังมีพูดถึงอยู่ ซึ่งมันก็ทำออกมาได้ดี ไม่รู้สึกว่ายัดเยียดอะไร ประเด็นความรักของ Never Have I Ever มันก็ไม่ได้ดูหวือหวาอะไร ออกแนวเรื่อยๆ ก็เป็นเรื่องราวรักสามเส้าทั่วๆไปนั่นแหละ แต่ก็พอให้เราได้ลุ้นอยู่บ้างว่าสุดท้ายแล้วเธอจะได้ลงเอยกับใครกันแน่ มีอุปสรรคมาขัดขวางบ้างพอเป็นสีสัน ตัวเดวี่ก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่าชอบใครมากกว่ากัน ทั้งเบนและแพ็กซ์ตันก็ดูมีโอกาสได้ลงเอยกับเธอทั้งคู่ ใครที่จะดูก็เตรียมเลือกไว้เลยครับว่าจะเชียร์คนไหน ซึ่งไม่ว่าคุณจะเชียร์คนไหน ตอนจบของทั้ง 2 ซีซั่นจะทำให้คุณถูกใจแน่นอน (แต่จะถูกใจทีมไหนก่อนไปลุ้นกันเอาเอง) แล้วเรื่องนี้ยังมีประเด็นเรื่องเซ็กส์ด้วยนะ แต่ไม่ค่อยพูดถึงเยอะสักเท่าไหร่ มีมุก 18+ เยอะอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีฉากวาบหวิว เพราะเรื่องนี้เรทแค่ 13+ ไม่ต้องหลบพ่อแม่ดู ทั้งเบนและแพ็กซ์ตันหลังจากได้ทำความรู้จักกับเดวี่ พวกเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทางที่ดีขึ้นด้วย เบนที่ตอนแรกเป็นคนปากร้าย หลังๆก็เห็นเขาเป็นคนพูดจาดีมากขึ้น ยอมเข้าสังคมมากขึ้น ส่วนแพ็กซ์ตันที่ตอนแรกใช้ชีวิตสนุกไปวันๆ ไม่คิดถึงอนาคตตัวเอง หลังๆเขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ตั้งใจเรียนมากขึ้นเพราะอยากเข้ามหาวิทยาลัย ตรงจุดนี้ผมชอบมาก แต่ประเด็นเหล่านี้จะไปเล่าในซีซั่นที่ 2 เป็นส่วนใหญ่ ประเด็นเรื่องเชื้อชาตินั้นกลับไม่ค่อยได้เล่นสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่มีอะไรให้เล่นเยอะมาก ประเด็นนี้เป็นแค่ส่วนเสริมเล็กๆเท่านั้น มีประเด็นเรื่องเพศที่ 3 เข้ามาด้วย แต่ก็ไม่ได้เล่นให้เป็นประเด็นใหญ่สักเท่าไหร่ เล่าแค่ว่าอยากให้ครอบครัวยอมรับ รวมถึงตัวเองด้วย ส่วนจะเป็นตัวละครไหนผมขอไม่บอก อยากให้ไปดูกันเอาเอง อีกส่วนประกอบที่ผมรู้สึกว่าซีรีส์ Never Have I Ever ทำออกมาได้ดีมาก ก็คือเหล่าตัวประกอบต่างๆที่คอยเข้ามาสร้างสีสันได้ตลอด เช่น เพื่อนสนิทของแพ็กซ์ตัน ที่ชอบกวนประสาทเดวี่ แถมยังชอบเล่นมุก 18+ อีก แต่ก็ไม่ได้น่ารำคาญนะ อีกคนก็คือจิตแพทย์ที่เดวี่ชอบไปขอคำปรึกษา ตัวละครนี้ให้คำปรึกษาและกำลังใจกับเดวี่ตลอดแทบทั้งเรื่อง เธอมักจะมีคำพูดที่ทำให้เดวี่คิดได้ มีประโยคนึงในซีซั่น 2 ที่ผมชอบมาก เธอบอกประมาณว่า "เธอไม่ใช่คนบ้า แต่เธอแค่มีความเป็นมนุษย์มากกว่าคนอื่น" อีกคนที่ผมชอบเป็นพิเศษคือครูสอนประวัติศาสตร์ ที่ออกมาแต่ละครั้งคือสุดมาก สไตล์การสอนเก๋สุดๆ จนผมแอบคิดว่าถ้าสมัยเรียนม.ปลายมีครูประวัติศาสตร์แบบนี้ ผมคงตั้งใจเรียนวิชานี้มากกว่าเดิมหลายเท่า ความจริงแล้ว Never Have I Ever ยังสอดแทรกประเด็นที่น่าสนใจไว้อีกหลายประเด็น แต่ผมเอามาบอกไม่หมด อยากให้คุณไปดูกันเอง แต่ผมรับรองว่าน่าสนใจทุกประเด็น บางประเด็นคุณอาจคาดไม่ถึงว่าเขาจะสอดแทรกมันเข้ามาด้วย อีกคนหนึ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้ คือ John McEnroe อดีตนักเทนนิสชื่อดัง เขาแทบไม่ได้ปรากฏตัวในเรื่องแบบมาเป็นตัวเป็นตน แต่เราได้อยู่กับเขาตลอดทั้งเรื่อง เพราะเขามารับหน้าที่เป็นคนบรรยายเนื้อเรื่องนั่นเอง คอยบรรยายชีวิตของเดวี่ บางทีก็แอบวิจารณ์ มีแอบเนียนเล่าเรื่องตัวเองพอเป็นสีสัน แอบมา Cameo ในตอนจบของซีซั่นแรกด้วย บอกเลยว่าคนคิดไอเดียนี้สุดยอดมาก ไม่รู้สึกรำคาญเลย เป็นสีสันที่เข้ากันได้อย่างลงตัว แต่ก็จะมีบางตอนนะที่จะเอาคนอื่นมาบรรยาย ซึ่งจะเป็นตอนที่แพ็กซ์ตันกับเบนเป็นตัวเดินเรื่อง ซึ่งจะมีแค่ซีซั่นละตอนเท่านั้น ซีซั่น 1 จะเป็น Andy Samberg มาเล่าในตอนของเบน ส่วนซีซั่น 2 จะเป็น Gigi Hadid มาเล่าในตอนของแพ็กซ์ตันผมขอให้คะแนน Never Have I Ever ไว้ที่ 8.5/10 มีช่วงน่าเบื่อบ้าง บางประเด็นก็ถูกพูดถึงน้อยจนน่าเสียดาย แต่โดยรวมสนุก ตัวละครมีเสน่ห์ เป็นซีรีส์ที่ผมอยากแนะนำให้คุณดู แต่คุณอย่าไปคาดหวังว่ามันจะหวือหวาหรือสนุกจนหยุดดูไม่ได้อะไรทำนองนั้น เป็นซีรีส์ที่คุณดูได้เรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ เพราะมันจะมีตอนที่เอื่อยๆน่าเบื่อบ้าง ข้อดีคือมันสั้น ตอนละประมาณ 30 นาทีเท่านั้น มีซีซั่นละ 10 ตอน คุณสามารถดูแบบคั่นเวลาระหว่างรอเรื่องอื่นก็ยังได้ แต่ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ไม่มีพากย์ไทยนะครับ น่าเสียดายเหมือนกัน ถ้ามีพากย์ไทยอาจจะมีกระแสในประเทศเราได้มากกว่านี้ ซีซั่นที่ 3 ก็จะมาในวันแม่หรือ 