TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “Android” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
ฟีเจอร์ถ่ายโอน eSIM บน Android จะมาพร้อมกับ Android 14
iPhone ถือว่าเป็นผู้นำที่เอา eSIM มาใช้งานกับ iPhone รุ่นต่าง ๆ และมีฟีเจอร์การถ่ายโอน eSIM ไปยัง iPhone รุ่นใหม่ได้ ในฝั่งของ Android ก็กำลังมีฟีเจอร์ถ่ายโอน eSIM ด้วยวิธีการสแกน QR Code ในก่อนหน้านี้เดือนกุมภาพันธ์ Google ประกาศว่าจะเพิ่มความสามารถใหม่ในการถ่ายโอน eSIM ไปยังเครื่อง Android อีกเครื่องภายในปีนี้ที่จะทำให้ผู้ใช้งานที่มีสมาร์ตโฟน Android เครื่องใหม่ถ่ายโอน eSIM ได้ง่าย รวดเร็ว และปลอดภัย ซึ่งในก่อนหน้านี้หากผู้ใช้งาน Android ต้องการถ่ายโอน eSIM จำเป็นต้องไปที่ผู้ให้บริการ, ยกเลิก eSIM เครื่องเดิม และลงทะเบียนสแกน QR Code eSIM เครื่องใหม่ First look – Google has already announced & working on the capability of transferring your eSIMs. Initiate transfer on current device, scan the QR displayed on other device on which you want to transfer it. Once scanned, you need to complete the process on your other device. pic.twitter.com/PmO2X4W1c9— AssembleDebug (@AssembleDebug) August 21, 2023 การค้นพบฟีเจอร์ใหม่นี้ถือพบโดยผู้ใช้งานบัญชี X (เดิม : Twitter) ชื่อว่า AssembleDebug ได้โพสต์รูปภาพการทำงานของฟีเจอร์ถ่ายโอน eSIM ด้วยการสแกน QR Code คาดว่าฟีเจอร์ถ่ายโอน eSIM จะมาพร้อมกับ Android 14 เวอร์ชันตัวเต็ม ที่มา : Android Authority พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส
แบไต๋ • 22 ส.ค. 66
อ่าน
ปัญหาระบบจัดการเบื้องหลังแอปพลิเคชัน Android จะถูกแก้ไขใน Android 14 และ OneUI 6.0
Android และ Samsung จับมือพันธมิตรร่วมกันแก้ไขปัญหาระบบจัดการเบื้องหลังแอปพลิเคชันที่ส่งผลต่อการจัดการพลังงานจะถูกเปิดตัวครั้งแรกใน Android 14 และ OneUI 6.0 ปัญหาคาราคาซังที่ผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการ Android ทุกคนจะต้องประสบพบเจอทุก ๆ เวอร์ชันคือ ระบบจัดการเบื้องหลังแอปพลิเคชัน Android โดยแอปพลิเคชันต่าง ๆ จะใช้งานทรัพยากรของเครื่องเป็นจำนวนมากที่รวมไปถึงแบตเตอรี่, ซีพียู และหน่วยความจำ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องโดยรวมทำงานได้ช้าลง, อายุของแบตเตอรี่สั้นลง และไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันได้ต่อเนื่องเพราะ แอปพลิเคชันบางตัวถูกปิดตัว หรือถูกฆ่าทิ้งโดยอัตโนมัติ แต่ปัญหาดังกล่าวจะถูกแก้ไขด้วยความร่วมมือพันธมิตรระหว่าง Android และผู้ผลิตโทรศัพท์รายใหญ่ของโลกอย่าง Samsung ที่จะมาครั้งแรกในระบบปฏิบัติการ Android 14 ที่จะถูกเปิดตัวในงาน Google I/O 2023 และ OneUI 6.0 ที่จะมาในปลายปีนี้ ซึ่งทาง Google ก็ได้บอกว่า Samsung จะเป็นพันธมิตรรายแรกสำหรับการจัดการปัญหาดังกล่าวร่วมกัน และ OneUI 6.0 จะเป็นระบบปฏิบัติแรกที่มีระบบจัดการเบื้องหลังแอปพลิเคชันที่ดีที่สุดตามเป้าหมายของ Android 14 ที่วางเอาไว้ และทาง Samsung ก็ได้พูดถึงผู้ใช้ทุกคนสำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ว่า ผู้ใช้ Samsung ที่รับการอัปเดต OneUI 6.0 ในปลายปีนี้จะได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีมากยิ่งขึ้น ที่มา : Android Developer Blog, Android Police, 9to5Google
แบไต๋ • 8 พ.ค. 66
อ่าน
สัดส่วนผู้ใช้ Android 13 เพิ่มเป็น 5% ของอุปกรณ์ Android ทั้งหมดภายในเวลา 5 เดือน!
แผนภูมิล่าสุดจาก Google เกี่ยวกับส่วนแบ่งผู้ใช้ Android เวอร์ชันต่าง ๆ มีการอัปเดต Android 13 ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และพบว่า ปัจจุบัน OS เวอร์ชันนี้มีผู้ใช้งานเป็นสัดส่วนถึง 5% แล้วภายใน 5 เดือน ปกติแล้ว Google จะเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสัดส่วนการใช้งาน Android เวอร์ชันต่าง ๆ ออกมา โดยจุดประสงค์หนึ่งก็เพื่อแจ้งให้นักพัฒนาทราบว่า ปัจจุบันพวกเขาควรมุ่งเป้าไปที่เวอร์ชันใด ตอนที่ Android 13 เปิดตัวนั้นมีเพียง Google Pixel อย่างเดียวที่ได้ใช้ OS ดังกล่าวก่อนใครเพื่อน หลังจากนั้น Samsung ก็ปล่อยอัปเดต OneUI 5 ออกมา และตามมาด้วย OnePlus และ Sony ที่ปล่อยอัปเดต Android 13 ในปีที่แล้ว ช่วยให้สัดส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ Android 13 เพิ่มมากขึ้น แม้ Android 13 จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้ใช้ Android 12 ก็ไม่ได้ลดลงเช่นกัน ตรงกันข้ามกลับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ โดยเมื่อเทียบกับแผนภูมิเมื่อเดือนสิงหาคม 2022 จะพบว่า Android 12 มีสัดส่วนอยู่ที่ 13.5% แต่แผนภูมิล่าสุด ณ มกราคม 2023 กลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นที่ 18.90% แล้ว ในอนาคต Android 13 ก็จะยิ่งมีสัดส่วนผู้ใช้งานมากขึ้น พร้อมกับฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยทางทีมผู้พัฒนาระบบ Android ก็มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ เสมอหลังจากการเปิดตัวในเดือนสิงหาคม อีกทั้งการร่วมมือระหว่าง Google และ Windows ก็จะช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่าง Android และ Windows 11 ทำได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นล่าสุด Qualcomm ก็มีการเปิดตัวชิป Snapdragon 8 Gen 2 ที่รองรับ Wi-Fi 7 และเพิ่มประสิทธิภาพของ AI, Unreal Engine 5 รวมถึงเปิดตัวบริการดาวเทียมสำหรับ Android อีกด้วย ที่มา: Techspot
แบไต๋ • 21 ม.ค. 66
อ่าน
ผู้ใช้งาน Android ย้ายไปใช้ iPhone สูงสุดในรอบ 5 ปี หรือ Android ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่แล้ว?
CIRP หรือ Consumer Intelligence Research Partners เผยผลสำรวจผู้ใช้งานในสหรัฐอเมริกาที่ซื้อ iPhone ระบุว่า Apple สามารถดึงผู้ใช้งาน Android ได้สูงสุดในรอบ 5 ปีเลยทีเดียว แม้ว่า iPhone จะมีราคาที่เพิ่มขึ้นมาถึง 1,000 เหรียญ หรือประมาณ 34,000 บาท แต่ก็มีผู้ใช้งานจาก Android ที่เปลี่ยนมาใช้งาน iPhone มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเป็นตัวเลขที่มากที่สุดในรอบ 5 ปี ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากสำหรับ iPhone 15% ของผู้ใช้งาน iPhone เครื่องใหม่ ย้ายมาจาก Android เพิ่มขึ้นจาก 11% เมื่อปีที่แล้ว อีก 83% เป็นผู้ใช้ iPhone เดิม ส่วนอีก 2% มาจากมือถืออื่น ๆ ทั้งนี้ Apple เคยทำสถิติได้ผู้ใช้งานจาก Android มากที่สุดในปี 2016 อยู่ที่ 21% เมื่อปี 2016 หรือสมัย iPhone 7 ที่ตัดช่องเสียบหูฟังออก ด้าน CFO ของ Apple – ลูก้า แม้สตรี (Luca Maestri) กล่าวระหว่างผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ว่า “ที่ใดก็ตามที่มีส่วนแบ่งของ iPhone น้อย เรายิ่งได้ส่วนแบ่งมากขึ้นในสถานที่เหล่านั้น” นั่นหมายความว่าผู้ใช้งานที่เปลี่ยนจาก Android มาใช้ iPhone นั้น มีมากกว่าในสหรัฐอเมริกาเสียอีก ที่มา 9to5Mac
แบไต๋ • 23 พ.ค. 66
อ่าน
Smart TV, Android TV, Android TV Box เลือกซื้ออะไรดี
ในยุคที่ทีวีจำเป็นต้องมี Internet นั่นทำให้ผู้ที่คิดซื้อทีวีใหม่ต้องปวดหัวอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดไม่ตกว่าแล้วจะเลือกอะไรดี Smart TV, Android TV หรือจะใช้ทีวีเครื่องเดิมคู่กับ Android TV Boxหากเราจะแยกย่อยตัวเลือกที่มีให้เลือกในยุคนี้ที่เห็นกันจนชินตา สามารถแยกได้ 3 ประเภท ดังนี้1. Smart TV2. Android TV3. Android TV Boxซึ่งหากท่านกำลังจะเลือกซื้อ และเลือกไม่ถูกว่าจะเอาแบบไหนดี ทางเลือกแบบง่ายที่สุด สามารถพิจารณาได้ดังนี้1. Smart TV ถือเป็นทีวีที่ใช้งานได้สะดวกที่สุดในกลุ่ม เพราะตัวทีวีกับแอปนั้นได้ถูกออกแบบมาให้ลงตัวด้วยกันตามที่ผู้ผลิตได้จัดการไว้ ดังนั้นจึงมีความลงตัวอย่างไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นแอปดูภาพยนตร์อย่าง Netflix, YouTube ที่ทางผู้ผลิตจะจัดสรรไว้ให้ในทีวีเรียบร้อยแล้ว ขณะที่การบังคับควบคุมเมนูต่าง ๆ สามารถทำได้บนรีโมททีวีเครื่องนั้น ๆ โดยตรง ไม่ต้องมีอุปกรณ์เสริมให้ยุ่งยาก ทำให้ง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด รวมถึงความสามารถในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลภายนอกต่าง ๆในขณะที่ก็จะต้องมีข้อเสียอยู่บ้าง คือ การจัดการของแอปต่าง ๆ ในทีวีนั้นขึ้นกับผู้ผลิตทีวีเป็นหลัก โดยบริษัทเหล่านี้คือผู้จัดการหลักของแอปที่ใช้ในทีวีเครื่องนั้น ๆ ดังนั้น จำนวนแอปที่นอกเหนือจากที่มีอยู่ในทีวีตามที่ผู้ผลิตจัดไว้ให้อยู่แล้วอาจไม่สามารถทำการติดตั้งได้ จึงเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งของ Smart TV ทุกยี่ห้อที่ผู้ซื้ออาจจะไม่ชอบใจในข้อจำกัดของการติดตั้งแอปเพิ่มเติม2. Android TV จะเป็นอย่างไร ถ้าหากว่าเราจับระบบแอนดรอยด์เข้าไปไว้ในทีวีเสียเลย ซึ่ง Android TV คือคำตอบ และแน่นอนว่า มันยืดหยุ่นกว่า Smart TV อยู่มาก เพราะทีวีเครื่องนั้นสามารถใช้งานในรูปแบบของแอนดรอยด์ได้เลย ไม่ต้องใช้ระบบที่ทางผู้ผลิตจัดการให้ในแบบ Smart TV โดยสามารถเข้าติดตั้งแอปเพิ่มได้จาก Google Play โดยตรง และมีความสามารถอื่น ๆ เหมือน Smart TVโดยที่ข้อเสียคือเรื่องของตัวแอปที่ติดตั้งได้นั้นมักมีข้อจำกัด คือต้องเป็นแอปที่รองรับกับทีวีเท่านั้น และแน่นอนว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป อุปกรณ์ที่ติดมากับเครื่องก็จะล้าสมัย และไม่สามารถใช้งานกับแอปใหม่ ๆ ได้เป็นเรื่องปกติ3. Android TV Box จัดว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มองข้ามไม่ได้ ในด้านการใช้งานอาจจะต้องแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ3.1. Android TV Box ที่รองกับกับแอปทีวีโดยตรงและได้รับการรับรองจาก Google อาทิ TrueID TV ซึ่งมีโปรโมชั่นมากมาย , Xiaomi Mi Box หรือ Nvidia Shield ซึ่งการใช้งานจะเหมือนกับ Android TV ไม่ยุ่งยาก แอปต่าง ๆ ใช้งานตามมาตรฐานที่เครื่องรองรับ ทำให้การใช้งานนั้นสะดวกและใช้งานผ่านรีโมทของเครื่องได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เพิ่ม ซึ่งถ้าใครไม่ชอบความยุ่งยาก Android TV Box แบบนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด3.2. Android TV Box ทั่วไป หรือที่เรามักเรียกว่า กล่องแอนดรอยด์ ซึ่งเห็นคุ้นชินตากันมาหลายปี โดยแตกต่างจาก Android TV Box ข้างต้น เพราะการใช้งานเป็นการจำลองแอนดรอยด์บนสมาร์ทโฟนออกมาตรง ๆ คล้ายกับเอามือถือมาใส่ทีวี นั่นหมายถึงการใช้งานที่ยุ่งยากกว่า เพราะรีโมทที่แถมมาจะไม่เพียงพอต่อการใช้งานจำเป็นต้องหาซื้อคีย์บอร์ด หรือเมาส์เพิ่มเติม สุดแต่ใครชื่นชอบแบบไหน เพราะมีทั้งคีย์บอร์ดแบบเล็ก ๆ ที่มีทัชในตัว หรือจะใช้คีย์บอร์ดพร้อมเมาส์ก็ย่อมได้ แม้จะมีการใช้งานที่ยุ่งยาก แต่สามารถเข้าใช้งานได้แทบทุกแอปที่ Smartphone ใช้ได้ และนั่นรวมถึงแม้กระทั่งการเล่นเกมด้วย จึงมีความหลากหลายในด้านการใช้งานมากที่สุด แต่ผู้ใช้ต้องมีความชำนาญในด้านการใช้งานมากกว่ารูปแบบอื่น ๆ ข้างต้นอยู่สักเล็กน้อยดังนั้นแล้ว หากท่านตัดสินใจจะหาซื้อ ทีวี หรือจะเลือกใช้ ทีวีเครื่องเดิมคู่กับ กล่องแอนดรอยด์ ขอให้ลองพิจารณาจากการใช้งานของท่านเป็นหลัก หากท่านเป็นเพียงแค่ผู้ใช้ที่กลับบ้านนอนเอนหลังเปิดทีวีดู ทีวีแบบ Smart หรือ Android ย่อมเข้ากับท่านได้มากกว่า ในขณะที่หากท่านคือผู้ที่ใช้งานจริงจังชอบการปรับแต่ง หรือการหาอะไรใหม่ ๆ ให้กับทีวีของท่านเพิ่มเติม Android TV Box ย่อมตอบโจทย์ได้ดีกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมศึกษาคุณสมบัติ Specification ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ CPU, RAM, GPU หรือ พื้นที่เก็บข้อมูล ให้ถี่ถ้วนก่อนเลือกซื้อขอบคุณภาพประกอบปก TrueIDภาพ 2 Pixabay - ADMCภาพ 3 True Storeภาพ 4 Pixabay - Alehandra13ภาพ 5 unsplash - Erik Mclean เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
DoctorSee • 9 ก.พ. 65
อ่าน
เอชเอ็มดีเผยมัลแวร์คุกคามสมาร์ทโฟน Android เพิ่ม 4% ชูโนเกียปลอดภัยสูงสุดบนระบบ Android One