12 สิงหานี้พอดี ลองเปิดใจดูนะครับ คุณอาจจะหลงรักซีรีส์เรื่องนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าคุณชอบการรีวิวครั้งนี้ และอยากติดตามงานเขียนของผม สามารถกดติดตามเพจ Alone Time ได้เลยครับ ขอบคุณครับ เครดิตภาพ เครดิตภาพปก Facebook : Netflix เครดิตภาพ 1 Instagram : maitreyiramakrishnan เครดิตภาพ 2 Twitter : Netflix เครดิตภาพ 3 Twitter : Netflix เครดิตภาพ 4 Twitter : Netflix *STAR COVER"อย่ามัวแต่ดูมาดังกัน"* ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ขอชวนทุกคนมาสนุกโคฟเวอร์ พร้อมลุ้นรับเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 7,000 บาท (5 รางวัล) โคฟคนที่ใช่ ไลค์คนที่ชอบ`ร่วมสนุกได้ที่ ทรูไอดีคอมมูนิตี้ ห้อง cover บนแอปทรูไอดี` คลิกเลย https://ttid.co/UAnK/7y9jfqkq อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://bit.ly/3O1cmUQ ร่วมสนุกตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2565 - วันที่ 11 สิงหาคม 2565
อินเทรนด์หนัง • 11 ส.ค. 65
อ่าน
400 ลำรอลุ้นคิวเดินเรือ! หลัง'Ever Given'ลอยลำ หลุดขวางคลองสุเอซ
ข่าววันนี้ ในที่สุด เรือยักษ์ Ever Given ที่เกยตื้นขวางคลองสุเอซ ก็ได้รับการปลดปล่อย และลอยลำได้เป็นอิสระแล้ว หลังขวางคลองมานานเกือบ 1 สัปดาห์ เรือบรรทุกสินค้าขนาดความยาว 400 เมตร ชื่อ Ever Given ได้รับการปลดปล่อย และลอยลำเหนือผิวน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังประสบเหตุเกยตื้น และขวางคลองสุเอซ มานานเกือบ 1 สัปดาห์ วิกฤตคลองสุเอซ ที่เกิดจากการเกยตื้นของเรือลำนี้ ทำให้เรือสินค้าลำอื่น ๆ หลายร้อยลำ ไม่สามารถสัญจรผ่านคลอง ซึ่งถือเป็นเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าที่พลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งนี้ BBC รายงานว่า ยังไม่แน่ชัดว่า องค์การบริหารคลองสุเอซของอียิปต์จะเปิดให้เรือบรรทุกสินค้า เคลื่อนผ่านคลองสุเอซได้เลยในทันทีหรือไม่ แต่ทางการอียิปต์ระบุว่า จะเร่งระบายเรือสินค้าและเรือน้ำมันรวมกว่า 400 ลำ ที่ยังจอดรออยู่ทั้งสองด้านของคลอง ให้เดินทางไปยังจุดหมายต่อไป คาดว่าจะใช้เวลาราว 3-4 วันเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Boskalis ซึ่งเป็นบริษัทกู้เรือของเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า เมื่อเวลา 20.05 น. ตามเวลาในไทย เส้นทางผ่านคลองสุเอซได้เปิดออกอีกครั้งแล้ว ส่วนเรือ Ever Given ได้ถูกลากจูงออกไปยังส่วนอื่นของคลอง เพื่อตรวจสอบสภาพเรืออีกครั้งว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป การทำให้เรือ Ever Given กลับมาลอยลำได้อีกครั้งนั้น ทางการต้องขุดลอกทรายออกไปถึง 30,000 ลูกบาศก์เมตร พร้อมกับใช้เรือลากจูง 11 ลำ เพื่อลากจูงเรือที่เกยตื้น ให้กลับมาลอยลำได้อีกครั้ง ประธานาธิบดี อับดุล ฟัตตาห์ อัล-ซิซี ของอียิปต์ แถลงขอบคุณชาวอียิปต์ทุกคน ที่ร่วมด้วยช่วยกัน ยุติวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ภาพ: Reuters เรื่อง : ธันย์ชนก จงยศยิ่งภาพ : Chris Pagan ข่าวเกี่ยวข้อง : คาดใช้เวลากู้หลายสัปดาห์ เรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ เรือ150 ลำกระทบ-ต้องรอผ่าน เรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ ชี้ลมพัดจนหมุน การขนส่งอลหม่านโลก เรือสินค้า ในโลกนี้มีกี่ชนิด คลองสุเอซ เส้นทางขนส่งเชื่อมยุโรป-เอเชีย กับวิกฤตการณ์ที่เลวร้ายที่สุด "คลองสุเอซ" อัมพาต เรือสินค้าขวางคลอง โลกสูญเงินชั่วโมงละหมื่นล้าน! รู้จัก 'คลองสุเอซ' เส้นทางเดินเรือประวัติศาสตร์ 151 ปี เรือสินค้ายักษ์ขวาง คลองสุเอซ อาจลอยลำได้ในวันนี้ ต้นเหตุเรือยักษ์ขวางคลองสุเอซ คาดเกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ ส่งสัญญาณข่าวดี เมื่อเรือขวางคลองสุเอซ เริ่มขยับได้ในมุม30องศา เรือยักษ์ปิดคลองสุเอซ กระทบต่อหุ้นอะไร ได้หรือเสีย ? รู้จัก! พายุทราย ปัจจัยหนึ่งพัดหอบเรือ Ever Given ขวางคลองสุเอซ รวม ตัวเลข Ever Given เรือขวางคลองสุเอซ สำคัญอย่างไร ? เปิดคลองสุเอซเดินเรือสินค้าได้อีกครั้ง หลังกู้เรือยักษ์จากจุดเกยตื้นสำเร็จ เปิดประวัติ "คลองสุเอซ" คลองสำคัญของโลก ที่ไทยเกือบจะมีบ้าง เปิดประวัติ คลองสุเอซ Suez Canal อียิปต์ ทางลัดเชื่อมเอเชียสู่ยุโรป ซุปเปอร์ฟูลมูน ช่วยเรือยักษ์ขยับพ้นคลองสุเอซ ใครเป็นเจ้าของเรือยักษ์ Ever Given ขวางคลองสุเอซ ?
TNN World • 30 มี.ค. 64
อ่าน
รีวิวหนังสือ :: เด็กชายในชุดนอนลายทาง (The Boy in the Striped Pyjamas)
รีวิวหนังสือ :: เด็กชายในชุดนอนลายทาง (The Boy in the Striped Pyjamas)เขียน :: จอห์น บอยน์แปลโดย :: วารี ตัณฑุลากรสำนักพิมพ์ :: แพรวเยาวชน ราคา :: 145 บาท“เรื่องราวของมิตรภาพซึ่งงอกงามขึ้นในสถานที่เหนือความคาดหมาย เด็กชายในชุดนอนลายทาง (The Boy in the Striped Pyjamas)"เป็นข้อความจากปกหนังสือที่มีภาพวาดเด็กผู้ชาย 2 คนนั่งอยู่คนละฝั่งของลวดหนาม และภาพลักษณะนี้ก็ยังปรากฏอยู่บนโปสเตอร์โปรโมทภาพยนตร์ภายใต้ชื่อเดียวกัน แต่เปลี่ยนจากภาพวาดมาเป็นภาพเด็กชาย 2 คน ซึ่งเป็นนักแสดงหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้จากเพียงแค่ภาพที่ได้เห็นก็พอจะมองเห็นถึงภาพราง ๆ ของเรื่องได้ว่าหนังสือและหนังน่าจะนำเสนอถึงเรื่องราวของความแตกต่างบางอย่าง แต่มีมิตรภาพเป็นตัวเชื่อมของความแตกต่างนั้น และเมื่ออ่านเรื่องราวจึงได้รู้ว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของความแตกต่างนี้คือสงคราม โดยสงครามครั้งนี้ถูกมองผ่านมุมมองของเด็กวัย 9 ขวบเท่านั้น “จอห์น บอยด์” นักเขียนชาวไอริช ถ่ายทอดเรื่องราว “The Boy in the Striped Pyjamas” ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม หนังสือถูกแปลเป็นภาษาต่าง ๆ ทั่วโลก 46 ภาษา ในประเทศไทย ผู้แปลคือ “วารี ตัณฑุลากร” สำนักพิมพ์ “แพรวเยาวชน” ได้ลิขสิทธิ์ในการพิมพ์ เริ่มพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2551 และในปี พ.ศ. 2562 ถูกตีพิมพ์เป็นครั้งที่ 22 ครั้งแล้ว เป็นหนังสือที่มียอดขายอันดับ 1 ของหลาย ๆ ประเทศ และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เมื่อปี ค.ศ. 2008 โดยค่ายมิราแมกซ์ หนังประสบความสำเร็จอย่างงดงามเช่นกันหนังสือที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ หรือสร้างเป็นละคร มักจะเป็นหนังสือที่ถูกคาดหวังจากคนอ่าน หรือคนดูหนังมากกว่าหนังสือทั่วไป เพราะจะต้องมีอะไรที่โดดเด่นมาก จึงถูกนำมาสร้างเป็นเรื่องราวให้คนเห็นเป็นภาพเคลื่อนไหวสำหรับ “เด็กชายในชุดนอนลายทาง” อารมณ์ที่โดดเด่นออกมาจากความรู้สึกของผู้คนที่ได้อ่าน หรือชมภาพยนตร์คือความสะเทือนใจ ไม่เพียงแต่สะเทือนใจในชะตาชีวิตของเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา แต่ความคิดยังถูกต่อยอดไปถึงความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ที่ประเทศเยอรมันนี ที่อยู่ภายใต้การปกครองของ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” แห่งพรรคนาซี เป็นผู้นำฝ่ายอักษะในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวและชาติอื่น ๆ มากถึง 11 ล้านคนหลังจากที่ยึดครองยุโรปไว้หลายประเทศฉากหลังของเนื้อหาของเรื่อง “เด็กชายในชุดนอนลายทาง” เกิดขึ้นที่ค่ายกักกันใช้แรงงาน ทางตอนใต้ของประเทศโปแลนด์ ซึ่งเป็นค่ายที่สังหารเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดของนาซี โดยเรื่องราวในเรื่องเล่าผ่าน “บรูโน” เด็กชายวัย 9 ขวบ ลูกชายของนายทหารระดับสูงของเยอรมัน ซึ่งไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับสงคราม เขารู้แต่ว่าตัวเขา แม่ และพี่สาวต้องย้ายบ้านออกจากเบอร์ลิน ไปอยู่บ้านหลังใหม่ ตามหน้าที่การงานของพ่อ บ้านหลังใหม่สำหรับเด็กชายตัวน้อย ๆ นั้นไม่น่าอยู่เอาเสียเลย เพราะเป็นหลังเดียวโดด ๆ ไม่มีบ้านของคนอื่น ๆ อยู่เลย สิ่งเดียวที่เด็กชายเห็นก็คือค่ายขนาดใหญ่ที่มีรั้วเป็นลวดหนาม ซึ่งเขาไม่รู้เลยว่าหลังลวดหนามนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย สิ่งที่เขารู้ก็คือ หลังลวดหนามนั้นมีมิตรภาพที่งดงาม เพราะเขาได้รู้จัก “ชมูเอล” เด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ที่สวมชุดนอนลายทาง เหมือนกับทุกคนที่อยู่หลังรั้วใส่กัน และเด็กผู้ชายคนนี้ กลายมาเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวที่บรูโนเหลืออยู่ และเป็นคนเดียวที่เขากุมมือไว้อย่างมั่นคง ในวันที่เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาเราได้พบคนที่มีหนังสือ “เด็กชายในชุดนอนลายทาง” 2 คน คนแรก เป็นคนที่อ่านหนังสือ เมื่อไปที่ร้านหนังสือแล้วเห็นชื่อเรื่องกับหน้าปกหนังสือน่าสนใจ จึงหยิบขึ้นมาอ่านข้อมูลจากปกหลัง และพลิกไปอ่านคำนำสำนักพิมพ์ ที่เขียนเล่าถึงหนังสือเล่มนี้ไว้ว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนที่ผู้ใหญ่ก็อ่านได้ จึงตัดสินใจซื้อมาอ่านแต่ยังไม่ได้ดูหนัง กับอีกคนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วประทับใจมาก จึงซื้อหนังสือมาเก็บไว้ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อ่านทั้งจากคนที่อ่านหนังสือและคนที่ดูหนัง เมื่อได้มานั่งคุยกัน โดยมี “เด็กชายในชุดนอนลายทาง” เป็นหัวข้อในการสนทนา แบ่งปันความรู้สึกจากสิ่งที่ได้อ่านและได้ดู การสนทนาของทั้งสองคน ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงสงครามที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วจบลง ไม่ว่าจะครั้งใด ก็สร้างรอยแผลแห่งความเจ็บปวดไว้ในหัวใจของผู้คนเสมอวรรณกรรมที่ถูกเขียนขึ้น โดยมีฉากหลังเป็นสงคราม อ่านครั้งใดก็สะเทือนใจภาพประกอบโดย “ฉันท์ชมา” ผู้เขียน
ฉันท์ชมา • 15 เม.ย. 63
อ่าน
แนะนำครึ่งแรกของ Smiling Critters | Poppy Playtime 3