โนเกีย (Nokia) เผยภัยเงียบ พบไวรัส มัลแวร์คุกคามสมาร์ทโฟน เฉพาะระบบ Android เจาะข้อมูลส่วนตัว สร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 4% จากจำนวนผู้ใช้งานระบบ Android ทั่วโลก 2.5 พันล้านคน มุ่งเข้าล้วงข้อมูลจากรายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และการทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน ในขณะที่ปัจจุบันสมาร์ทโฟนเป็นมากกว่ามือถือ แต่ตอบโจทย์การใช้งานทั้งกระเป๋าสตางค์ เก็บไฟล์ภาพและเอกสารต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้ใช้งานมีความต้องการด้านความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้น เปิดสถิติคนไทย 51.9% ยอมรับว่า มือถือที่ปลอดภัย คือตัวเลือกแรกในการเลือกสมาร์ทโฟน ชูโนเกีย สมาร์ทโฟน ระบบแอนดรอยด์ DNA ความทนทาน คุ้มค่า ใช้งานปลอดภัยยาวนาน บนระบบปฏิบัติการ Android One เพียวแอนดรอยด์ และฮาร์ดแวร์รองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ดีที่สุด ครอบคลุมสมาร์ทโฟนโนเกียในทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ในราคาประหยัดอย่าง C ซีรีส์ ไปจนถึงรุ่นเรือธงอย่าง X ซีรีส์ ใช้งานได้อย่างมั่นใจบนความปลอดภัยสูงสุด นายภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD) เปิดเผยว่า ปัจจุบันช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ส่งผลให้ผู้คนต้องลดพฤติกรรมการสัมผัส และต้องเว้นระยะห่าง หรือ Social distancing ในชีวิตประจำวัน กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมทางสังคม ก้าวสู่วิถีชีวิตบนโลกออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการเรียน การทำงาน การจับจ่ายใช้สอย หรือแม้แต่การทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งพูดได้ว่าในปัจจุบันการมีสมาร์ทโฟนเพียงหนึ่งเครื่อง เปรียบเสมือนมีทั้งกระเป๋าสตางค์ แฟ้มเก็บไฟล์ภาพ หรือเอกสารสำคัญต่าง ๆ รวมครบจบไว้ในที่เดียว สามารถพกพาพร้อมใช้งานได้อย่างสะดวกทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้สมาร์ทโฟนมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก ในด้านพฤติกรรมพบประชากรทั่วโลก 2,500 ล้านคน เลือกใช้สมาร์ทโฟนระบบ Android เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มแฮกเกอร์ ไวรัส มัลแวร์ต่าง ๆ ที่อาศัยช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ Android แฝงตัวเจาะเข้าถึงความเป็นส่วนตัว สร้างความเสียหายให้ผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นกว่า 4% โดยมุ่งล้วงข้อมูลสำคัญทั้งการเข้าถึงรายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และการทำธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือ link โฆษณาต่าง ๆ บนโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อความปลอดภัยของสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการความปลอดภัยบนการใช้งานสมาร์ทโฟนเพิ่มสูงขึ้น จากสถิติพบคนไทยกว่า 51.9% ยอมรับว่า การรู้ว่ามือถือของตัวเองมีความปลอดภัย นั้นสำคัญมากในการเลือกใช้สมาร์ทโฟน ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจในความปลอดภัยของโทรศัพท์มือถือโนเกียตลอดระยะเวลาการใช้งาน โนเกียจึงมุ่งตอกย้ำจุดยืนที่เป็นสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ ด้วย DNA โดดเด่นในด้านความทนทาน คุ้มค่าเกินราคา ใช้งานยาวนาน บนระบบปฏิบัติการ Android One เพียวแอนดรอยด์ ที่สามารถอัปเดตเวอร์ชันใหม่ได้ทันทีเมื่อมีการอัพเกรดจากแอนดรอยด์ และสามารถอัปเดตความปลอดภัยของสมาร์ทโฟน รวมถึงการอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ใหม่ล่าสุดได้ทันที ประกอบกับความมุ่งมั่นพัฒนาทุกผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านของการออกแบบ การเลือกใช้วัสดุ ระบบปฏิบัติการ รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานต่าง ๆ ให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันมากที่สุด ภายในแนวคิด Love It. keep it. trust it. ระบบปฏิบัติการ Android One เพียวแอนดรอยด์ มีอยู่บนสมาร์ทโฟนโนเกียครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นราคาประหยัดอย่าง C ซีรีส์ ไปจนถึงรุ่นเรือธงอย่าง X ซีรีส์ โดยเป็นแพลตฟอร์มแอนดรอยด์สต็อกรอม (Stock ROM) ที่ได้รับการการันตีด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์จากกูเกิล (Google) อัปเดตความปลอดภัยอยู่เป็นประจำ ในระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งในแต่ละครั้ง ระบบปฏิบัติการจะช่วยลดช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ Android ที่อาจจะถูกตรวจพบโดยมัลแวร์ หรือแฮกเกอร์ ในทุกครั้งที่ใช้โทรศัพท์ จึงทำให้สมาร์ทโฟนโนเกียมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และสร้างเกราะป้องกันด้านความปลอดภัย ยากต่อการถูกคุมคามทางไซเบอร์ หรือถูกแฮกข้อมูลจากแฮกเกอร์ หรือมัลแวร์ เมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนที่ไม่ได้เน้นด้านระบบความปลอดภัย หรือเครื่องที่ไม่มีการอัปเดตระบบปฏิบัติการด้านความปลอดภัย พร้อมกันนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานที่รวดเร็วขึ้น ทั้งยังช่วยรักษาอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยโทรศัพท์จะลดการใช้พลังงานอัตโนมัติ เพื่อการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และด้วยนวัตกรรมล่าสุดจากกูเกิล (Google) ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแสดงผลบนหน้าจอที่ให้เฉดสีที่คมชัด และสดใหม่ พร้อมกล้องถ่ายรูปคมชัดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย นายภารดรกล่าวทิ้งท้าย
มติชน • 7 เม.ย. 65
อ่าน
แนะนำ 5 แอปบน Android สำหรับคนที่ชอบสเก็ตช์ภาพ
สมัยนี้แค่มีสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตดี ๆ สักเครื่อง ก็สามารถสร้างสรรค์งานศิลป์สวย ๆ ได้จากทุกที่ทุกเวลา วันนี้เราเลยจะมาแนะนำ 5 แอปพลิเคชันเด็ดที่จะช่วยให้การวาดภาพของคุณสนุก และเพลิดเพลินไปมากกว่าเดิม ที่สำคัญ ทั้งหมดนี้ใช้งานได้บนAndroid ด้วยนะ!1) Infinite Design and Painterภาพจาก Yankodesignสายวาดภาพที่ชอบงานสเก็ตช์ลายเส้น ออกแบบเส้นสายลวดลายต่าง ๆ ตามความคิด เชื่อว่าจะต้องชอบแอปพลิเคชันตัวนี้แน่นอน โดยแอปพลิเคชันนี้จำลองผืนผ้าใบที่ไม่มีที่สิ้นสุด ตลอดจนอินเทอร์เฟซเครื่องมือต่าง ๆ ที่เราสามารถปรับย้ายไปมาได้เพื่อให้เหมาะกับการทำงานของเรา แอปพลิเคชันจากตระกูลแอป Infinite Studio มีให้เลือกหลากหลายตามสไตล์ของชิ้นงาน เช่น Infinite Designer และ Infinite Painterภาพจาก Yankodesignสำหรับ Infinite Designer ตัวนี้จะเน้นไปที่การออกแบบรูปร่าง และภาพสไตล์เวกเตอร์ต่าง ๆ ดังนั้นจึงมีฟีเจอร์ที่สร้างขึ้นให้นักออกแบบสามารถใช้งานได้โดยเฉพาะ เช่น เครื่องมือออกแบบข้อความ, ตัวช่วยแนะนำการร่างเปอร์สเปคทีฟ แต่ถ้าเป็น Infinite Painter จะออกแบบมาเพื่องานเพนท์มากขึ้น โดยจะมีฟีเจอร์เช่นการปรับแต่งหัวพู่กันให้เหมาะกับพื้นผิวที่เลือกไว้ ทั้งนี้ตัวแอปพลิเคชันยังเปิดให้ใช้งานทั้งแบบฟรี และมีเวอร์ชันอัปเกรดที่ต้องเสียค่าบริการเพื่อปลดล็อกฟีเจอร์บางอย่าง2) Conceptsภาพจาก Yankodesignแค่ชื่อก็น่าจะพอเดาได้ว่าเป็นแอปพลิเคชันด้านการออกแบบโดยเฉพาะ สำหรับแอปพลิเคชันตัวนี้มีทั้งแบบ iOS, Windows และ Android โดยฟีเจอร์หลักเน้นไปที่ความสามารถในการรองรับผืนผ้าใบที่ไม่มีที่สิ้นสุด และโดดเด่นด้วยชุดแปรงวาดภาพที่มีจำนวนให้เลือกมากกว่า ทำให้ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานรู้สึกราวกับได้ใช้เครื่องมือจริง ๆ ส่วนอีกจุดขายคือการทำวงล้อสีให้เลือกคล้ายกับสไตล์ของปากกา COPIC แบบต่าง ๆ ส่วนเรื่องของราคา แอปพลิเคชันตัวนี้มีแบบให้ใช้ฟรี และแบบสมัครรายปี รายเดือน เพื่อเข้าถึงฟีเจอร์อื่น ๆ3) Sketchbookภาพจาก Yankodesignเชื่อว่าแอปพลิเคชันตัวนี้น่าจะเป็นที่รู้จักกันในวงการนักวาดพอสมควร โดยตัวแอปพลิเคชันมีความโดดเด่นด้วยฟีเจอร์และหน้าตาของการใช้งานที่คล้ายกับการผสานเอา Photoshop มาปรับให้เหมาะกับการใช้งานของนักวาดมากขึ้น ตัวแอปพลิเคชันยังมาพร้อมกับเครื่องมือ ตัวปรับแต่ง และตัวช่วยสร้างอีกหลากหลายเมนูเพื่อให้การวาดภาพสามารถทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีแปรงอีกหลายสิแบบ รวมทั้ง blending modes โหมดที่จะช่วยให้เราสนุกไปกับการผสานหลายเลเยอร์รวมกันได้ ส่วนจุดที่อาจจะโดนใจผู้ใช้งานคงเป็นเรื่องของความเรียบง่ายและสะอาดตาของอินเทอร์เฟซ สำหรับแอปพลิเคชันตัวนี้มีทั้งแบบฟรีและแบบเสียค่าบริการภาพจาก Yankodesign4) Clip Studio Paintภาพจาก YankodesignClip Studio Paint เป็นหนึ่งในคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของ Photoshop ในด้านภาพประกอบดิจิทัล และขณะนี้พร้อมใช้งานบนแพลตฟอร์มหลัก รองรับทั้งบนสมาร์ตโฟน และแท็บเล็ต Android สำหรับตัวนี้จะมีเครื่องมือรองรับมากมายที่เหมาะสำหรับนักวาดภาพประกอบ และนักวาดภาพการ์ตูน โดยมีแปรงที่ปรับแต่งให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ รองรับแรงกดแบบต่าง ๆ มีแปรงอัปเดตใหม่ในเกือบทุกเดือน สำหรับตัวแอปพลิเคชันมีรองรับทั้งแบบฟรีและแบบเสียค่าบริการเช่นกัน5) Krita (Beta)ภาพจาก Yankodesignตัวสุดท้ายเป็นแอปพลิเคชันที่นอกจากจะฟรีจริง ๆ แล้ว ในด้านของคุณภาพ ลูกเล่น และความเสถียร ยังสามารถทำได้ดีด้วยเช่นกัน โดยมันมีจุดเด่นอยู่ชุดเครื่องมือที่ละเอียดและมีให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย โดยออกแบบมาให้โดนใจสายวาดการ์ตูนโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์แอนิเมชันที่ทำออกมาได้ดี รองรับการใช้งานและพัฒนาต่อใน open source ปัจจุบันมีรองรับทั้งบน Windows, Mac และ Linux แล้ว แต่สำหรับ Android ยังคงให้บริการเฉพาะรุ่นเบต้าเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นแค่รุ่นเบต้า แต่ตัว Krita บน Android เกือบจะมีฟีเจอร์และความสามารถเหมือนกันเกือบทั้งหมดกับเวอร์ชันเดสก์ท็อปเลยทีเดียวภาพจาก Yankodesignและทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงตัวอย่าง 5 แอปพลิเคชันสำหรับนักวาดภาพที่น่าสนใจ อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายหลายแอปพลิเคชันที่เปิดให้บริการสำหรับการใช้งานในระดับพรีเมียม หรือสำหรับคนที่ต้องการใช้เชิงธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งถ้ามีตัวไหนน่าสนใจ รับรองว่าเราจะเอามาอัปเดตให้ดูกันอีกแน่นอน!ขอบคุณข้อมูลจากyankodesign
TNN ช่อง16 • 31 ม.ค. 65
อ่าน
Microsoft พัฒนาโปรเจค Latte รันแอป Android ไม่ต้องใช้อีมูเลเตอร์
ปกติแล้วเวลาที่เราจะใช้งานแอปพลิเคชัน Android บนคอมพิวเตอร์ Windows จะต้องเปิดใช้งานโปรแกรมอีมูเลเตอร์ เพื่อเป็นตัวกลางในการรันแอปพลิเคชัน Android เสียก่อน ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่สะดวกต่อการใช้งานเอาเสียเลยที่มาของภาพhttps://www.geekrar.com/android-and-windows-will-become-related-to-microsoft-project-latte/ก่อนหน้านี้ Microsoft พยายามที่จะนำแอปพลิเคชันของ Android มาใช้งานบนระบบปฏิบัติการมือถือ Windows Phone ในโปรเจค Astoria แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก และยิ่งทำให้เหล่านักพัฒนามองว่าแอปพลิเคชันของสมาร์ทโฟนจาก Microsoft มีน้อยจนต้องพึ่งพาแอปจากแพลตฟอร์มอื่นนอกจากนี้ จากการแข่งขันในตลาดคอมพิวเตอร์แบบพกพา ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊กแบบไฮบริดจอสัมผัสหรือแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows กลับขาดแอปพลิเคชันยอดนิยมบางอย่างไป เช่น Snapchat ทำให้ลูกค้าหันเหไปซื้อผลิตภัณฑ์จากแพลตฟอร์มอื่น โดยเฉพาะ iPad ที่ใช้งานระบบ iOS ซึ่งมีแอปพลิเคชันเพียงพอมากกว่าที่มาของภาพhttps://www.geekrar.com/android-and-windows-will-become-related-to-microsoft-project-latte/นั่นทำให้ Microsoft เตรียมพัฒนาโปรเจค Latte ซึ่งเป็นการใช้งานฟีเจอร์พิเศษที่มีอยู่แล้วของ Windows นั่นคือ WSL 2 (Windows subsystem for Linux) ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ Windows สามารถจำลองสภาวะการทำงานของระบบปฏิบัติการ Linux ได้ และถ้าใครติดตามข่าวด้านมือถือจะทราบกันดีว่า Android ก็พัฒนามาจาก Linux ดังนั้น มันก็น่าจะใช้งานผ่าน WSL 2 ได้ไม่ยากที่มาของภาพhttps://www.geekrar.com/android-and-windows-will-become-related-to-microsoft-project-latte/หากโปรเจค Latte พัฒนาได้สำเร็จ จะช่วยลดระยะเวลาให้นักพัฒนาทำแอปพลิเคชันออกมารองรับ Windows ได้ง่ายขึ้น และทาง Microsoft เองก็จะนำแอปเหล่านี้เข้าสู่ Microsoft Store ให้ผู้ใช้ได้ดาวน์โหลดกัน สำหรับการเปิดตัวโปรเจค Latte นั้น คาดว่าจะมาพร้อมกับการออกอัปเดต Windows 10 รุ่น Fall 2021 ในปีหน้าขอขอบคุณข้อมูลจาก Techspotเกาะติดข่าวที่นี่website:www.TNNTHAILAND.comfacebook :TNNONLINEfacebook live :TNN Livetwitter :TNNONLINELine :@TNNONLINEYoutube Official :TNNONLINEInstagram :TNN_ONLINETIKTOK :@TNNONLINE
TNN ช่อง16 • 30 พ.ย. 63
อ่าน
แอป Android บน Google Play จะไม่สามารถแอบเก็บข้อมูลได้อีกต่อไป !!