หลังจากที่ผมได้เขียนบทความเกี่ยวกับสองตัวละครสำคัญในเกม Poppy Playtime ภาคที่สาม ได้แก่ ตัวร้ายประจำภาคนี้อย่างเจ้าแมวสีม่วง Catnap และเจ้าสุนัขสีส้มผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม Smiling Critters อย่าง Dogday ไปแล้ว พวกเราก็จะมองข้ามตัวละครอื่นในกลุ่ม Smiling Critters ไม่ได้เช่นกัน เนื่องจากบางที พวกเขาอาจจะโผล่มามีบทบาทสำคัญในเกมภาคต่อไปก็ได้ก่อนอื่น ผมคงต้องกล่าวถึงภาพรวมของกลุ่มนี้เป็นอย่างแรกเนื้อเรื่องในตัวเกมนั้นได้ให้ข้อมูลกับเราว่า กลุ่ม Smiling Critters เป็นหนึ่งเหล่าตุ๊กตาที่ถูกวางขายโดย บริษัท Playtime Co. เช่นเดียวกับเหล่าตุ๊กตาตัวอื่น ๆ ที่ผลิตในโรงงานเดียวกัน กลุ่มตุ๊กตาเหล่านี้จะมีลักษณะพิเศษประจำตัวของพวกเขาเอง ซึ่งในที่นี้ก็คือ กลิ่นประจำตัวตุ๊กตา ส่วนเหตุผลที่ความสามารถในการปล่อยก๊าสยาสลบได้ของ Catnap ดูแตกต่างจากตุ๊กตาตัวอื่นมาก ก็ไม่มีใครรู้ได้ว่าเป็น เพราะอะไรกันแน่นอกจากตุ๊กตาที่วางขายแล้ว ทางบริษัทผลิตตุ๊กตานี้ยังได้สร้างการ์ตูนที่นำเอาตัวละครทั้งหมดเหล่านี้มาเป็นตัวเอกอีกด้วย โดยในชีวิตจริง ผู้เล่นสามารถหาดูการ์ตูนที่ผมกล่าวมาได้ที่ช่องยูทูปของค่ายพัฒนาเกม "Mob Entertainment" ครับhttps://www.instagram.com/p/CzhSTSMM-30/?igsh=NTZwNTVjbzJjcG9qจากโปสเตอร์ก็จะเห็นได้ว่า Smiling Critters เป็นกลุ่มของตุ๊กตาสัตว์ทั้งหมดแปดตัว ในเมื่อผมเขียนถึงสมาชิกในนี้ไปแล้วสองตัว งั้นผมจะแบ่งแนะนำเป็นครึ่งแรกครึ่งหลังอย่างละหกตัวนะครับครึ่งแรก จะถูกเปิดประเดิมด้วยสมาชิกที่ฉลาดที่สุดในกลุ่ม "Bubba Bubbaphant" เขามีดีไซน์เป็นช้างสีฟ้า ภายในใบหู ภายในงวง ปลายมือ-เท้า รวมถึงปลายหางมีสีเข้มกว่าส่วนอื่น ๆ สวมสร้อยคอที่เป็นสัญลักษณ์หลอดไฟ สัญลักษณ์ที่ในการ์ตูนมักใช้แทนการนึกอะไรซักอย่างออก หรือก็คือมันเกี่ยวข้องกับความฉลาดด้วยแหละครับ ผมชอบความใส่ใจในการออกแบบตัวละครของค่ายเกมนี้นะครับ เพราะช้างในชีวิตจริงก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสัตว์ที่ฉลาดที่สุดในช่วงอินโทรของการตูน หากหยุดภาพได้ทัน พวกเราก็จะเห็นด้วยว่าเจ้าช้างสีฟ้าตัวนี้รู้เรื่องการสร้างสมการ สูตรพีธากอรัส การถอดรากที่สองและอาจรวมไปถึงจำนวนจินตภาพด้วย เอ๊ะ เกือบลืมบอกไปเลยครับ กลิ่นของตุ๊กตาตัวนี้จะเป็นกลิ่นตะไคร้ เรียกได้ว่าซื้อมาตัวนึง ใช้ได้ทั้งกอด ใช้ได้ทั้งไล่ยุงเลยทีเดียวhttps://www.instagram.com/p/CzjbvLpsLJ9/?igsh=M2gwaTI2bzBlbjM0ตัวที่สอง "Bobby Bearhug" เจ้าตุ๊กตาหมีกลิ่นดอกกุหลาบผู้อ่อนโยน ดีไซน์ของเธอเป็นหมีที่มีนิ้วมือ-นิ้วเท้าสี่นิ้ว ช่วงลำตัวใช้สีแดงสด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สากลแทนความรัก มากไปกว่านั้นสร้ายคอของเธอก็ยังเป็นรูปหัวใจอีกต่างหาก เช่นเดียวกับสมาชิกตัวอื่น ๆ เธอจะมีสีที่ต่างจากร่างกายส่วนใหญ่คือมีสีแดงอ่อนที่ ถายในใบหู จมูก ช่วงท้อง ปลายมือกับปลายเท้าในตัวเกม เสียงจากป้ายแนะนำตัวละครของ Bobby Bearhug มีน้ำเสียงที่ดูมีความกังวลเป็นอย่างมาก แม้เธอจะกว่าว่าเธอรักทุก ๆ คนมากเพียงใด ทว่าเมื่อพูดไปเรื่อย ๆ เสียงเธอก็อ่อยลง จนเธอต้องพูดคำว่า เราจะไม่ทิ้งเธอไปอีกใช่ไหม แฟนเกมหลายคนได้ตั้งทฤษฎีว่าเธอดูจะรักทุกคนมากก็จริง แต่สมาชิกคนอื่นอาจไม่ให้ความสนใจเธอเท่าที่ควร อาจเรียกว่ารำคาญสิ่งที่เธอกำลังเป็นอยู่เลยด้วย และก็มีทฤษฎีอีกเรื่องคือ ในช่วงเหตุการณ์ Hour of Joy ที่ Catnap ไล่โจมตีเหล่าสมาชิกกลุ่มอยู่นั้น เธอได้พลัดหลงกับเพื่อน ๆ และเหมือนจะถูกขังไว้ในห้องจนต้องขาดสารอาหารในที่สุดเป็นอย่างไรบ้างล่ะครับ ช่างเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้าจริงไหม แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงทฤษฎีนะครับ อย่าพึ่งปักใจเชื่อกันดีกว่าhttps://www.instagram.com/p/CzmAwKUuvj5/?igsh=M2h5eDVxdmgyNDhj เดินทางมาถึงตัวที่สามของบทความ "Craftycorn" ตุ๊กตายูนิคอร์นผู้มาพร้อมกับโทนสีสองสี ได้แก่ ช่วงลำตัวกับเขาที่เป็นสีขาว ส่วนปลายมือ-ปลายเท้า ภายในใบหู ผมและหางที่เป็นสีฟ้าอ่อน ๆ เธอสวมสร้อยคอรูปดอกไม้กลีบสีรุ้งไว้ที่คอ เธอเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ เธอมักจะหาเวลาวาดรูปแล้วนำผลงานมาให้เพื่อน ๆ ดูอยู่เสมอตัวอย่างผลงานศิลปะของเธอสามารถดูได้ที่ช่วงอินโทรของการ์ตูน Smiling Critters เธอวาดภาพของ Bobby Bearhug ด้วยนะครับในตัวเกม เสียงจากป้ายแนะนำตัวละครของเธอทำให้ผมรู้สึกสยองที่สุดแล้ว ก่อนอื่น เธอจะขอสีเพื่อมาใช้ในการวาดภาพเพิ่ม และสีเจ้าปัญหานั้นจะเป็นสีไหนไม่ได้เลยนอกจากสีแดง เธอได้ขอสีแดงเรื่อย ๆ จนสีแดงหมดลง ทว่าพอเธอรู้ว่าสีแดงหมด ก็พยายามกล่าวหาว่าเราเอาสีแดงไปซ่อนแน่นอน สุดท้ายเธอก็ได้โจมตีคู่สนทนาและกลายเป็นบ้าไปไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่ายูนิคอร์นหลากสีตัวนี้จะดุร้ายได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่อยากจะคิดสภาพของคู่สนทนาที่คุยกับเธอตอนกำลังวาดรูปเลยhttps://www.instagram.com/p/CzolqRALktt/?igsh=MWEwMTd3MTJubmNqZg==แนะนำมาได้ครบสามตัวแล้วครับ ผมขอจบบทความนี้ไว้ก่อน ไว้เจอกันในบทความต่อไปนะครับ เครดิตภาพหน้าปก : poppyplaytimeco / Instagramภาพประกอบที่ 1 : poppyplaytimeco / Instagramภาพประกอบที่ 2 : poppyplaytimeco / Instagramภาพประกอบที่ 3 : poppyplaytimeco / Instagramภาพประกอบที่ 4 : poppyplaytimeco / Instagram
Nutto • 26 เม.ย. 67
อ่าน
รีวิวหนัง The Boy in the Striped Pajamas 2008 เด็กชายในชุดนอนลายทาง
The Boy in the Striped Pajamas ชื่อไทยว่า เด็กชายในชุดนอนลายทาง เป็นหนังแนวดราม่าประวัติศาสตร์ กำกับโดย Mark Herman ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ John Boyne นำเสนอมุมมองอันน่าสะเทือนใจของสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านสายตาของ Bruno (Asa Butterfield) เด็กชายวัย 8 ขวบ ลูกชายของเจ้าหน้าที่นาซี เรื่องราวของมิตรภาพที่บริสุทธิ์ท่ามกลางความโหดร้ายของสงครามจะพาผู้ชมดำดิ่งสู่โลกแห่งความขัดแย้งระหว่างความไร้เดียงสาของเด็กและความโหดร้ายของผู้ใหญ่ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เรื่องย่อ เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อครอบครัวของ Bruno (Asa Butterfield) ย้ายจากเบอร์ลินไปยังชนบทห่างไกล เนื่องจากพ่อของเขา (David Thewlis) ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บัญชาการค่ายกักกัน Bruno เด็กชายผู้รักการผจญภัยรู้สึกเหงาและเบื่อหน่ายในบ้านหลังใหม่ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบรั้วลวดหนามที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ที่นั่น Bruno ได้พบกับ Shmuel (Jack Scanlon) เด็กชายชาวยิววัยเดียวกันที่อาศัยอยู่อีกฝั่งของรั้ว ทั้งสองเริ่มพูดคุยและสร้างมิตรภาพอันแน่นแฟ้น ข้อมูล ประเภท: ดราม่า, ประวัติศาสตร์ นักแสดง: Asa Butterfield, Jack Scanlon, David Thewlis, Vera Farmiga, Rupert Friend ผู้กำกับ: Mark Herman ระยะเวลา: 1 ชั่วโมง 34 นาที ตัวอย่างหนัง https://www.youtube.com/watch?v=sVSaHwK8Rys ความรู้สึกหลังดู The Boy in the Striped Pajamas คือหนังที่สะเทือนใจและทิ้งร่องรอยของความเจ็บปวดไว้ในใจ ภาพยนตร์สะท้อนถึงความไร้เดียงสาของเด็กในช่วงสงคราม Bruno และ Samuel สร้างมิตรภาพที่บริสุทธิ์ แต่กลับต้องเผชิญกับความโหดร้ายของโลกที่ไม่มีความยุติธรรม โดยส่วนตัวเราคิดว่า เรื่องนี้เป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของสงครามผ่านมุมมองที่ไร้เดียงสา มันทำให้เราตระหนักถึงความไร้สำนึกต่อชีวิตและสิ่งที่มนุษย์สามารถกระทำได้ต่อกัน โดยสรุปแล้ว สำหรับใครที่ชอบหนังดราม่าที่เต็มไปด้วยความสะเทือนใจ The Boy in the Striped Pajamas เป็นหนังที่คุณไม่ควรพลาดเป็นอันขาด ฉากที่ประทับใจ ฉากที่ประทับใจคือฉากสุดท้ายเมื่อทั้งสองถูกนำเข้าห้องรมแก๊ส ฉากนี้สะท้อนความโหดร้ายที่ไม่ต้องพูดออกมา แต่กลับทำให้เรารู้สึกถึงการสูญเสียและความไร้สำนึกต่อชีวิตอย่างเจ็บปวด เครดิตภาพ The Boy in the Striped Pajamas : ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 Miramax : ตัวอย่างหนัง รีวิวหนังที่น่าสนใจ รีวิวหนัง Cloverfield (2008) - วันวิบัติอสูรกายถล่มโลก รีวิวหนัง Chronicle (2012) - เมื่อเด็กเกรียนมีพลังพิเศษ ความมันส์จึงบังเกิด รีวิวหนัง American Psycho (2000) - จิตบ้าคลั่ง ผิดมนุษย์ ในสังคมทุนนิยม รีวิวหนัง Birdman (2014) - “เบิร์ดแมน มายาดาว” ชีวิตตลกร้ายของนักแสดงชายผู้ตกอับ รีวิวหนัง Sleepy Hollow (1999) - หนังเก่าเรื่องนี้ไม่ได้ดีแค่ บรรยากาศหลอนและเรื่องผีสาง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
คุณบูท • 11 พ.ย. 67
อ่าน
ชวนอ่าน: เรื่องสั้นสั้น YOU SADLY SMILE IN THE PROFILE PICTURE
ชวนอ่าน: เรื่องสั้นสั้น YOU SADLY SMILE IN THE PROFILE PICTUREถ้าคุณเคยหัวเราะกับความยียวนจากหนังสือ New York 1st Time มาแล้ว และเคยสนุกสนานไปกับชีวิตผู้กำกับลองเทกใน Full Time Director Part-Time Loser คุณต้องห้ามพลาดผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดของผู้ชายคนนี้ ธนชาติ ศิริภัทราชัย เรียกได้ว่าหนังสือเล่มใหม่ของเขาก็ยังคงไว้ซึ่งความยีวนอารมณ์ดี จิกกัดแบบเจ็บแสบ ในหนังสือชื่อว่า YOU SADLY SMILE IN THE PROFILE PICTURE ครั้งนี้เขากลับมาในรูปแบบเรื่องสั้น 25 เรื่อง ที่สั้นเสียจนต้องย้อนกลับไปอ่านว่านี่จบแล้วหรือเนี่ย แต่ว่าแต่ละเรื่องก็กลมกล่อมไปด้วยเรื่องราวความรัก เรื่องราวที่เสียดสีไลฟ์สไตล์ผู้คนยุคใหม่ จนต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก แถมเหตุผลที่เชื่อว่าหลายคนมีเหมือนกันก็คือ . . องค์ประกอบของภาพปก ชื่อเรื่อง และสีสัน ของเล่มนี้นั้นทำได้ดี ตอบโจทย์คนอ่านรุ่นใหม่มาก ๆphoto: chachiiส่วนตัวเราแล้ว เราประทับใจหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่หน้าปก ภาพ องค์ประกอบ และการวางเนื้อหาที่สวย อ่านง่าย สบายตา ข้อความที่วางเรียงเป็นระเบียบถูกจริตคนอ่านรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบอะไรรก ๆ (หรือเรียกได้ว่า มินิมอล) แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เหมือนเป็นตลกร้าย เพราะนักเขียนทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเสียดสีความสัมพันธ์ของคนยุคใหม่ และจิกกัดไปในเวลาเดียวกัน . . และเขาก็ทำได้ดีเสียด้วย จนเรากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่กับเรื่องสั้น ๆ ในแต่ละตอน อาทิ ในตอนหนึ่งที่เขาเล่าว่าคนยุคนี้มักจะชอบแทรกกิ้งตัวเลขกับชีวิตตัวเองเสมอ นอนกี่ชั่วโมง กินอาหารกี่แคลอรี เดินกี่ก้าว นั่งทำงานกี่ชั่วโมง ซึ่งกว่าจะหมดวันก็นับกันไม่หยุด แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเลขเหล่านี้กลับไม่ได้ทำให้ชีวิตรู้สึกดีขึ้น แต่ดันรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นไปอีก . . อ่านแล้วทั้งขำทั้งจุกเพราะมันจริงจนเถียงไม่ออกphoto: https://unsplash.com/photos/IhuGwJIMgwsอีกหนึ่งสิ่งที่เราชอบในหนังสือเล่มนี้ คือชื่อตอน . . ในแต่ละตอนจะเป็นชื่อภาษาอังกฤษสั้น ๆ อาทิ an Old Friend from High school, a Location Guy และ a Girl from Tinder