ก่อนหน้านี้ทาง Appleได้ออกกฎให้แอปทุกแอปของ iOS ที่อยู่บนApp Store จะต้องบอกผู้ใช้งานทั้งหมดว่าตนเก็บข้อมูลอะไรบ้าง ก่อนที่ทางผู้ใช้งานจะโหลดตัวแอปมาใช้ เริ่มใช้กฎดังกล่าวครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 8 ธันวามคม ปี 2020 ที่ผ่านมา ครอบคลุมทั้งแอปใหม่แอปเก่าทั้งหมด ข้อมูลหลัก ๆ ที่ทางผู้ให้บริการแอปต้องระบุบอก คือข้อมูลที่พวกเขาเก็บจากในแอปไปไว้เป็นสินทรัพย์ในการครอบครองเช่นบนเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ หรือการเก็บข้อมูลรูปแบบอื่น ๆ และอีกอย่างคือข้อมูลของพวกอุปกรณ์ หรือระบบพิเศษจากผู้ให้บริการคนอื่น ที่ทำการฝังไว้ในแอปนั้น ๆ รวมถึงตัวผู้ให้บริการยังสามารถระบุรายละเอียดเองได้อีกด้วยGoogle Play เอาด้วย !! เดินตาม App Storeล่าสุดทาง Google Play ได้ประกาศที่จะเดินตามมาตรการเดียวกับทาง App Store ของ Apple ให้แอป Android ทั้งหมดต้องประกาศข้อมูลด้านความปลอดภัย เช่น การเข้ารหัส, การเก็บข้อมูล วิธีการให้ผู้ใช้ขอลบข้อมูลตัวเอง, นโยบายด้านเด็กและครอบครัว ฯลฯ รายละเอียดทั้งหมดจะเปิดเผยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2021 เริ่มให้ผู้ใหบริการแอปใส่ข้อมูลในไตรมาสที่ 4 ปี 2021 และเริ่มแสดงข้อมูลให้ผู้ใช้งานอย่างเราเห็นในช่วงปีหน้า ไตรมาสที่ 1 ปี 2022 โดยกำหนดสิ้นสุดที่ผู้ใหบริการจะส่งข้อมูลได้คือช่วงไตรมาส 2 ของปี 2022 คาดว่าถ้าไม่ส่ง แอปเหล่านั้นจะถูกถอดออกจาก Google Playแหล่งที่มา android-developers.googleblog.com
TNN ช่อง16 • 7 พ.ค. 64
อ่าน
รีวิว MyAndroid ทดสอบแอป Android แบบออนไลน์
ในยุคที่เทคโนโลยีและแอปพลิเคชันมือถือเติบโตอย่างรวดเร็ว การพัฒนาและทดสอบแอปพลิเคชัน Android กลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ทั่วไป หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้การทดสอบแอปพลิเคชันเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายคือ MyAndroid แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการ Android Emulator ที่มีคุณสมบัติครบครัน MyAndroid เป็นเว็บที่ให้บริการ Android Emulator ที่ทรงพลังมาก ๆ เลย ช่วยให้เราสามารถทดสอบแอปพลิเคชันบน Android ได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์จริง! เมื่อเข้าไปที่เว็บก็จะพบกับ Emulator ที่จำลองการทำงานของ Android ได้เกือบทุกอย่าง เราสามารถทดสอบแอปต่าง ๆ ได้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม เช่น จำลองการส่งข้อความ ปรับตำแหน่ง ทดสอบความเร็วเครือข่าย หรือแม้แต่จำลองเซ็นเซอร์ฮาร์ดแวร์ ทำให้การทดสอบแอปมีประสิทธิภาพและใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการตรวจสอบการทำงานของแอปในสถานการณ์ต่าง ๆ อีกอย่างที่ชอบคือการใช้งานง่ายมาก ๆ เลย ไม่ต้องสมัครสมาชิกหรือลงทะเบียนอะไรเลย เข้าไปใช้งานได้ทันที อินเทอร์เฟซก็ใช้งานง่ายด้วย ใช้การเคลื่อนไหวของเมาส์เลียนแบบการสัมผัสหน้าจอ แตะ ปัด พิมพ์ได้เหมือนจริง ทำให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย แต่ที่เจ๋งที่สุดคือ MyAndroid เชื่อมต่อกับ Google Play Store ได้ด้วย เราสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปต่าง ๆ จากร้านค้าได้เลย ทำให้การทดสอบแอปของบุคคลที่สามง่ายขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นแอปฟรีหรือแอปที่เสียเงิน ก็สามารถทดสอบได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ MyAndroid ยังมีอีกหลายฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เช่น การอัปโหลดและติดตั้ง APK โดยตรง ช่วยให้นักพัฒนาสามารถทดสอบแอปของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว และการจำลองสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้การทดสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยรวมแล้ว MyAndroid เป็นเครื่องมือที่ดีมาก ๆ สำหรับนักพัฒนาและคนที่สนใจทดสอบแอปพลิเคชัน Android เลย ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการพัฒนา แถมใช้งานง่ายอีกด้วย ถ้าเพื่อนสนใจลองใช้ MyAndroid ดูนะ รับรองว่าจะติดใจแน่นอน! เพราะมันเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาแอปพลิเคชัน Android ที่ไม่ควรมองข้าม ภาพปก โดย HIROAKI KANEDA จาก Pixabay ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
TimeTraveler • 15 ก.ย. 67
อ่าน
Fleeceware จาก Android สู่ App Store
ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือทั้งหลายไม่ว่าใช้ระบบปฏิบัติการ Android หรือ iOS ต่างก็ต้องเจอกับปัญหาเรื่องของสิ่งที่จะตามมารบกวนจิตใจของผู้ใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในรูปแบบ มัลแวร์ หรือ แอปพลิชันที่มาในรูปแบบการดักจับข้อมูล ล้วนแล้วแต่ที่จะเป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้น แต่ก็ยังพอเบาใจได้เพราะสองปัญหาที่ว่ามาข้างต้นนั้นจะหายไปก็ต่อเมื่อลบแอปพลิเคชันนั้นทิ้งไปหรือเพียงแค่รีเซตเครื่องใหม่ปัญหาเหล่านั้นก็จะหายไป แต่ถ้าเจอเข้ากับ Fleeceware กลับไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้นแถมยังจะต้องมาเสียตัวโดยใช่เหตุในบางครั้งด้วย มาถึงตรงนี้หลายคนสงสัยใช่ไหมว่าแล้วเจ้า Fleeceware มันเป็นภัยร้ายรูปแบบไหน แล้วทำไมถึงได้กลายเป็นสิ่งที่กำจัดยากกว่ามัลแวร์ ไปรู้จักกับภัยร้ายหน้าเก่าที่กลายเป็นหน้าใหม่สำหรับ App store กันดีกว่ากับเจ้า Fleeceware เครดิตภาพ Canva.com Fleeceware เป็นคำศัพท์ความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งแต่เดิมนั้นจะพบมากในผู้ใช้งาน Android ซึ่งหลายคนนึกไม่ออกใช่ไหมว่าไม่มีชื่อแอปพลิเคชันนี้เลยในเครื่อง อย่างที่บอกไปมันเป็นเพียงชื่อเรียกแอปพลิเคชันประเภทนี้เท่านั้น แล้วแอปพลิเคชันประเภท Fleeceware นั่นก็คือ แอปพลิเคชัน ดูดวง ดูลายมือ ตกแต่งรูป ตัดต่อวิดีโอทั้งหลาย ซึ่งเมื่อเรานั้นติดตั้งลงไปในเครื่องจะเป็นเพียงการทดลองใช้เท่านั้น แต่เมื่อทดลองใช้ไปซักพัก แอปพลิเคชันประเภทนี้จะเรียกเก็บเงินจากเรา และถึงแม้ว่าเราจะไม่ซื้อแอปพลิเคชันหลังจากหมดช่วงทดลองใช้ไปแล้ว และก็ได้ลบแอปพลิเคชันเหล่านั้นออกจากเครื่องไปแล้ว แต่การเรียกเก็บเงินนั้นก็จะแจ้งมาให้เราชำระเงินเหล่านั้นอยู่ดี ซึ่งก่อนหน้านี้จะพบในผู้ใช้งาน Android มากกว่า 25 แอปพลิเคชัน และตอนนี้ได้ลามไปยังผู้ใช้งาน iOS เรียบร้อยแล้ว เครดิตภาพ Canva.com บริษัท วิจัย Sophos ได้ค้นพบแอปพลิเคชันประเภท Fleeceware ใน App Store ซึ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือมีผู้ใช้กว่า 3.5 ล้านคนติดตั้งแอปพลิเคชั่น fleeceware เหล่านี้จาก App Store ซึ่งอย่างที่บอกไปแต่ต้นว่าแอปพลิเคชันเหล่านี้คิดค่าใช้จ่ายสูงถึง 1,000 บาทต่อเดือน ซึ่งหมายความว่าหากผู้ใช้จ่ายเงินสำหรับแอปพลิเคชันนี้โดยไม่รู้ตัวพวกเขาจะถูกเรียกเก็บเงิน 12,000 บาทต่อปี มันเป็นเงินที่เยอะพอสมควรที่ต้องจ่ายเมื่อเทียบกับสิ่งที่แอปพลิเคชันเหล่านี้ทำได้ พื้นฐานของแอปพลิเคชันส่วนใหญ่ การถอนการติดตั้งเป็นการยกเลิกการสมัครสมาชิกโดยปริยาย และมีแอปพิลเคชันไม่กี่รายการที่ขอให้ผู้ใช้ยกเลิกการสมัครเพื่อป้องกันการถูกเรียกเก็บเงินโดยไม่จำเป็น แต่ไม่ใช่กับแอปพลิเคชัน Fleeceware เหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำการยกเลิกการสมัครสมาชิกเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก แต่ยังคงเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้แม้หลังจากถอนการติดตั้งไปแล้วก็ตาม เครดิตภาพ Canva.com แอปพลิเคชันประเภท Fleeceware เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็น แอปพลิเคชันแก้ไขภาพ ดูดวง พยากรณ์โชค อ่านลายมือ สแกน QR Code, และแอปพลิเคชันฟิลเตอร์ที่ใช้ตกแต่งใบหน้าเมื่อเซลฟี่ที่สาว ๆ ทั้งหลายชอบใช้กัน หนึ่งในแอปลิเคชันประเภท Fleeceware มีชื่อว่า Zodiac Master Plus ได้รับการจดทะเบียนใน App Store ในฐานะแอพที่สร้างรายได้สูงสุดอันดับที่ 11 อีกหนึ่งแอปพลิเคชันมีชื่อว่า Lucky Life - Future Seer แอปพลิเคชันเหล่านี้มักติดตั้งโดยผู้ใช้เองเนื่องจากมีการโฆษณาจำนวนมากในแพลตฟอร์มโซเชียล เช่น Instagram, TikTok และ YouTube ได้บอกวิธีการแก้ไขปัญหา ถ้าคุณบังเอิญเจอแอปพลิเคชันเหล่านี้ใน iPhone ของคุณ โดยให้ถอนการติดตั้งทันทีและยกเลิกการสมัคร หากต้องการยกเลิกการสมัคร ไปที่การตั้งค่า แตะชื่อของคุณ การสมัคร แตะที่ชื่อแอป เลือกตัวเลือกการสมัครสมาชิกที่แตกต่างกันหรือแตะยกเลิกการสมัครสมาชิก แต่หากคุณไม่เห็น“ การสมัครสมาชิก ” ในการตั้งค่าแอปพลิเคชั่นคลิกเข้าไปที่ Tunes และ App Store Apple ID ดู Apple ID เข้าสู่ระบบและเลื่อนลงไปสมัครเป็นสมาชิกแล้วแตะการสมัครสมาชิก เครดิตภาพ Canva.com อย่างไรก็ตามข้อปฏิบัติที่ดีที่สุดก่อนติดตั้งแอปพฃิเคชันใด ๆ ควรตรวจสอบการรีวิวจากผู้ใช้งานก่อน แอปพลิเคชันเหล่านี้ส่วนใหญ่มีการรีวิวที่แสดงถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีและผิดจรรยาบรรณของการใช้งานโดยทั่วไปอยู่แล้ว แต่ก็อย่าลืมว่าการรีวิวนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะว่าบางแอปพลิเคชันจะเขียนผู้ใช้งานมาเพื่อรีวิวแอปพลิเคชันเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือก็มีเช่นกัน ฉะนั้นแล้วก่อนการติดตั้งไม่ว่าจะแอปพลิเคชันใดก็ตามควรที่จะพิจารณาก่อนว่ามันสำคัญกับเราจริงหรือไม่ หรือว่าติดตั้งแล้วเราได้ใช้งานหรือไม่ และหากจะซื้อแอปพลิเคชันเหล่านี้มันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือเปล่า การป้องกันดีกว่าการแก้ไขอย่างแน่นอน คุณว่าจริงไหม ? เครดิตภาพปก Canva.com
เทพ สุวรรณ • 16 เม.ย. 63
อ่าน
5 ฟีเจอร์ใหม่ ที่จะมาใน Android 11