เราชอบวิธีการตั้งชื่อมาก เก๋ และสมกับการเป็นผู้กำกับแห่ง Salmon House จริง ๆ ต้องยอมรับว่าในช่วงเครียด ๆ แบบนี้การได้หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่าน มันช่วยบันเทิงใจได้อย่างมาก และแต่ละเรื่องก็มีข้อทิ้งท้ายให้เรามานั่งคิดต่อด้วย . . แม้ว่าเรื่องราวหลัก ๆ จะเป็นเรื่องราวของของการจิกกัดความสัมพันธ์ของคนยุคใหม่ที่เหมือนจะแปลกและแตกต่างไปจากคนยุคเก่า อาจจะเพราะว่าเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนให้ความรักนั้นเกิดขึ้นง่าย จบขึ้นเร็ว ลืมขึ้นไว . . ทั้งยังทำให้หลาย ๆ คนที่เลิกรากันไปแล้ว วันหนึ่งเมื่อคิดถึงกันก็สามารถกดเข้าไปส่องเฟสบุกของกันและกันได้ แต่ใจลึก ๆ ก็ไม่ได้อยากเห็นอีกฝ่ายมีความสุขเท่าไหร่ ดูเผิน ๆ เหมือนว่าคนยุคนี้จะรักง่ายเลิกง่าย แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้ว มันอาจจะเป็นแค่ภาพลวงตา . .photo: https://unsplash.com/photos/L3qUP8MpExcหนังสือ YOU SADLY SMILE IN THE PROFILE PICTUREเขียนโดย ธนชาติ ศิริภัทราชัยราคา 210 บาทสำนักพิมพ์ SALMON
CHACHII • 16 เม.ย. 63
อ่าน
เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ช่อง GMM25 (ตอนจบ)
เรื่องย่อซีรีส์ เพื่อนายแค่หนึ่งเดียว Never Let Me Go ช่อง GMM25 ทุกวันอังคาร เวลา 20.30 น. เริ่มตอนแรกวันอังคารที่ 13 ธันวาคมนี้ นำแสดงโดย คู่จิ้นคู่ฮอต ปอนด์ ณราวิชญ์ เลิศรัตน์โกสุมภ์ และ ภูวิน ภูวินทร์ ตั้งศักดิ์ยืน ที่กลับมาประกบคู่กันอีกครั้ง ในซีรีส์เรื่องใหม่ล่าสุด แนวโรแมนติกดราม่าเข้มข้น
เรื่องย่อละคร • 27 ก.พ. 66
อ่าน
รีวิว The Boy in the Striped Pyjamas ครบรอบ 15 ปี เด็กชายในชุดนอนลายทาง
วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 คือวันครบรอบ 15 ปี The Boy in the Striped Pyjamas ภาพยนตร์ในความทรงจำ เป็นหนังที่ได้ชื่อว่าทำร้ายจิตใจคนดูได้มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของโลก วันนี้ผู้เขียนจึงอยากชวนหวนอดีตอีกครั้ง ด้วยการพูดถึงวรรณกรรมเยาวชน และความประทับใจในภาพยนตร์เด็กชายในชุดนอนลายทางวรรณกรรม วรรณกรรม The Boy in the Striped Pyjamas หรือ เด็กชายในชุดนอนลายทาง เป็นผลงานจากปลายปากกาของ จอห์น บอยน์ และฝีมือการแปลเป็นภาษาไทย โดย วารี ตัณฑุลากร จากสำนักพิมพ์แพรวเยาวชน ในการเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ผ่านมุมมองของเด็กชายวัยเก้าขวบ ความไร้เดียงสาที่ต้องเผชิญหน้ากับความแปลกใหม่ เนื่องจากย้ายที่อยู่ ได้ไปพบเจอกับสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และการได้พบกับเด็กชายคนนั้นที่ยืนอยู่อีกฝั่งของรั้วลวดหนาม...บทประพันธ์ ภาพยนตร์ The Boy in the Striped Pyjamas เป็นเรื่องราวของเด็กชายบรูโนวัยเก้าขวบ ที่ต้องย้ายตามครอบครัวไปอยู่บ้านหลังใหม่กับพ่อแม่และพี่สาวที่ใครต่อใครต่างเรียกว่าเอาท์วิธ เด็กชายผู้ไร้เดียงสาต้องพยายามทำความเข้าใจว่าสถานที่แห่งใหม่นี้ คือที่ไหน ทำไมถึงมีแต่ความเงียบเหงา ไม่รู้ว่าทำไมครอบครัวต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ในหัวเด็กน้อยมีแต่เครื่องหมายคำถาม และไม่มีใครจะให้คำตอบกับเขาได้เลย เขาจึงเริ่มออกสำรวจด้วยตัวเอง ได้พบกับผู้ชายกลุ่มหนึ่ง มีทั้งคนหนุ่ม คนแก่ และเด็ก พวกเขามีบางสิ่งที่เหมือนกัน คือสวมใส่ชุดนอนลายทาง บรูโนจึงตัดสินใจเข้าไปสังเกตใกล้ ๆ รั้ว ได้พบกับเด็กน้อยวัยใกล้เคียงกัน เขาคนนั้นมีหน้าตาหม่นหมอง สายตาเศร้าสร้อย นิสัยเงียบขรึม และมีชื่อว่าชมูเอล ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามรั้ว ทั้งสองได้ทำความรู้จัก พูดคุยแลกเปลี่ยน แบ่งปันอาหาร และออกภจญภัยเริ่มต้นมิตรภาพไปด้วยกัน เป็นบทประพันธ์ที่โหดมาก สำหรับการใช้เด็กที่ไร้เดียงสาสองคนมาถ่ายทอดเรื่องราวที่แสนโหดร้าย อย่างการทำสงคราม เพราะเด็กทั้งสองคนไม่มีวันเข้าใจกับสิ่งที่ผู้ใหญ่กำลังทำ พวกเขาไม่มีวันเข้าใจการแก่งแย่งอำนาจ การทำร้ายคนที่เห็นต่างไปจากตน แต่เขาเข้าใจความเจ็บปวด ความสูญเสีย เพราะผลกระทบมันมาตกอยู่ที่พวกเขา หลายคนอาจจะคิดว่าบทประพันธ์นี้ขาดความเห็นใจเหยื่อ และให้ความเห็นอกเห็นใจผู้กระทำมากเกินไป แต่ผู้เขียนคิดเห็นว่าสามารถเข้าใจได้ เนื่องจากเขาต้องการทำให้เห็นว่าถ้าหากความสูญเสียมาเกิดกับคนกระทำ คุณจะรู้สึกเช่นไร ดูจบแล้วซึมไปหลายวันเลยเสน่ห์ตัวละคร https://www.instagram.com/p/p5yOCFKrZH/ บรูโน (รับบทโดย Asa Butterfield) เด็กน้อยแสนไร้เดียงสา ร่างกายสมบูรณ์ ใบหน้าเต้มไปด้วยรอยยิ้ม เราได้เห็นเขาใช้ชีวิตที่สุขสบายมาก ๆ ในมหานครที่กว้างใหญ่ ก่อนจะย้ายไปอยู่เอาท์วิธ ถึงจะสะดวกสบายไม่ต่างกัน แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม สภาพแวดล้อมที่ไม่ปกติ ไม่แปลกใจหากเด็กจะเกิดคำถาม ถึงการปฏิบัติกับคนด้วยกันราวกับพวกเขาไม่ใช่คน เราจะได้เห็นการกระทำที่เด็กทำไปด้วยความไม่รู้ เช่น การโกหกเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องถูกตำหนิ แต่เมื่อเขารู้สึกผิด เราเห็นใจมากที่บรูโนจะต้องมีจุดจบแบบนี้ ชมูเอล (รับบทโดย Jack Scanlon) เด็กน้อยแสนไร้เดียงสา ที่ต้องเจอกับความโหดร้าย โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำผิดอะไรถึงต้องถูกกระทำแบบนี้ เด็กวัยนี้ควจจะมีแต่รอยยิ้มบนใบหน้า แต่สิ่งที่ชมูเอลเจอมันโหดร้ายเกินกว่าที่มนุษย์จะกระทำต่อกัน ได้เจอเพื่อนใหม่ทั้งที เขาก็โกหกเพื่อเอาตัวรอด แต่ก็ไม่เคยคิดโกรธเคือง ยังพร้อมให้อภัยและเริ่มต้นใหม่เสมอ https://www.instagram.com/p/CON5ycPllEZ/?img_index=1 ครอบครัวบรูโน ที่หนังให้ความสำคัญคือแม่ของบรูโน เธอชื่อเอลซา (รับบทโดย Vera Ann Farmiga) เป็นผู้หญิงที่รักลูกมาก แม้ในใจลึก ๆ เธอจะเห็นด้วยว่าคนเหมือนกันไม่ควรถูกกระทำแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้ห้ามหรืออกแรงขัดขวางการกระทำของสามี ในขณะที่สามี นั่นก็คือราล์ฟ (รับบทโดย David Thewlis) นายทหารชั้นสูงผู้คุมค่ายเอาท์วิธ กระทำทุกอย่างตามคำสั่งผู้นำ ผลสุดท้ายเมื่อผลของการกระทำมาตกอยู่ที่ลูกชายของตนเอง จะได้เข้าใจความรู้สึกของผู้สูญเสียว่ารู้สึกเช่นไร โปรดักชั่น ในเรื่องนี้มีสถานที่ไม่มาก หลัก ๆ ก็คือที่บ้านกับค่ายกักกันเอาท์วิธ แต่มันเป็นสถานที่ที่มีเรื่องราวความน่ากลัวถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ที่มิอาจลืมเลือน คือเป็นหนึ่งในค่ายที่ใช้ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายรุนแรง การใช้คนทดลอง การทรมาน ความอดยาก การขัดขืน และการถูกสังหาร ภาพของหนังที่เล่ามาจึงควรเป็นภาพที่โหดร้าย เพราะในความเป็นจริงคงไม่มีทางที่เด็กอย่างชมูเอลจะมานั่งเล่นอยู่ริมรั้วได้ หลายคนจึงตำหนิว่าถ่ายทอดภาพออกมาดูดีเกินไป ทำให้สงครามดูไม่รุนแรง ทำให้เหยื่อถูกกระทำเบากว่าความเป็นจริงมากเกินไป แต่เราอย่าลืมว่านี่คือสายตาของเด็กที่ไร้เดียงสา หนังพยายามเล่าในมุมมองของเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ภาพจึงออกมาเป็นแบบนี้ แต่เครื่องแต่งกายผู้เขียนให้ผ่านเลยนะ ดูเป็นเสื้อผ้าที่ถูกส่งต่อ ชุดลายทางที่ใครต่อใครใส่มาแล้วหลายครั้ง บรรยากาศในตอนสุดท้ายทำได้ดีมาก หนังไม่อธิบายอะไรเลย แต่ภาพได้เล่าเรื่องทั้งหมด ทำเราจุกจนพูดไม่ออก ยิ่งคนที่รู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้มาดูต้องมีเสียน้ำตากันบ้างแหละ อรรถรสในการรับชม ที่จริงแล้วค่ายเอาท์วิธเกิดจากการที่บรูโนออกเสียงผิด แท้ที่จริงแล้วคือค่ายเอาช์วิตซ์ ค่ายกักกันใช้แรงงานและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดของนาซี ผู้เขียนพอมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง จึงมีฉากในหนังที่ประทับใจที่สุดคือฉากถอดเสื้อผ้าและต้อนผู้คนเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ ที่ประทับใจไม่ใช่เห็นด้วยในการกระทำ หรือชื่นชมต่อเหตุการณ์นั้น ๆ แต่ชมเชยการถ่ายทำที่ถ่ายทอดเรื่องราวช่วงนี้ได้หดหู่ เป็นวิธีการฆ่าที่โหดร้ายทารุณ ด้วยกระบวนการสังหาร คัดเลือกเด็ก คนแก่ คนเจ็บที่ใช้งานไม่ได้ เข้าห้องรมแก๊สพิษ สลดใจมากที่ได้เห็นเด็กสองคนต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ และยิ่งเศร้าใจหนักมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นจริง สารภาพว่าดูเรื่องนี้ ฉากนี้ในครั้งแรก ผู้เขียนเสียน้ำตาหนักมาก ไม่คิดว่ามนุษย์จะทำกันได้ลง และไม่กล้ากลับไปดูซ้ำอีกเลย วันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 คือวันครบรอบ 15 ปี The Boy in the Striped Pyjamas ภาพยนตร์ในความทรงจำ ผู้เขียนจึงเล่ามาจากความทรงจำที่เคยได้ดูและได้อ่านมา อาจมีตกหล่นก็ขอให้คนอ่านให้อภัยด้วย เพราะผู้เขียนไม่ได้เปิดอ่านหรือดูซ้ำอีกแล้ว ความรู้สึกเศร้าสลดสัมผัสครั้งเดียวก็เกินพอ คุณพีลงคะแนนบทประพันธ์ 10/10เสน่ห์ตัวละคร 10/10โปรดักชั่น 10/10อรรถรสในการรับชม 10/10คะแนนเฉลี่ย 10/10 ขอขอบคุณเครดิตภาพปก จาก asaboppเครดิตรูปภาพที่ 1,2 จาก ผู้เขียนเครดิตรูปภาพที่ 3 จาก asaboppเครดิตรูปภาพที่ 4 จาก officialdavidthewlisคอมมูนิตี้ “โลกคนรักหนัง” ห้องหวีดซีรีส์ดังออกใหม่มาแรง ป้ายยาหนังดีหนังโดน
Prerengi • 1 ธ.ค. 66
อ่าน
รู้จัก ไมท์เรยิ รามากริชนาน หรือ เดวี่ จากซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (2022) ทาง Netflix💓
ซีรีส์ ‘Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (2022)’ เรียกว่าเป็นหนึ่งซีรีส์ Original จากทาง Netflix ที่เป็นแนววัยรุ่นป๊อปปี้เลิฟแบบสนุก ๆ โดยได้นักแสดงนำในบทบาทของ เดวี่ อย่างสาวสวย “Maitreyi Ramakrishnan (ไมท์เรยิ รามากริชนาน)” ที่เรียกว่าเธอเล่นได้ดี ฟิตติ้งกับบทบาทมาก! วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ มาทำความรู้จักกับเธอคนนี้กันให้มากขึ้นผ่านทาง ‘รู้จัก ไมท์เรยิ รามากริชนาน หรือ เดวี่จากซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (2022) ทาง Netflix’ หากเพื่อน ๆ พร้อมกันแล้วนั้น ก็ตามมาดูกันเลยค่า~ Maitreyi Ramakrishnan (ไมท์เรยิ รามากริชนาน) ชื่อของเธอคือ “Maitreyi Ramakrishnan (ไมท์เรยิ รามากริชนาน)” เกิดเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2544 ปัจจุบันอายุ 20 ปี โดยเกิดและเติบโตในเมือง Mississauga, Ontario ประเทศแคนาดา สัญชาติแคนาดา เธอจบการศึกษาระดับมัธยมจาก Meadowvale Secondary School และเธอได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ York University ในสาขาการละครhttps://www.instagram.com/p/Cha0ZLcOzrl/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/CbIVtGeLaSP/?igshid=YmMyMTA2M2Y=เส้นทางการเข้าสู่วงการของไมท์เรยิ รามากริชนาน ไมท์เรยิเปิดตัวการแสดงปี 2019 ในบทบาทของ ‘Devi Vishwakumar’ ซึ่งเป็รตัวเอกในซีรีส์วัยรุ่นของทาง Netflix อย่างในเรื่อง “Never Have I Ever ภารกิจสาวซนก็คนมันไม่เคย” โดยเธอได้ถูกรับเลือกจากผู้สมัคร 15,000 คนจากการที่เธออัดคลิปส่งไปแคสติ้ง ด้วยหน้าตาที่โดดเด่นนและการแสดงธรรมชาติของเธอ และจากบทบาทนี้ทำให้เธอเป็นที่รู้จัก