เป็นเรื่องที่น่าดีใจอย่างมากสำหรับสาวก Android ที่จะได้เห็นเวอร์ชันใหม่ทีมีชื่อว่า Android 11 กันแล้ว โดยทาง Google มีการวางแผนที่จะปล่อย Android 11 มาให้ได้ใช้กันในเดือนหน้านี้ การเปิดตัว Android 11 นับว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวของ Google ที่จะได้ทดลองการใช้งานฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่พัฒนาจากคู่แข่งอย่าง Apple ไม่เพียงเท่านั้นการใช้งานบางอย่างก็จะมีเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ผู้ใช้งานนั้นได้รู้สึกถึงความแตกต่างสำหรับในเวอร์ชันนี้ มีการคาดการณ์ว่าฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่จะได้เห็นนั้นเป้นข้อเสียของทาง Apple เอวที่ยังไม่สามารถแก้ไขสำหรับผู้ใช้ได้ เลยได้โอกาสที่ Google จะเปิดตัว Android 11 ในครั้งนี้ตัดหน้าซะก่อน วันนี้มี 5 ฟีเจอร์ที่น่าจับตาสำหรับ Android 11 สาให้สาวก Android ให้ได้รู้ก่อนใครกันว่าแวไปดูกันเลยดีกว่า 1. แสดงแอปพลิเคชันที่ใช้งานล่าสุดมีขนาดใหญ่กว่าเดิม ตามที่นักพัฒนา XDA ระบุว่า Google ได้เพิ่มพรีวิวขนาดใหญ่ขึ้นในหน้าจอของแอปพลิเคชันล่าสุดใน Android 11 ตามที่ปรากฏในภาพหน้าจอด้านล่างการออกแบบตัวอย่างจริงนั้นค่อนข้างเหมือนกับตัวอย่างใน Android 11 แต่ขนาดของภาพตัวอย่างนั้นใหญ่กว่ามาก นอกจากนี้ Google ยังได้เพิ่มทางลัดใหม่สองแบบคือรูปแบบของภาพหน้าจอและการแชร์ไปยังแอปพลิเคชันอื่น ในขณะที่ตัวเลือกภาพหน้าจอจะถ่ายภาพหน้าจอของแอปพลิเคชันที่แสดงในหน้าจอล่าสุดปุ่มแชร์จะจับภาพหน้าจอและเปิดแผ่นแชร์เพื่อความรวดเร็ว อีกด้วยเรียกว่าสะดวกต่อการใช้งาน ง่านต่อการแบ่งปันนั่นเอง 2. New screenshot pop-up Google ได้ปรับแต่งป๊อปอัปที่ปรากฏขึ้นเมื่อจับภาพหน้าจอและตอนนี้ก็มีขนาดเล็กลงและคล้ายกับที่ปรากฏบนอุปกรณ์ iOS แทนที่จะเป็นป๊อปอัปขนาดใหญ่ที่ด้านบนของหน้าจอ แต่จะแสดงภาพหน้าจอที่มีขนาดเล็กลงแทน ซึ่งจะแสดงที่ด้านล่างซ้ายของหน้าจอ นอกจากนั้นยังเพิ่มตัวเลือกเพื่อยกเลิกการแจ้งเตือนการแบ่งปันภาพหน้าจอและแก้ไขในที่เดียวอีกด้วย อะไรมันจะง่ายปานนั้นเนี่ย 3. ปรับปรุงการอนุญาตแอปพลิชัน Google พยายามแก้ไขการอนุญาตแอปพลิเคชันอย่างต่อเนื่องใน Android สองสามเวอร์ชันล่าสุดสิ่งนี้ก็ยังถูให้มีอยู่ในการทำงานกับ Android 11 ด้วยเช่นกัน เพราะอย่างที่รตู้กันว่าก่อนหน้ามีข่าวสำหรับมัลแวร์ที่ติดมากับแอปพลิเคชันของ Play Store ที่ชื่อ Tekya ที่สามารถหลบการตรวจสอบได้ Google จึงได้ได้เพิ่มตัวเลือกใหม่ใน Android 11 ที่จะเพิกถอนการอนุญาตของแอปพลิเคชันหากไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันเป็นเวลาสองสามเดือน วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ที่ไม่สงสัยจากการได้รับข้อมูลจากแอปพลิเคชันที่เป็นอันตราย เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนที่เผลอดาวน์โหดลมาแล้วไม่สามารถลบแอปพลิเคชันนั้นหรือว่าลืมไปว่ามีแอปพลิเคชันเหล่านี้อยู่ในโทรศัพท์มือถือ 4. การปล่อยสัญญาณ Ethernet Android 11 ยังเพิ่มตัวเลือกใหม่ในเมนูฮอตสปอตและการปล่อยสัญญาณในรูปแบบของการปล่อยสัญญาณ Ethernet สิ่งนี้จะช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่ออะแดปเตอร์ USB กับ Ethernet เข้ากับโทรศัพท์ Android แล้วเชื่อมต่อสาย LAN เข้ากับอะแดปเตอร์และพีซีเพื่อใช้อินเทอร์เน็ตจากโทรศัพท์มือถือ นี่เป็นฟีเจอร์เฉพาะแต่จะมีประโยชน์อย่างแน่นอนเมื่อเราเองพยายามใช้อินเทอร์เน็ตบนเดสก์ท็อปที่ไม่รองรับ Wi-Fi นี่ถอว่าเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับบ้านที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีและอยากใช้อินเทอร์เนตจากโทรศัพท์มือถือ 5. ความสามารถในการยกเลิกการแจ้งเตือนแบบถาวร Google ได้เพิ่มความสามารถในการยกเลิกการแจ้งเตือนแบบถาวรใน Android 11 ในขณะที่ผู้ใช้ Android สามารถยกเลิกการแจ้งเตือนส่วนใหญ่ใน Android 10 การแจ้งเตือนแบบถาวรได้เหมือนกัน แต่บางครั้งก็ยังแสดงแอปพลิเคชันที่ทำงานที่ไม่สามารถยกเลิกได้ Google อนุญาตให้ผู้ใช้ลบสิ่งเหล่านั้นใน Android 11 การแจ้งเตือนถาวรที่ถูกยกเลิกจะย้ายไปที่ประวัติที่เดบิวต์จะจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของรายการที่ถูกยกเลิกแบบถาวร ผู้ใช้จะสามารถแตะที่รายการนั้นเพื่อดูการแจ้งเตือนถาวรที่ถูกยกเลิกได้เพื่อที่จะเปลี่ยนการตั้งค่าใหม่ ถือว่าเป็นการสร้างคสามแปลกใหม่และสร้างนวัฒกรรมใหม่ ๆ มาให้เหล่าผู้ใช้งานได้ใช้ประโยชน์กันได้อย่างเต็มที่สำหรับ Google แต่ก็ต้องมาลุ้นกันว่ารุ่นไหนได้ไปต่อและรุ่นไหนจะได้โบกมือลากับ Android 11 กันบ้างเพราะตอนนี้มีเพียงเรื่องของ ฟีเจอร์ใหม่เท่านั้นที่ออกมายังไม่มีข้อมูลของรุ่นที่จะรองรับออกมาแต่อย่างใด แต่ไม่นานเกินรอจะได้รู้ว่ารุ่นไหนไปต่อและไม่ได้ไปต่อแน่นอน ซึ่งหากรุ่นที่เราใช้งานอยู่ไม่ได้ไปต่อคราวนี้ต้องแคะกระปุกเพื่อถอยเครื่องใหม่แน่นอนไว้มาลุ้นกันเดือนหน้าสำหรับ Android 11 เครดิตภาพ Canva.com ,ภาพปก , ภาพที่ 1 , ภาพที่ 2 , ภาพที่ 3 แหล่งข้อมูลอ้างอิง :: gadgets.ndtv.com
เทพ สุวรรณ • 5 พ.ค. 63
อ่าน
Hauwei บอกลา Android เปิดตัว HarmonyOS Next 5.0 ระบบปฏฺิบัติการสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต
Huawei เปิดตัวระบบปฏิบัติการ HarmonyOS NEXT 5 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ HarmonyOS เวอร์ชันล่าสุดที่มาพร้อมกับอินเทอร์เฟซผู้ใช้ (UI) แบบใหม่ และการอัปเกรดประสิทธิภาพเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีกว่าเดิมหยาง จื้อหยาน หัวหน้าฝ่ายออกแบบ UX ของ Huawei Consumer BG นำเสนอดีไซน์ใหม่ให้กับสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด ความดั้งเดิมและประณีต ความมีสุนทรียศาสตร์ที่กลมกลืน พร้อมสร้างสรรค์ทุกสิ่งในโลกการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด คือ หน้าจอ UI รวมถึงศูนย์ควบคุม การควบคุมผ่านเครื่องมือที่โค้งมนและใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับ HarmonyOS เวอร์ชันเดิม ทำให้ใช้งานแบบสัมผัสได้สะดวกยิ่งขึ้นนอกจากนี้ ระบบปฏิบัติการ HarmonyOS NEXT 5 ได้ปรับปรุงตัวเลือกบนหน้าจอล็อก และปรับแต่งตั้งค่าความเป็นส่วนตัว รวมถึงวิดเจ็ตบนหน้าจอและวอลเปเปอร์แบบไดนามิก วิดเจ็ตเหล่านี้สามารถปรับให้เข้ากับหน้าจอล็อก และปรับให้เข้ากับรูปลักษณ์บนหน้าจอได้ดีขึ้น วอลเปเปอร์และธีมแบบไดนามิกของหน้าจอล็อค (Lockscreen) ยังรองรับเซ็นเซอร์แรงโน้มถ่วง เพื่อแสดงการเคลื่อนไหวทางกราฟิกแบบเรียลไทม์อีกด้วยและนอกเหนือจาก UI แล้วระบบปฏิบัติการ HarmonyOS NEXT 5 ยังมาพร้อมกับซอฟต์บัสแบบกระจายทำให้การแสดงผลมีประสิทธิภาพที่เป็นธรรมชาติและราบรื่น โดยปรับปรุงการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้ถึง 3สำหรับระบบการรองรับแอปพลิเคชันทาง Huawei ใช้ชื่อเรียกว่า Ark ซึ่งปัจจุบันมีแอปพลิเคชันต่าง ๆ มากกว่า 15,000 แอปพลิเคชันให้เลือกใช้งานในด้านความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ AI ทาง Huawei ได้เปลี่ยนชื่อโซลูชั่น AI อัจฉริยะเป็นผู้ช่วยเสียง Celia ใหม่ซึ่งมีโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ภายในอุปกรณ์สำหรับการประมวลผลภาษาธรรมชาติ ประสิทธิภาพของระบบทั้งหมดได้รับการปรับปรุงความเข้ากันได้ของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ รวมถึงความลื่นไหลที่เพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ และอายุแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นสูงสุดหนึ่งชั่วโมงปัจจุบันระบบปฏิบัติการ HarmonyOS NEXT 5 ยังอยู่ในขั้นตอนของการทดสอบ Beta บนสมาร์ตโฟนบางรุ่น เช่น Huawei Pura 70 และ MatePad Pro 11 ส่วนการเปิดตัวเต็มของระบบปฏิบัติการ HarmonyOS NEXT 5 คาดว่าเกิดขึ้นในปี 2025ที่มาของข้อมูลHuaweicentral
TNN ช่อง16 • 25 ต.ค. 67
อ่าน
การศึกษาพบ Android ใช้งานง่ายกว่า iOS ถึง 58%
ผู้ใช้งาน Android และ iOS แต่ละคนจะมีความคิดเห็นด้านการใช้งานต่อระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเองอยู่แล้ว หรือเรียกว่านานาจิตตัง แต่มีการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจเผยว่า Android ใช้งานง่ายกว่า iOS ถึง 58% การศึกษาใหม่เผยแพร่โดย Greensmartphones เผยว่าการศึกษานี้อ้างอิงจากการค้นหาของ Google ในสหรัฐอเมริกาทั้งหมดเกี่ยวกับการใช้งาน Android และ iOS ที่ถูกค้นหาบ่อย ๆ เช่น “วิธีบันทึกหน้าจอ” “วิธีแชร์ตำแหน่ง” และ “วิธีถ่ายภาพหน้าจอ” แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้มาวิเคราะห์ ทาง Greensmartphones บอกว่า “หากการค้นหาวิธีการ/การแก้ปัญหาเหล่านี้ลดลง แสดงว่ามีผู้ใช้งานที่กำลังหาทางออกน้อยลง นั่นหมายความว่าระบบปฏิบัติการเหล่านั้นถูกทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม” มีผู้ใช้งาน Android ค้นหาการแก้ไขปัญหาด้วยรูปแบบคำถามข้างต้นอยู่ที่ 226,000 ครั้งต่อเดือน ในขณะที่ iOS อยู่ที่ 358,000 ครั้งต่อเดือน ซึ่งมีความแตกต่างมากถึง 58.41% เลยทีเดียว ที่มา Huawei Central
แบไต๋ • 22 มิ.ย. 66
อ่าน
Microsoft ในจีน สั่งห้ามพนักงานใช้ Android ให้ใช้แค่ iPhone เท่านั้น เพื่อยกระดับความปลอดภัย
สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg)รายงานว่าบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง ไมโครซอฟต์ (Microsoft) ในประเทศจีน ได้สั่งห้ามไม่ให้พนักงานใช้สมาร์ตโฟนระบบปฏิบัติการณ์แอนดรอยด์ (Android) และให้ใช้เฉพาะไอโฟน (iPhone) เท่านั้น เพื่อใช้ในการตรวจสอบสิทธิ์เข้าสู่ระบบของบริษัท เนื่องจากข้อกังวลเรื่องความปลอดภัย มาตรการนี้จะเริ่มเดือนกันยายน 2024 นี้Microsoft กำหนดให้พนักงานเข้าสู่ระบบการทำงาน โดยจะมีการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย (Multi-Factor authentication) ผ่านสมาร์ตโฟนและแอปพลิเคชันของ Microsoft อีก 2 แอป คือ Microsoft Authenticator และ Identity Pass และในอนาคตก็จะใช้แอป 2 แอปนี้ได้เฉพาะบน iPhone เท่านั้น มาตรการนี้ จะส่งผลต่อพนักงานหลายร้อยคนในประเทศจีน ซึ่งพนักงานที่ไม่มี iPhone บริษัทก็จะซื้อ iPhone 15 ให้เว็บไซต์ 9to5mac รายงานว่ามาตรการนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า การริเริ่มความปลอดภัยแห่งอนาคตของไมโครซอฟต์ (Microsoft Secure Future Initiative) ที่ไมโครซอฟต์ประกาศครั้งแรกเมื่อปลายปี 2023 โดยจะเป็นการมุ่งพัฒนาทางด้านวิศวกรรมใน 3 ด้าน คือ 1. การพัฒนาด้านซอฟต์แวร์ 2. การใช้การป้องกันตัวตนแบบใหม่ 3. กระบวนการตอบสนองต่อช่องโหว่อย่างรวดเร็วทั้งนี้สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) ซีอีโอของ Microsoft รวมถึงผู้บริหารคนอื่น ๆ ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเผยว่าได้พิจารณาเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยอย่างรอบคอบ ทั้งสิ่งที่ได้เห็นใน Microsoft สิ่งที่ได้ยินจากลูกค้า รัฐบาล และพันธมิตรธุรกิจ เพื่อสร้างอนาคตของการรักษาความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองอย่างยิ่งที่มาข้อมูลBloomberg, 9to5macที่มารูปภาพReuters