เรียกได้ว่าเป็นบทบาทที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปอย่างสิ้นเชิงSeason1Never Have I Ever | Official Trailer | Netflixhttps://youtu.be/HyOCCCbxwMQhttps://www.instagram.com/p/B_A7BZ7h1VG/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/B_0hpQhlGrt/?igshid=YmMyMTA2M2Y=Season2NEVER HAVE I EVER Season 2 Trailer (2021)https://youtu.be/YViatm4jTYchttps://www.instagram.com/p/CQRwj3XB7-o/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/CRgqFYLBzXL/?igshid=YmMyMTA2M2Y=Season3Never Have I Ever: Season 3 | Official Trailer | Netflixhttps://youtu.be/d_N99x0gAAkhttps://www.instagram.com/p/ChLeWiEpI6P/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/ChLWKopP6vi/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/CdTmweiJlV9/?igshid=YmMyMTA2M2Y=ไมท์เรยิ รามากริชนาน รับบท Devi Vishwakumar สาวไมท์เรยินั้นมีผลงานเรื่องแรกและเรื่องเดียวในตอนนี้นั่นคือผลงานซีรีส์เรื่อง “Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย” ในบทบาทของ “Devi Vishwakumar” นั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นคาแรคเตอร์ของสาวสวยชาวอินเดียที่เรียนอยู่ในชั้นมัธยมปลาย เธอเป็นเด็กเนิร์ด ที่เรียนเก่ง และยังมีเพื่อนสนิทแค่เพียง 2 คน ซึ่งเธอเป็นคนที่อ่อนหัดเรื่องของความรักสุด ๆไม่เคยมีความรักหรือแฟนเลย แต่แล้วเธอก็ดันได้คบกับหนุ่มฮอตที่สุดในโรงเรียนอย่าง Paxton เรื่องราวความรักของเธอจะเป็นอย่างไรต้องไปติดตามกัน!? โดยในเรื่องนี้สาวไมท์เรยินั้นแสดงออกมาได้ดีมาก คาแรคเตอร์ชัดเจน แถมเราชอบวิธีการพูดนำเสนอของเธอมาก ๆ มันดูน่าสนใจ ดึงดูดสายตาสุด ๆ เรียกว่าเป็นบทบาทที่เกิดมาคู่กับเธอคนนี้จริง ๆ ค่ะ ^^ https://www.instagram.com/reel/Chfd4zEJgP3/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/reel/ChKp7RCgkkZ/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/Ch5QS_asLC4/?igshid=YmMyMTA2M2Y= และนอกเหนือจากความเก่งในเรื่องของการแสดงแล้วนั้น ความสามารถอีกหนึ่งอย่างของเธอที่ขออวยเลยนั่นก็คือการ ‘พากย์เสียง’ ด้วยความที่สาวไมท์เรยิมีเสียงที่มีน้ำเสียงที่เพราะ น่าฟัง แหบแบบมีเสน่ห์ ทำให้เธอยังได้รับโอกาสและมีสกิลในการทำหน้าที่พากย์เสียงอีกด้วย ซึ่งเธอได้พากย์เสียงในซีรีส์การ์ตูนเด็กชื่อดังอย่าง “My Little Pony” ในบทบาทของ “Zipp Storm” เป็นคาแรคเตอร์ของโพนี่ที่เป็นเหมือนกับสาวหล่อมีความเท่ ฉลาด และไหวพริบดีมากโดยเธอก็สามารถพากย์เสียงนี้ออกมาได้ดีมากกกก อินเนอร์ออกมาจากโทนเสียงจริง ๆ ค่ะ👏🏻Zipp the Unicorn's Most Magical Moments | My Little Pony: A New Generation | Netflixhttps://youtu.be/9enkveXJUwshttps://www.instagram.com/p/CeCe38svZ1M/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/CaFvl5cvAw4/?igshid=YmMyMTA2M2Y=ผลงานการแสดงของไมท์เรยิ รามากริชนาน 2020 :- Never Have I Ever รับบท Devi Vishwakumar (Season 1-3) 2022 :- My Little Pony: Tell Your Tale Zipp Storm พากย์เสียง- My Little Pony: Make Your Mark (special) พากย์เสียง- My Little Pony: Make Your Mark (series) dagger พากย์เสียง- My Little Pony: Winter Wishdaydagger ( พากย์เสียง) - Turning Red (พากย์เสียง Priya Mangal) อุปนิสัยและคาแรคเตอร์ของสาวไมท์เรยิ รามากริชนาน ที่หลสยคนจะต้องหลงรัก โดยเธอนั้นเป็นสาวสวยสุดน่ารักที่มีความสดใส ร่าเริง อารมณ์ดีและยังมีความทะเล้นมาก ๆ ยิ้มง่ายหัวเราะเก่งสุด ๆ ใครอยู่ใกล้แล้วเป็นจะต้องยิ้มและหัวเราะ อารมณ์ดีกันหลงรักเธออย่างแน่นอนค่ะ อีกทั้งแม้ว่าเธออายุยังน้อย แต่มีความคิดและทัศนคติที่เป็นผู้ใหญ่ และในเรื่องของความสามารถบอกเลยว่าไม่ธรรมดาจริง ๆ ค่ะ ทั้งพาร์ทของการแสดงและพาร์ทของการพากย์เสียง บอกเลยว่าสุดยอด!🫶🏻💗⭐️https://www.instagram.com/p/Caphoo3JWNU/?igshid=YmMyMTA2M2Y=https://www.instagram.com/p/Cd6lrZxOhaB/?igshid=YmMyMTA2M2Y=ก็จบลงไปแล้วนะคะสำหรับ รู้จัก ไมท์เรยิ รามากริชนาน หรือ เดวี่ จากซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย (2022) ทาง Netflix เรียกได้ว่าสาวสวยไมท์เรยิ เธอนั้นเป็นคนที่สวย น่ารัก คาแรคเตอร์มีความโดดเด่นมาก ยิ่งในบทบาทของ เดวี่ แล้วนั้น ไม่ว่าจะฉากไหนซีนใดคือฟิตติ้งกับบทบาท เอาอยู่หมัดมาก! เพื่อน ๆ สามารถติดตามเธอได้ที่ Instagram : @maitreyiramakrishnan และสุดท้ายนี้เพื่อน ๆ สามารถติดตามซีรีส์ Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ทั้ง Season 1-3 ได้แล้ววันนี้ทาง Netflix ค่า��💓👏🏻เครดิตภาพหน้าปกโดย @maitreyiramakrishnanภาพหน้าปก1 / ภาพหน้าปก2 / ภาพหน้าปก3 เครดิตภาพและวิดีโอประกอบบทความโดย @maitreyiramakrishnan : ภาพที่1 / ภาพที่2 / ภาพที่3 / ภาพที่4 / ภาพที่5 / ภาพที่6 / ภาพที่7 / ภาพที่8 / ภาพที่9 / ภาพที่11 / วิดีโอที่3 / ภาพที่12 / ภาพที่13 @netflix : วิดีโอที่1 / วิดีโอที่2 / ภาพที่10 เครดิตวิดีโอประกอบบทความโดยNetflix : Never Have I Ever | Official Trailer | NetflixNever Have I Ever: Season 3 | Official Trailer | NetflixONE Media : NEVER HAVE I EVER Season 2 Trailer (2021)Netflix Film : Zipp the Unicorn's Most Magical Moments | My Little Pony: A New Generation | Netflixบทความที่น่าสนใจ :https://intrend.trueid.net/post/83244 จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !
nowadays girl☀︎︎ • 1 ก.ย. 65
ดูเพิ่มเติม