TNN ช่อง16 • 9 ก.ค. 67
อ่าน
โหมดขับรถของ Google Assistant สำหรับ Android เตรียมเปิดใช้งาน
Google สัญญาว่าจะเปิดตัวโหมดขับรถ (Driving Mode) ของGoogle Assistant บนมือถือหรือสมาร์ทโฟนในปี 2019 แต่ข้อมูลดังกล่าวก็ได้หายไป โดยทางXDA-Developers ได้ค้นพบ (ผ่าน Android Police) ว่าโหมดขับรถของGoogle Assistant ได้มีการเปิดใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวบน Android แล้ว ซึ่งจากที่ทาง XDA-Developers พบ ปรากฎว่าตัวอินเทอร์เฟซได้มีเปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยนำเอามาโชว์เดโมI/O 2019 แต่ไอเดียของตัวระบบยังคงเหมือนเดิม ทั้งปุ่มและข้อความขนาดใหญ่ที่ให้เราได้แชทและส่งข้อความ พร้อมเปิดเพลงในขณะเดียวกันได้ โดยไม่รบกวนต่อการขับขี่ใด ๆ หรือน้อยที่สุดปัจจุบันดูเหมือน โหมดขับรถบน Google Assistant ตอนนี้กำลังเปิดใช้งานแล้วบนตัวเซิร์ฟเวอร์ และคาดว่าน่าจะเปิดขึ้นมาสำหรับทดสอบโดยเฉพาะ การเข้าถึงฟีเจอร์ดังกล่าวอาจจะเฉพาะบุคคลโดยเฉพาะเท่านั้น การดีเลย์ดังกล่าวอาจเพราะ Google ไม่พอใจในตัวฟีเจอร์ดังกล่าว จึงได้ทำการออกแบบและสร้างมันออกมาใหม่ และนั่นอาจดีสำหรับเราจริง ๆเกาะติดข่าวที่นี่website:www.TNNThailand.comfacebook :TNNThailandfacebook live :TNN Livetwitter :@TNNThailandLine :@TNNONLINEYoutube Official :TNNThailandInstagram :@tnn_onlineTIKTOK :@tnnonlineแหล่งที่มาengadget.com
TNN ช่อง16 • 19 ต.ค. 63
อ่าน
Samsung ประกาศกำหนดการอัปเดต OneUI 5 Android 13 สำหรับสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ต
Samsung พัฒนา OneUI 5 หรือซอฟต์แวร์รุ่นล่าสุดสำหรับอุปกรณ์พกพาที่พัฒนาขึ้นบน Android 13 แล้ว โดยกำหนดการปล่อยอัปเดตของอุปกรณ์ Samsung ก็ถูกเผยแพร่ออกมาแล้วด้วย Samsung ประกาศว่ากำหนดการปล่อยอัปเดต OneUI 5 โดยรุ่นแรกก็ไม่พ้นสมาร์ตโฟนเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S22 ซีรีส์ก่อน ได้แก่ Galaxy S22, Galaxy S22 Plus และ Galaxy S22 Ultra และยังมีกำหนดการอัปเดต OneUI 5 สำหรับสมาร์ตโฟนรุ่นอื่นด้วย เดือนตุลาคม Galaxy S22Galaxy S22 PlusGalaxy S22 Ultra เดือนพฤศจิกายน Galaxy Z Fold 4Galaxy Z Flip 4Galaxy Z Fold 3Galaxy Z Flip 3Galaxy S21Galaxy S21 PlusGalaxy S21 UltraGalaxy Note 20Galaxy Note 20 UltraGalaxy S20Galaxy S20 PlusGalaxy S20 UltraGalaxy Tab S8Galaxy Tab S8 PlusGalaxy Tab S8 UltraGalaxy Tab S7Galaxy Tab S7 PlusGalaxy Quantum 3Galaxy A53 5GGalaxy A33 5G เดือนธันวาคม Galaxy Z Fold 2Galaxy Z Flip 5GGalaxy Z FlipGalaxy S20 FEGalaxy Tab S7 FEGalaxy Tab S7 FE 5GGalaxy Tab S6 LiteGalaxy A QuantumGalaxy A Quantum 2Galaxy A52s 5GGalaxy A51 5GGalaxy A42 5GGalaxy A32Galaxy JumpGalaxy Jump 2 เดือนมกราคม 2023 Galaxy Tab A8Galaxy Tab A7 LiteGalaxy Tab Active 3Galaxy BuddyGalaxy Buddy 2Galaxy Wide 6Galaxy Wide 5Galaxy A23Galaxy A13Galaxy M12Galaxy XCover 5 เดือนกุมภาพันธ์ 2023 Galaxy Tab Active 4 Pro ที่มา Android Authority พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส
แบไต๋ • 26 ต.ค. 65
อ่าน
เจ๋งไปอีก! มือถือ Android พอร์ต Lightning เครื่องแรกของโลก!
หนุ่มวิศวกรจากสวิสเซอร์แลนด์ Ken Pillonel ผู้เคยโด่งดังจากการดัดแปลง iPhone เครื่องแรกของโลกให้สามารถใช้พอร์ตชาร์จแบบ USB-C ได้ ล่าสุดปีนี้เขากลับมาอีกครั้งด้วยโปรเจกต์ใหม่ ดัดแปลงมือถือแอนดรอยด์ (Android) ธรรมดา ๆ ให้มีพอร์ต Lightning แบบ iPhone ไปเลยโดยวิดีโอสาธิตการดัดแปลงมือถือแอนดรอยด์ชิ้นนี้ ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 1 เมษายน ซึ่งตรงกับวันเอพริลฟูลส์เดย์ที่ผ่านมา แม้จะเป็นวันโกหก แต่ฝีมือของหนุ่มคนนี้ในวิดีโอดังกล่าวไม่ใช่เรื่องตลกล้อเล่นแต่อย่างใด เพราะเขาสามารถดัดแปลงให้พอร์ตLightning บน Samsung Galaxy A51 ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นการชาร์จ หรือการถ่ายโอนข้อมูลก็แล้วแต่นอกจากนี้ เขาเล่าว่าสิ่งที่ยากคือการทำให้สาย Lightning ของ Apple ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ของ Apple โดยเฉพาะ เชื่อจริง ๆ ว่ามันกำลังเสียบกับอุปกรณ์ของ Apple อยู่ และในขณะเดียวกันก็ต้องทำให้พอร์ต Lightning เข้ากับตัวเครื่องแอนดรอยด์ได้ด้วย โชคดีที่เขาพอมีประสบการณ์จากโปรเจกต์ก่อนหน้านี้ดัดแปลง iPhone แบบ USB-C ทำให้สามารถประดิษฐ์และสร้างตัวแปลงได้เร็วขึ้นด้วยแม้ว่าการที่เขาดัดแปลงมือถือแอนดรอยด์ให้สามารถใช้พอร์ตLightning ได้ จะไม่ได้ดูหวือหวาน่าสนใจเท่ากับสมัยที่เขาทำ iPhone พอร์ต USB-C เพราะผู้ใช้หลายคนก็ไม่ได้ตื่นเต้นไปกับพอร์ตแบบ Lightning สักเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าเป็นอีกโปรเจกต์น่าสนใจที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของหนุ่มวิศวกรคนนี้เป็นอย่างดี โดยเร็ว ๆ นี้เขาจะปล่อยวิดีโออธิบายโปรเจกต์นี้แบบเต็ม ๆ ในช่อง YouTube ของเขา ใครที่สนใจก็รอติดตามกันได้เลยขอบคุณข้อมูลจากengadget
TNN ช่อง16 • 4 เม.ย. 65
อ่าน
อยากเปลี่ยนจาก Android มาใช้ iPhone ดีรึป่าว ?
ในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ต่างๆ หนึ่งในของขวัญที่คนซื้อให้กันไม่น้อยเลยก็คือมือถือ หรือเเม้เเต่เราจะซื้อเป็นของขวัญให้ตัวเองก็ตาม ในบทความนี้ผมเองก็อยากจะมาเเชร์ ความรู้สึกจากคนที่ใช้มือถือ Android มาทั้งชีวิตเเละเปลี่ยนมาหลายเครื่องเเล้ว เเละพึ่งเปลี่ยนมาใช้ iPhone จะมีความรู้สึกเป็นอย่างไร้บ้าง มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรบ้าง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเห็นสำหรับพี่ๆ เพื่อนๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนหรืออยากเปลี่ยนมาใช้ iPhone ในเร็วๆ นี้ ก็ลองอ่านประกอบการตัดสินใจดูได้ครับ กับ 4 ประเด็นที่ผมเจอมากับตัวเรามาเริ่มต้นจากเรื่อง "ความเร็วเเละความเสถียรของระบบ" ต้องยอมรับเลยครับว่ามือถือที่ราคาใกล้เคียงกันระหว่าง Android กับ iPhone เช่นในราคาหลักหมื่นต้นๆ ฝั่ง iPhone ชนะขาดลอยทั้งเรื่องความเร็วเเละความเสถียรของระบบ เลยไม่ต้องพูดเยอะครับเเละความรู้สึกของผมเองหลังเปลี่ยนมาใช้ iPhone ยอมรับเลยครับว่าคงกลับไปใช่ Android ได้ยากเลยครับเมื่อเปลี่ยบเทียบกันในเรื่องนี้เรื่องที่ 2 เรื่อง "เเบตเตอรี่" เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นปัญหาที่ไม่น้อยเลยซึ่งผมเองก็เจอมากับตัวกับเรื่องเเบตเตอรี่ที่ iPhone สู้ไม่ได้เลยจริงๆ กับฝั่ง Android เเละต้องยอมรับว่ามันต่างกันจริงๆ หลังเปลี่ยนมาใช้ iPhone ซึ่งใครที่เป็นสายที่ใช้มือถือหนักๆ ในเเต่ละวันเพื่อนๆ ที่ใช้ iPhone ก็คงต้องพกชุดชาร์จไปด้วย สมกับฉายาที่โดยตั้งให้อย่าง สิงห์ปลั๊กไฟ เเต่ถ้าเพื่อนๆ ไม่ใช่สายใช้มือถือเเบบหนักๆ iPhone เองก็พอจะใช้ได้พอเกือบดีในเเต่ละวัน เเต่สิ่งที่เจอมากับตัวมันไม่พอจริงๆ ครับต้องชาร์จอย่างน้อย 2 ครั้ง ในเเต่ละวันมาต่อในเรื่องที่ 3 เรื่อง "ระบบซิมการ์ด" เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกมีปัญหามากๆ ตั้งเเต่เปลี่ยนมาใช้ iPhone เพราะว่าส่วนตัวผมเองเป็นคนที่ใช้ 2 ซิมมาตลอดในมือถือ Android โดยมีซิมหลักเเละซิมเน๊ตรายปีเเละผมเชื่อว่าให้หลายๆ คนก็ใช้วิธีนี้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องเน๊ตมือถือ เเต่ iPhone ไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องนี้ เพราะ iPhone ใส่ได้เเค่ซิมเดียว มันทำให้ผมในช่วงเเรกๆ ต้องพกมือถือสองเครื่องเลยทีเดียว เเต่มันก็พอมีวิธีเเก้อยู่คือการทำ eSIM นั่นเองครับ ซึ่งมันก็จะทำให้ iPhone ใช้ 2 ซิมได้เหมือน Android ซึ่งมันจะยุ่งยากหน่อยในตอนเเรก เเต่การทำ eSIM ปัจจุบันมันก็ง่ายขึ้นมากเเล้วครับ เเละผมเองก็ใช้อยู่ หรือไม่ก็ใช้ iPhone โมเดลนอกที่รับรองเเบบ 2 ซิมการ์ดเลยเรื่องสุดท้ายที่ 4 เรื่อง "ได้ถ่ายโอนข้อมูล" เรื่องนี้ต้องบอกว่าเป็นข้อเสียสุดๆ เเละผมเจอมากับตัวตั้งเเต่วันเเรกที่เปลี่ยนมาใช้ iPhone เพราะยากมากกับการถ่ายโอนข้อมูล รูปภาพ หรือไฟล์ต่างๆ จาก Android PC หรือจากระบบอื่นๆ มาลงบน iPhone บนใช้เทคนิคเล่นท่าหน่อยครับ ในการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่งมันก็มีหลายวีธีครับ เป็นยังไงกันบ้างครับกับ 4 ประเด็นหลักๆ ในบทความนี้ที่ผมนำม่เสนอประกอบการตัดสินใจเพื่อนๆ หลายๆ คนที่อยากจะลองเปลี่ยนระบบจาก Android มาใช้ iPhone ดูบ้างครับ ความรู้สึกส่วนตัวโดยรวมหลังที่เปลี่ยนมาใช้ iPhone ถือว่าดีมากครับ เเต่ทั้งหมดนี้ก็ใช้ประกอบการตัดสินใจก็พอ ความชอบเป็นเรื่องของบุคคลครับ ขอบคุณภาพจากภาพปก โดย Irina Iriser จาก pexelsภาพที่ 1 โดย Mudassir Ali จาก pexels , ภาพที่ 2 โดย Matheus Bertelli จาก pexels , ภาพที่ 3 โดย cottonbro studio จาก pexels , ภาพที่ 4 โดย Soulful Pizza จาก pexelsเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
warakona • 20 เม.ย. 66
อ่าน
Android 12 อัปเดต เราสามารถควบคุมสมาร์ทโฟนด้วยใบหน้าได้แล้ว
Android 12 อัปเดต Beta 4 ทำการเพิ่มฟึเจอร์ใหม่ Camera Switches ช่วยให้เราและผู้พิการควบคุมสมาร์ทโฟนด้วยใบหน้าได้ ฟีเจอร์นี้เป็นส่วนหนึ่งของ Switch Access ฟีเจอร์ที่ช่วยให้คนที่ไม่สามารถใช้มือหรือนิ้วกดสมาร์ทโฟน สามารถสั่งงานได้ด้วยอุปกรณ์ภายนอก ซึ่งต่อหรือเชื่อมต่อด้วย Bluetooth/USBCamera Switchesมีความสามารถในการใช้กล้องหน้าเพื่อแยกแยะใบหน้าของเราแทนคำสั่ง เพื่อใช้ใบหน้าควบคุมตัวสมาร์ทโฟน อาทิเช่น ยิ้ม แปลว่าถัดไป สามารถควบคุมได้ด้วยคำสั่งทั้งหมด 6 แบบ ประกอบไปด้วย ยิ้ม อ้าปาก เลิกคิ้ว มองขึ้น มองซ้าย และมองขวา สามารถใส่คำสั่งได้ทั้งหมด 14 คำสั่ง Pause Camera Switch, Toggle auto-scan (disabled), Reverse auto-scan, Select, Next, Previous, Touch hold, Scroll forward, Scroll backward, Home, Back, Notifications, Quick Settings, Overviewแหล่งที่มาxda-developers.com
TNN ช่อง16 • 17 ส.ค. 64
อ่าน
Samsung Galaxy Fold รุ่นแรกจะไม่ได้ไปต่อใน Android 13
Samsung เป็นแบรนด์แรกที่เปิดตัวสมาร์ตโฟนแบบพับหน้าจอได้ กับ Samsung Galaxy Fold ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็น Galaxy Z ซีรีส์ สำหรับสมาร์ตโฟนพับหน้าจอได้ ซึ่ง Galaxy Fold รุ่นแรกจะไม่ได้รับอัปเดต Android 13 แล้ว เดิมทีมีข่าวว่า Galaxy Fold รุ่นแรกติดปัญหาอยู่สักพักก่อนที่จะเปิดตัว โดย Galaxy Fold รุ่นแรกเปิดตัวมาพร้อมกับ Android 9 หรือ Android Pie เมื่อปี 2019 ซึ่ง Samsung จะมีอัปเดตให้อุปกรณ์ทั้งหมด 3 เวอร์ชันใหญ่ นั่นหมายความว่า Samsung Galaxy Fold รุ่นแรกจะมีอัปเดตเวอร์ชันสุดท้ายคือ Android 12 เท่านั้น ไม่ได้รับอัปเดต Android 13 ครับ แม้ว่า Samsung จะไม่มีอัปเดตให้สำหรับ Galaxy Fold รุ่นแรกแล้วก็ตาม แต่บริษัทจะยังมีอัปเดตระบบความปลอดภัยหรือ Security Patch ให้อีก 1 ปี ที่มา Gizmochina พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส
แบไต๋ • 30 ต.ค. 65
อ่าน
คำแนะนำเบื้องต้น เมื่อมือถือหาย ติดตามอย่างไร ทั้ง iOS และ Android OS
ในยุคที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การที่มือถือหายไป ไม่ว่าจะทำหล่น หาย หรือถูกขโมยไป ย่อมสร้างความกังวลใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องใหม่แล้ว ข้อมูลส่วนตัว รูปภาพ หรือแม้แต่ข้อมูลธนาคารในเครื่องก็อาจตกไปอยู่ในมือของมิจฉาชีพได้ บทความนี้จะให้คำแนะนำเบื้องต้นและขั้นตอนการติดตามมือถือที่หายไป ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS (iPhone) และ Android OS อย่างละเอียดครับ สิ่งที่ต้องทำทันทีเมื่อรู้ว่ามือถือหาย ตั้งสติ: อย่าเพิ่งตกใจมากเกินไป หายใจเข้าลึกๆ และนึกย้อนดูว่าคุณวางมือถือไว้ที่ไหนครั้งสุดท้าย หรือทำหล่นที่ใดบ้าง โทรเข้าเครื่อง: ลองโทรเข้ามือถือของคุณจากเบอร์อื่น เพื่อดูว่าได้ยินเสียงเรียกเข้าหรือไม่ หากได้ยินเสียง แสดงว่าเครื่องอาจอยู่ใกล้ๆ บอกคนใกล้ชิด: แจ้งครอบครัว เพื่อน หรือคนรอบข้างให้ทราบ เผื่อมีใครช่วยคุณหา หรือเผื่อมือถือของคุณส่งข้อความแปลกๆ ออกไป สำหรับผู้ใช้งาน iOS (iPhone, iPad) Apple มีบริการที่เรียกว่า "Find My" (ค้นหาของฉัน) ซึ่งเป็นเครื่องมือทรงพลังในการติดตามอุปกรณ์ Apple ของเรา คุณสมบัติที่สำคัญของ Find My: แสดงตำแหน่งบนแผนที่: แสดงตำแหน่งล่าสุดของอุปกรณ์ เล่นเสียง: ทำให้ iPhone ของคุณส่งเสียงดัง แม้จะอยู่ในโหมดเงียบ เหมาะสำหรับกรณีที่ทำหายในบ้านหรือใกล้ๆ โหมดสูญหาย (Lost Mode): ล็อกอุปกรณ์ของคุณด้วยรหัสผ่าน แสดงข้อความพร้อมเบอร์โทรศัพท์บนหน้าจอล็อก และติดตามตำแหน่งของอุปกรณ์ได้ ลบข้อมูล iPhone (Erase iPhone): ลบข้อมูลทั้งหมดบนเครื่องเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวของคุณตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น (ไม่สามารถติดตามได้อีกหลังจากลบข้อมูลแล้ว) วิธีการใช้งาน Find My: เข้าสู่ระบบ Find My: บนอุปกรณ์ Apple เครื่องอื่นของคุณ: เปิดแอป "ค้นหาของฉัน" (Find My) บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นที่ไม่ใช่ Apple: เข้าไปที่เว็บไซต์ iCloud.com/find แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple ID เดียวกันกับ iPhone ที่หายไป เลือกอุปกรณ์ที่หาย: ในหน้าจอ Find My ให้เลือก iPhone หรือ iPad ที่คุณต้องการค้นหา ดำเนินการตามสถานการณ์: ถ้าเครื่องอยู่ใกล้ๆ (ในบ้าน, ที่ทำงาน): กด "เล่นเสียง" (Play Sound) ถ้าเครื่องอยู่นอกพื้นที่/สงสัยโดนขโมย: เลือก "ทำเครื่องหมายว่าสูญหาย" (Mark As Lost): ระบบจะล็อกเครื่องทันที แสดงเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ และข้อความที่คุณต้องการให้แสดงบนหน้าจอ หากเครื่องออนไลน์ คุณจะเห็นตำแหน่งของเครื่องบนแผนที่และเครื่องจะอยู่ในโหมดประหยัดพลังงานเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ หากเครื่องออฟไลน์ ระบบจะล็อกทันทีที่เครื่องกลับมาออนไลน์ แจ้งความ: จดบันทึก IMEI (International Mobile Equipment Identity) ของเครื่อง (ดูได้จากกล่อง iPhone หรือเช็คได้จาก Apple ID บนเว็บ iCloud) และนำไปแจ้งความกับตำรวจ เพื่อเป็นหลักฐานและใช้ในการติดตาม หากเครื่องถูกนำไปขายหรือจำนำ ถ้าข้อมูลสำคัญมากและไม่ต้องการให้ใครเข้าถึง: เลือก "ลบข้อมูล iPhone นี้" (Erase This iPhone) ข้อควรระวัง: เมื่อลบข้อมูลแล้ว คุณจะไม่สามารถติดตามอุปกรณ์ได้อีก ข้อควรรู้สำหรับ iOS: ต้องเปิด Find My ไว้ล่วงหน้า: ฟังก์ชันนี้จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อคุณได้เปิด "ค้นหา iPhone ของฉัน" (Find My iPhone) ไว้ในเครื่องก่อนที่มันจะหายไป ต้องเปิด Location Services: เพื่อให้เครื่องสามารถส่งตำแหน่งกลับมาได้ ทำงานแม้เครื่องออฟไลน์: ใน iOS เวอร์ชันใหม่ๆ (ตั้งแต่ iOS 15 ขึ้นไป) iPhone สามารถส่งตำแหน่งได้แม้เครื่องจะปิดอยู่ หรือแบตเตอรี่หมดก็ตาม โดยใช้เครือข่าย Find My ของอุปกรณ์ Apple อื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง สำหรับผู้ใช้งาน Android OS Google มีบริการที่เรียกว่า "Find My Device" (ค้นหาอุปกรณ์ของฉัน) ซึ่งทำงานคล้ายกับ Find My ของ Apple คุณสมบัติที่สำคัญของ Find My Device: ระบุตำแหน่ง: แสดงตำแหน่งล่าสุดของอุปกรณ์บนแผนที่ เล่นเสียง: ทำให้โทรศัพท์ส่งเสียงดังนาน 5 นาที แม้จะตั้งค่าเงียบไว้ ล็อกอุปกรณ์: ล็อกอุปกรณ์ของคุณด้วย PIN, รูปแบบ หรือรหัสผ่าน และเพิ่มข้อความหรือเบอร์โทรศัพท์ลงในหน้าจอล็อก ล้างข้อมูลอุปกรณ์: ลบข้อมูลทั้งหมดในโทรศัพท์ (ไม่สามารถติดตามได้อีกหลังจากลบข้อมูลแล้ว) วิธีการใช้งาน Find My Device: เข้าสู่ระบบ Find My Device: บนอุปกรณ์ Android เครื่องอื่นของคุณ: เปิดแอป "ค้นหาอุปกรณ์ของฉัน" (Find My Device) ที่ดาวน์โหลดมาจาก Google Play Store บนคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น: เข้าไปที่เว็บไซต์ android.com/find แล้วลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Google เดียวกันกับโทรศัพท์ที่หายไป เลือกอุปกรณ์ที่หาย: เลือกโทรศัพท์ที่คุณต้องการค้นหา ดำเนินการตามสถานการณ์: ถ้าเครื่องอยู่ใกล้ๆ (ในบ้าน, ที่ทำงาน): กด "เล่นเสียง" (Play Sound) ถ้าเครื่องอยู่นอกพื้นที่/สงสัยโดนขโมย: เลือก "รักษาความปลอดภัยของอุปกรณ์" (Secure Device): เพื่อล็อกอุปกรณ์และส่งข้อความหรือเบอร์โทรศัพท์แสดงบนหน้าจอล็อก แจ้งความ: จดบันทึก IMEI ของเครื่อง (ดูได้จากกล่องโทรศัพท์ หรือกด *#06# ในเครื่องก่อนหาย) และนำไปแจ้งความกับตำรวจ ถ้าข้อมูลสำคัญมากและไม่ต้องการให้ใครเข้าถึง: เลือก "ล้างข้อมูลอุปกรณ์" (Erase Device) ข้อควรระวัง: เมื่อลบข้อมูลแล้ว คุณจะไม่สามารถติดตามอุปกรณ์ได้อีก ข้อควรรู้สำหรับ Android: ต้องเปิด Find My Device ไว้ล่วงหน้า: ฟังก์ชันนี้จะใช้งานได้ก็ต่อเมื่อคุณได้เปิด "ค้นหาอุปกรณ์ของฉัน" และ "บริการตำแหน่ง" (Location Services) ไว้ในเครื่อง ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: โทรศัพท์ต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือข้อมูลมือถือเพื่อให้ส่งตำแหน่งได้ (ยกเว้น Android บางรุ่นที่มีฟีเจอร์ "Find My Device network" ที่สามารถระบุตำแหน่งแบบออฟไลน์ได้คล้าย Apple) เปิด Location History ของ Google Account: จะช่วยให้ Google เก็บประวัติตำแหน่งที่คุณเคยไปได้ สิ่งที่ควรทำเพิ่มเติม (ไม่ว่าจะเป็น iOS หรือ Android) ติดต่อผู้ให้บริการเครือข่าย: แจ้งผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือของคุณ (เช่น AIS, dtac, TrueMove H) เพื่อระงับสัญญาณซิมการ์ด ป้องกันไม่ให้ผู้อื่นนำไปใช้งานหรือเข้าถึงข้อมูลในเบอร์โทรศัพท์ของคุณ เปลี่ยนรหัสผ่าน: รีบเปลี่ยนรหัสผ่านของบัญชีออนไลน์ที่สำคัญทั้งหมด เช่น Google Account, Apple ID, Facebook, Line, อีเมล, แอปธนาคาร, และโซเชียลมีเดียอื่นๆ ที่คุณล็อกอินไว้บนมือถือที่หายไป แจ้งความกับตำรวจ: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หากคุณสงสัยว่าถูกขโมยหรือทำหายในที่สาธารณะ การแจ้งความจะช่วยให้คุณได้รับหลักฐานในการดำเนินการกับบริษัทประกัน (หากมีประกัน) หรือช่วยให้ตำรวจติดตามคืนได้ง่ายขึ้น (โดยให้ IMEI ของเครื่อง) การป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขเสมอครับ ควรถ่ายรูปหรือจด IMEI ของมือถือไว้ และติดตั้งแอปพลิเคชันหรือเปิดฟังก์ชันติดตามอุปกรณ์ไว้ล่วงหน้าเสมอ จะช่วยลดความเสียหายและความกังวลใจได้มากหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นครับ Photo Credit : AI Generated
ข่าววิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี • 26 ก.ค. 68
อ่าน
Fast Share!! ฟีเจอร์ใหม่ใน Android 11 ที่คล้าย Apple Airdrop
สำหรับผู้ที่ใช้ iPhone ก็คงรู้จักกันเป็นอย่างดีเกี่ยวกับการใช้งาน Airdrop ในการส่งไฟล์ระหว่าง Device ของ Apple อย่างเช่น iPhone iPad iMac และ Macbook ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่เพิ่มความสะดวกสบายในการถ่ายโอนเอกสารเป็นอย่างมาก เนื่องจากความรวดเร็วการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน อีกทั้งยังสามารถส่งไฟล์ขนาดใหญ่ได้ในเวลาเพียงไม่นาน และที่สำคัญการส่งข้อมูลด้วยวิธีนี้นั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้อินเตอร์เน็ตนั่นเอง จากรายงานเมื่อปีที่แล้วคาดว่าทาง Google เองจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สำหรับการถ่ายโอนไฟล์ต่าง ๆ ซึ่งถูกเรียกว่า Fast Share ซึ่งจะมีหลักการทำงานที่คล้ายคลึงกับ Airdrop ของทาง Apple ซึ่งฟีเจอร์ดังกล่าวนี้จะถูกเปิดตัวมาใน Android 11 ซึ่งจะเปิดตัวกันในช่วงปีนี้ โดยในปีนี้ได้มีข้อมูลหลุดออกมาจากทางนักพัฒนาเกี่ยวกับรายละเอียดการมีอยู่ของฟีเจอร์ดังกล่าว ดังนี้ครับ มีนักพัฒนารายหนึ่งได้ค้นพบหลักฐานของฟีเจอร์ Fast Share ใน Android 11 มาจากการค้นพบการอ้างอิงข้อผิดพลาด โดยปัญหาที่เกิดขึ้นของฟีเจอร์นี้ คือ การแชร์ไฟล์ระหว่างสองอุปกรณ์ Pixel 4 สองเครื่องที่ใช้ในการทดลองระบบมีความผิดพลาด เนื่องจากการแชร์ไฟล์นั้นไม่สมบูรณ์ โดยสาเหตุนั้นน่าจะมาจากการที่พึ่งเริ่มพัฒนาฟีเจอร์นี้ในขั้นแรกทำให้พบปัญหาก่อนในเบื้องต้น ซึ่งจากการค้นพบปัญหาดังกล่าวทำให้เราได้ทราบถึงการมีอยู่ของฟีเจอร์ Fast Share ซึ่งกำลังถูกสร้างขึ้น ว่าจะถูกนำมาใส่ใน Android 11 ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน และนอกจากนี้ยังมีรายงานออกมาว่า ฟีเจอร์ Fast Share นั้นจะไม่ถูกรองรับแค่ใน Android 11 แต่จะถูกอัพเดตให้สามารถใช้งานได้ในสมาร์ทโฟน Android เวอร์ชั้นที่เก่ากว่าได้อีกด้วย แต่ในการใช้งานฟีเจอร์นี้ใน Android เวอร์ชั่นเก่านั้น อาจจำเป็นจะต้องใช้งานคู่กับแอปพลิเคชั่นเพิ่มเติมด้วย นอกจากนี้จากรายงานอื่นยังทำให้เราทราบว่าฟีเจอร์ดังกล่าวนี้ จะสามารถใช้งานได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต แต่จะใช้การถ่ายโอนไฟล์โดย Bluetooth และ Wifi แทนซึ่งจะทำให้สามารถถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ได้มากกว่าการใช้ NFC นั่นเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับฟีเจอร์ Fast Share ซึ่งจะมาเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน Android ทุกคน แต่ฟีเจอร์นี้จะมีการเปิดตัวเมื่อไหร่นั้น เรามารอติดตามไปพร้อม ๆ กันครับ ขอขอบคุณข้อมูลจาก Gizchina
Siranat • 16 เม.ย. 63
อ่าน
Google เตรียมเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android 12L ออกแบบมาเพื่อแท็บเล็ตโดยเฉพาะ
ช่วงหลังมานี้ดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android กันมากขึ้น หลังจากที่เงียบเหงาไปนานหลายปี ล่าสุดในการเปิดตัว Pixel 6 Series สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ของ Google ยังได้เผยข้อมูลเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ Android 12L ที่ออกแบบมาเพื่อแท็บเล็ตโดยเฉพาะอีกด้วยหากย้อนกลับไปในช่วงปี 2011 ทาง Google เคยเปิดตัวระบบปฏิบัติการ Android 3.0 Honeycomb ซึ่งออกแบบมาเพื่อแท็บเล็ตโดยเฉพาะ และหวังให้มันเป็นตัวชูโรงในการต่อสู้กับ iPad ทว่า ด้วยเหตุที่แอปพลิเคชันของ Android ในเวลานั้นยังไม่สามารถสู้กับทาง Apple ได้ ส่งผลให้แท็บเล็ต Android ได้รับความนิยมลดลงเรื่อย ๆ จนแทบจะหายไปเลยช่วงหนึ่งจนกระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมาเหล่าอินเตอร์แบรนด์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Samsung, Xiaomi, Huawei หรือ Realme เริ่มทำแท็บเล็ต Android ออกสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่เพียงแค่แท็บเล็ตที่เปิดตัวออกมา ยังมีสมาร์ทโฟนจอพับอีกหลายรุ่นจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าสมาร์ทโฟนทั่วไป ซึ่งทาง Google เองก็คงอยากจริงจังในด้านนี้ จึงตั้งใจพัฒนาระบบปฏิบัติการ Android 12L ขึ้นมานั่นเองสำหรับ Android 12L นั้นเป็นการพัฒนาต่อยอดจาก Android 12 ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ Pixel 6 Series คล้ายกับที่ iPadOS แตกหน่อมาจาก iOS เพื่อรองรับการทำงานบนจอแสดงผลขนาดใหญ่ได้ดี และเป็นมิตรต่อการใช้งานมากขึ้นการออกแบบด้าน UI หรือส่วนติดต่อผู้ใช้ถูกปรับให้มีความเหมาะสมกับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ใช้เข้าสู่ส่วนการแจ้งเตือน (Notification) จากการลากแถบด้านบนลงมา จะพบกับส่วนที่แสดงการแจ้งเตือนอยู่ทางด้านขวามือ และส่วนที่เป็นการตั้งค่าต่าง ๆ (ปรับแสงสว่างจอ, เปิดระบบสั่น, เปิดใช้งาน Internet เป็นต้น) จะอยู่ทางซ้ายมือนอกจากนี้ ในขณะที่เปิดแอปพลิเคชนัแบบเต็มหน้าจอ บริเวณด้านล่างของจอจะมีแถบทาสก์บาร์ เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงแอปพลิเคชันที่เปิดใช้งานอยู่ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังสะดวกต่อการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันแบบแบ่งครึ่งจออีกด้วย ซึ่งในส่วนของทาสก์บาร์นี้จะคล้าย ๆ กับทาสก์บาร์บน Windows ที่เราใช้งานกันบนคอมพิวเตอร์ PC นั่นเอง ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ออกแบบมาค่อนข้างดี อาจจะใช้งานได้ง่ายกว่าการใช้ Gesture (การปัดลากนิ้วตามรูปแบบ) แบบที่ใช้กันในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำทางด้านของนักพัฒนา Google จะเพิ่มความสะดวกให้นักพัฒนาสามารถออกแบบแอปพลิเคชัน ให้รองรับกับหน้าจอขนาดใหญ่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม และใน Google Play Store จะมีแจ้งเตือนไว้ด้วยว่าแอปพลิเคชันใดบ้างที่ได้รับการปรับให้เข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่เรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นข้อพิจารณาสำหรับผู้ใช้งานนั่นเองสำหรับ Android 12L นี้ ทาง Google เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2022 ส่วนในเวลานี้ได้มีการออกเวอร์ชันสำหรับนักพัฒนาให้นำไปทดลองใช้งานเพื่อพัฒนาแอปพลิเคชันเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจากTechspot
TNN ช่อง16 • 28 ต.ค. 64
อ่าน
Google เตรียมขุดหลุมฝัง แอปเพิ่มความเร็ว ใน Android 14 !
หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับแอปพลิชันที่อ้างว่าช่วยให้โทรศัพท์เร็วขึ้น แต่จริง ๆ แล้วแค่ฆ่าแอปพื้นหลังจำนวนมาก ซึ่งส่งผลเสียมากกว่าผลดี แต่ล่าสุดทาง Google ก็ได้เริ่มหาทางจัดการกับแอปประเภทนี้แล้ว โดยใน Android 14 แอปต่างๆ จะถูกจำกัดคำสั่ง “killBackgroundProcesses” ส่งผลให้แอปไม่สามารถปิดกระบวนการทำงานแอปเบื้องหลังที่ไม่ใช่ของตัวเองได้อีกต่อไป โดยปกติแล้วแอปบุคคลที่สาม จะไม่สามารถควบคุมหน่วยความจำภายใน แบตเตอรี่ หรือการระบายความร้อนของโทรศัพท์ Android ได้ และ Google Play ก็มีนโยบายต่อต้าน ‘พฤติกรรมหลอกลวง’ มานานแล้ว เป็นไปได้ว่า Google อาจจะเห็นว่าแอปเพิ่มความเร็วต่าง ๆ ละเมิดกฏของ Google Play เนื่องจากไม่ได้ช่วยให้โทรศัพท์เร็วขึ้นได้จริง ๆ เลยทำการจัดการกับแอปพวกนี้ใน Android 14 แอปเพิ่มความเร็ว หรือ Task Killer มักจะถูกออกแบบมาเพื่อหยุดแอปพลิเคชันที่ทำงานในเบื้องหลัง เพื่อให้โทรศัพท์เร็วขึ้นเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่อ้างว่า สามารถกดเพิ่มความเร็วโทรศัพท์เพียงแค่ “คลิกเดียว” แล้วแอปที่ทำงานเบื้องหลังก็จะถูกปิดตัวลง ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่า โทรศัพท์มีความเร็วมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว หลังจากที่แอปเบื้องหลังถูกปิดไป สุดท้ายแอปก็จะกลับมาเริ่มทำงานใหม่เหมือนเดิม ผลคือทำให้ตัวเครื่องทำงานหนักขึ้น และเปลืองทรัพยากรตัวเครื่องมากกว่าเดิม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือว่าเป็นผลดีกับผู้ใช้ Android หลาย ๆ คน น่าจะทำให้เลิกเข้าใจผิดเกี่ยวกับแอปเพิ่มความเร็วซักที คราวนี้ต้องปรบมือให้กับ Google ที่เห็นถึงปัญหาตรงนี้ สำหรับ Android 14 นั้นจะเปิดตัวใน งาน Google I/O ที่จะจัดในวันที่ 10 พฤษภาคม 2023 นี้ สำหรับคนที่สนใจนั้น รอติดตามได้เลย ทาง Beartai จะรีบมาอัปเดตข่าวให้แน่นอน อ้างอิง 9to5google.com blog.esper.io
แบไต๋ • 15 มี.ค. 66
อ่าน
ระบบเตือนแผ่นดินไหว Android ใช้งานได้แล้ว !! เตือนฟิลิปปินส์ล่วงหน้าหลายวินาที
เมื่อเดือนสิงหาคมของเมื่อปี 2020 ทาง Googleได้ทำการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ บน Androidทั้งหมด ให้กลายเป็นเครื่องตรวจจับแผ่นดินไหว โดยให้อุปกรณ์ Android ทำการวัดการสั่นไหว โดยใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์วัดความเร่ง Accelerometer ที่มีอยู่ในตัวระบบอยู่แล้ว ซึ่งถ้าหากพบสัญญาณที่มีลักษณะเป็นคลื่นแผ่นดินไหว ตัวระบบจะแจ้งเข้ามายังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของ Google โดยตรง เพื่อให้ทาง Google แจ้งข้อมูลตำแหน่งที่เกิดแผ่นดินไหวไปยังอุปกรณ์ Android ทั้งหมดผ่านทางระบบ Android Earthquake Alerts System ทันทีแต่ถ้าหากพื้นที่ไหนมีระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับแผ่นดินไหวอยู่แล้ว ก็จะใช้ข้อมูลจากระบบเซ็นเซอร์นั้นแทนAnother earthquake tweet here:Im super amazed with how on point the phone emergency notif on Android earthquake alert system is.Literally heard the notif. Read it and 10 seconds later i feel it #EarthquakePH pic.twitter.com/v2ZhbaekmZ 🍣Ian m.🍱 (@ianmeji_) July 23, 2021: none;Googleมองว่าข้อมูลดังกล่าวจะวิ่งส่งไปหาอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เร็วกว่าคลื่นของแผ่นดินไหว ทำให้สามารถแจ้งเตือนผู้คนได้ก่อน และช่วยให้รับมือกับความเสียหายได้ โดยข้อความแจ้งเตือนจะมาพร้อมกับคำแนะนำว่าเราควรทำอย่างไรอีกด้วย ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ได้เกิดแผ่นดินไหวทางตอนใต้ของฟิลิปปินส์ ความแรง 6.7 ริกเตอร์ ซึ่งระบบของ Google ได้โชว์ให้เห็นแล้วว่าสามารถแจ้งเตือนก่อนเกิดแผ่นดินไหวเริ่มสั่นได้เล็กน้อยโดยระยะเวลาแจ้งเตือนล่วงหน้าจะขึ้นอยู่กับว่าเขาอยู่ห่างจากจุดเกิดแผ่นดินไหวแค่ไหน ซึ่งบางคนบอกว่ารู้ก่อน 10 วินาทีแหล่งที่มา9to5google.com
TNN ช่อง16 • 25 ก.ค. 64
อ่าน
สรุปไฮไลต์ Google I/O 2025 จาก Gemini 2.5 ถึง Android XR และ AI Ultra
งาน Google I/O 2025 จัดขึ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม โดยถือเป็นหนึ่งในงานสำคัญประจำปีของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี Google ใช้เวทีนี้ในการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ในหลายด้าน โดยเฉพาะในหมวด AI และระบบปฏิบัติการ Android">Gemini และการยกระดับ AIGemini 2.5 Pro มาพร้อมฟีเจอร์ Deep Think ที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกและแปลงข้อมูลภาพให้เป็นภาพ 3 มิติ พร้อมคำบรรยาย เช่น เปลี่ยนตารางภาพถ่ายเป็นภาพทรงกลม 3 มิติ จากนั้นเพิ่มคำบรรยายสำหรับแต่ละภาพการแปลงข้อความเป็นเสียงแบบเปลี่ยนภาษาได้ทันที พร้อมความสามารถตอบอีเมลสไตล์ส่วนตัว (Smart Reply แบบปรับตามบุคคล)Gemini Live เปิดให้ผู้ใช้มือถือ Android และ iOS ใช้กล้องถามคำถามแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับสิ่งที่เห็นผ่านแอป Geminiฟีเจอร์ AI Overviews ที่แสดงสรุปผลการค้นหาด้วย Gemini มีผู้ใช้งานกว่า 1.5 พันล้านรายต่อเดือน และจะผสานเข้าสู่ Search หลักมากขึ้นในอนาคต">AI ใน Google Search และการช้อปปิ้งโหมด AI สำหรับ Search เปิดให้ใช้งานในสหรัฐฯ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น เปรียบเทียบสินค้า หรือหาตั๋วราคาถูกระบบจะสามารถสร้างกราฟ แผนภูมิ และตอบคำถามติดตามผลได้เพิ่มฟีเจอร์เสมือนจริงให้ลองใส่เสื้อผ้าผ่านภาพถ่ายตนเอง และแจ้งเตือนเมื่อสินค้าที่ต้องการลดราคา พร้อมระบบชำระเงินอัตโนมัติGoogle Assistant รุ่นใหม่: Project AstraProject Astra แสดงศักยภาพผู้ช่วย AI สากล เช่น ค้นหาอีเมลหาข้อมูลจักรยาน โทรหาร้านซ่อม และดูข้อมูลจากเว็บนับเป็นก้าวสำคัญสู่การทำให้ Gemini เป็นผู้ช่วยประจำตัวที่จัดการงานในชีวิตประจำวันได้จริง">แปลภาษาแบบเรียลไทม์และการประชุมยุคใหม่Google Meet เพิ่มระบบแปลสดที่เลียนแบบโทนเสียงผู้พูด เริ่มที่สเปน-อังกฤษ ใช้ได้สำหรับผู้สมัคร Google AI Pro และ Ultraระบบประชุม 3 มิติ Project Starline เปลี่ยนชื่อเป็น Google Beam เตรียมเปิดขายให้กับองค์กร โดยบริษัท HP จะให้รายละเอียดเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้เครื่องมือสร้างวิดีโอและภาพด้วย AIเปิดตัวแอป Flow สำหรับสร้างหนังสั้นแบบมืออาชีพ พัฒนาต่อจาก VideoFX ใช้งานได้แล้วในสหรัฐฯโมเดลวิดีโอ Veo 3 รองรับการสร้างวิดีโอพร้อมเสียง ส่วน Imagen 4 ปรับปรุงคุณภาพการสร้างภาพให้สมจริงยิ่งขึ้นบริการแบบเสียเงิน: AI Ultraแผนใหม่ Google AI Ultra มีค่าใช้จ่าย 250 ดอลลาร์สหรัฐ/เดือน มาพร้อมสิทธิ์ใช้เครื่องมือขั้นสูง เช่น Deep Researchรวมพื้นที่จัดเก็บ 30TB, บริการ YouTube Premium และฟีเจอร์ AI แบบไม่จำกัดมีโปรโมชันลด 50% สำหรับ 3 เดือนแรก พร้อมรีแบรนด์ “AI Premium” เป็น “Google AI Pro” Android XR และแว่นตาอัจฉริยะGoogle ประกาศความคืบหน้าเกี่ยวกับ Android XR ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ออกแบบมาสำหรับอุปกรณ์ในกลุ่ม Extended Reality (XR) โดยรวมเทคโนโลยี AR (Augmented Reality), MR (Mixed Reality) และ VR (Virtual Reality) ไว้ด้วยกันจุดเด่นของ Android XRเป็นแพลตฟอร์มโอเพนซอร์สคล้าย Android สำหรับสมาร์ตโฟน แต่ปรับให้เหมาะกับอุปกรณ์ XR โดยเฉพาะรองรับการแสดงผลแบบ 3 มิติ การติดตามตำแหน่งของผู้ใช้ การโต้ตอบกับวัตถุเสมือนจริง และการผสานข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆตัวอย่างการใช้งาน เช่น การเปิด Google Maps เวอร์ชัน AR บนแว่นตา, การดูวิดีโอ 360 องศา, หรือการประชุมในโลกเสมือนเปิดตัวอุปกรณ์ XR รุ่นที่สองGoogle ประกาศว่า Xreal บริษัทพัฒนาอุปกรณ์ XR ได้ร่วมมือพัฒนา Project Aura – แว่นตา XR แบบมีสายซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์หรืออุปกรณ์พกพาแว่นตานี้ใช้เลนส์ใสแบบโปร่งแสง (Transparent display) พร้อมระบบติดตามภาพและเสียงจากผู้ใช้ในเวลาเดียวกันเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การดูข้อมูลแบบลอยอยู่บนโลกจริง หรือใช้งานแอป productivityรอเปิดตัว Google XR Headset ร่วมพัฒนาโดย SamsungGoogle ยืนยันว่ากำลังพัฒนาชุด XR headset ที่แท้จริงอยู่ โดยร่วมมือกับ Samsungอุปกรณ์นี้คาดว่าจะมาพร้อมกับประสิทธิภาพระดับสูง ใช้ชิปที่ออกแบบมาเฉพาะ และรัน Android XR เต็มรูปแบบมีกำหนดการเปิดตัวในช่วง ปลายปี 2025 เพื่อท้าชนกับคู่แข่งอย่าง Apple Vision Pro และ Meta Questการเคลื่อนไหวของ Google ในด้าน XR แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแข่งขันในตลาดอุปกรณ์สวมใส่เชิงเทคโนโลยีขั้นสูง โดยพยายามปูรากฐานด้วย Android XR ให้กลายเป็นระบบนิเวศใหม่เหมือนที่ Android เคยทำกับสมาร์ตโฟนมาก่อนหน้านี้ การอัปเดตด้านความปลอดภัยGoogle ได้ยกระดับความปลอดภัยของผู้ใช้ Chrome ด้วยฟีเจอร์ใหม่ใน Chrome Password Managerระบบเปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ หากบัญชีของคุณมีข้อมูลรั่วไหล (เช่น จากการแฮกระบบเว็บไซต์ที่คุณใช้) Chrome จะตรวจพบการละเมิดข้อมูล และแจ้งเตือนทันทีผู้ใช้สามารถกดปุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อ เปลี่ยนรหัสผ่านอัตโนมัติ ไปยังรหัสที่แข็งแรงกว่า ซึ่งจะถูกอัปเดตในบัญชีที่เข้าร่วมโปรแกรมโดยอัตโนมัติอย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์นี้ใช้งานได้เฉพาะกับเว็บไซต์ที่รองรับการเปลี่ยนรหัสผ่านผ่าน API ที่ Google กำลังผลักดันให้แพร่หลายมากขึ้นฟีเจอร์นี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้รหัสผ่านซ้ำ และเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้รักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องใช้ทักษะด้านเทคนิคสูงGemini ถูกรวมเข้ากับเบราว์เซอร์ ChromeGoogle ยังได้นำ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI หลักของบริษัท เข้ามาอยู่ในเบราว์เซอร์ Chrome เพื่อช่วยผู้ใช้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น:ผู้ใช้สามารถใช้ Gemini เพื่อ ถามคำถามเกี่ยวกับแท็บที่เปิดอยู่ เช่น สรุปข้อมูลในหน้าเว็บ หารายละเอียดเฉพาะ หรือเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่งGemini จะปรากฏเป็นแถบหรือเมนูใหม่ที่ด้านบนของ Chrome ทำให้การเข้าถึงคำแนะนำของ AI ทำได้สะดวกและไม่รบกวนการใช้งานหลักการทำงานของ Gemini ใน Chrome ช่วยประหยัดเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูล ย่อหน้าเอกสาร หรือข้อมูลในฟอร์มต่าง ๆ ได้ทันทีโดยไม่ต้องคัดลอก-วางการผสาน Gemini เข้ากับ Chrome คือก้าวสำคัญที่เปลี่ยนเบราว์เซอร์จากเครื่องมือสำหรับ “การเข้าถึงข้อมูล” ไปสู่เครื่องมือสำหรับ “การทำงานร่วมกับ AI”">
TNN ช่อง16 • 21 พ.ค. 68
อ่าน
Google Maps สำหรับ Android Auto จะได้รับอัปเดตเปลี่ยนธีมสีแผนที่ใหม่ด้วย!
สัปดาห์ที่แล้ว Google ได้ออกมาประกาศว่าจะมีการเปลี่ยนธีมสีการแสดงผลข้อมูลแผนที่ของ Google Maps ใหม่ ซึ่งล่าสุดพบว่าอัปเดตดังกล่าวจะปล่อยมาให้กับ Android Auto ด้วย อัปเดตใหม่นี้จะมาเปลี่ยนธีมสีเดิมของ Google Maps ที่เป็นสีโทนอุ่นมาเป็นธีมสีโทนเย็นมากขึ้น โดยเฉพาะสีเขียวมิ้นที่แสดงถึงพื้นที่ป่า และเปลี่ยนสีเส้นถนนจากสีขาวมาเป็นสีเทา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถมองเส้นทางได้ชัดเจนกว่าเดิม อัปเดตดังกล่าวจะปล่อยออกมาให้กับ Google Maps ที่เปิดใช้งานผ่านทางเว็บ, Android และ iOS รวมถึง Android Auto ที่มา: 9to5Google
แบไต๋ • 26 พ.ย. 66
อ่าน
14 ฟีเจอร์ใหม่ บน Android 11 (Developers Preview 3) | MR.BOY
สำหรับ Android 11 เวอร์ชั่น Developer Preview 3 ตอนนี้ได้เปิดให้เหล่านักพัฒนาได้ทดลองเอามาลงในมือถือซีรีส์ Google Pixel กันได้แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็มีพัฒนาที่ได้ทดสอบ และได้เอาข้อมูลของฟีเจอร์ใหม่ ๆ มาให้ดูกัน ว่ามันมีอะไรบ้างครับ หน้า RECENT APPS ที่ใหญ่ขึ้น เพิ่มปุ่ม SCREENSHOT และ SHARE ฟีเจอร์ใหม่ที่จะทำให้หน้าต่างของแอปต่าง ๆ ในหน้า Recent Apps มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และยังเพิ่มปุ่ม Screen Shot สำหรับจับภาพหน้าจอของแอปที่เราเลือกได้ ส่วนปุ่ม Share จะเป็นการจับภาพหน้าจอเช่นกัน แต่เมื่อจับภาพเสร็จแล้วจะมีตัวเลือกให้สามารถแชร์ภาพดังกล่าวไปยังแอปอื่น ๆ ต่อได้เลย การขออนุญาตเข้าใช้งานของแอป จะถูกยกเลิกหากไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน ปกติแล้วเวลาที่เราติดตั้งแอปใหม่ ๆ ลงเครื่อง และเปิดใช้งานเป็นครั้งแรก ก็จะมีการขออนุญาตเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น ไมโครโฟน, กล้อง, รายชื่อผู้ติดต่อ ฯลฯ ซึ่งหากเรากดอนุญาตแล้ว มันก็จะอนุญาตไปตลอดจนกว่าเราจะลบแอปนั้นทิ้งไป แต่ใน Android 11 ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใช้แอปไหนเป็นเวลา 2 – 3 เดือน ระบบ Auto revoke permissions ก็จะยกเลิกการอนุญาตแอปดังกล่าวโดยอัตโนมัติ ซึ่งเราต้องกดอนุญาตอีกรอบหากเข้าใช้งานหลังจากนี้ เปลี่ยนดีไซน์แถบ NOTIFICATION และซ่อนแถบ NOTIFICATION ของแอปที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง แถบ Notification ด้านบนจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยคราวนี้แถบจะขยายออกไปจนสุดขอบจอซ้าย-ขวา (ของเดิมเป็นกรอบ) และแถบจะเปลี่ยนจากสีพื้น ๆ เป็นสีแบบโปร่งใสที่มีการไล่เฉดไปจนกลายเป็นสีทึบ และจะเพิ่มปุ่ม History เข้ามาให้สำหรับกดดูว่าก่อนหน้านี้มี Notification อะไรเข้ามาบ้าง ซึ่งเราอาจจะเผลอกดปุ่ม Clear All ทิ้งไป โดยที่ยังไม่ทันดู นอกจากนี้เรายังสามารถลบแถบ Notification ของแอปต่าง ๆ ที่ทำงานอยู่เบื้องหลังทิ้งได้ด้วย จากปกติที่แถบพวกนี้จะไม่สามารถลบทิ้งได้จนกว่าเราจะปิดแอปนั้นซะก่อน เอาแอปที่เผลอปิดใน RECENT APPS กลับมาได้ ในหน้า Recent Apps เราสามารถใช้นิ้วปัดแอปต่าง ๆ ที่เปิดอยู่เบื้องหลังทิ้งไปได้ ซึ่งบางทีก็เผลอลบแอปที่กำลังใช้งานอยู่ทิ้งไป แต่ใน Android 11 เราจะใช้นิ้วปัดแอปที่ปิดไปก่อนหน้ากลับมาได้ โดยจะมีช่วงเวลาหน่วงให้ราว ๆ 1 วินาที สำหรับดึงแอปกลับมา ตัวอย่างระบบ ปุ่มตัวเลือกสำหรับ SCREENSHOT แบบใหม่ ใน Android 10 เวลาที่เราแคปหน้าจอแล้ว จะมีหน้าต่างป๊อปอัพเด้งขึ้นมาถามว่าต้องการจะ Share, Edit หรือ Delete ภาพดังกล่าวรึเปล่า แต่ใน Android 11 จะเปลี่ยนเป็นแถบเล็ก ๆ เด้งขึ้นมาว่าต้องการ Share หรือ Edit ภาพดังกล่าวมั้ย หรือถ้าจะลบก็กด X ตรงมุมภาพได้เลย และใน Android 11 ตัวเต็มจะเพิ่มตัวเลือกแคปภาพหน้าจอแบบยาวลงมาได้ด้วย ตั้งค่าความไวของ GESTURE บนหน้าจอได้ Android 10 ได้เพิ่มวิธีการใช้นิ้วปัดจากขอบจอเข้ามาเพื่อแทนการใช้ปุ่ม Back ซึ่งบางคนก็ใช้ไม่ถนัด เพราะเดี๋ยวก็ปัดได้บ้างไม่ได้บ้าง หรือบางคนก็รำคาญเพราะบางที่เผลอไปโดนหน่อยเดียว กลายเป็นกด Back เฉยเลย คราวนี้ใน Android 11 ก็เลยเพิ่มการตั้งค่าความไวของ Gesture ดังกล่าวได้ว่าเราต้องการให้ขอบจอทั้งซ้าย และขวามันไวต่อการใช้นิ้วปัดแค่ไหน รองรับการใช้งานตัวแปลง USB-C ETHERNET สำหรับเสียบสาย LAN ใน Android รุ่นก่อน ๆ การแชร์เน็ตให้กับ PC จะทำได้ผ่าน WiFi Hotspot, USB tethering และ Bluetooth tethering เท่านั้น แต่ใน Android 11 จะรองรับการใช้งานคู่กับตัวแปลง USB-C Ethernet และเสียบสาย LAN เข้ากับ PC เพื่อเพิ่มความเสถียรให้กับการเชื่อมต่อได้อีกด้วย แถบข้อมูลการใช้งาน BUBBLE ของแต่ละแอป บางแอปจะมีฟีเจอร์ Bubble เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ (ถ้าใครนึกไม่ออกว่า Bubble คืออะไร ให้นึกแอป Facebook Messenger ที่จะมีคอยเด้งขึ้นมาเวลามีคนทัก) ซึ่งใน Android 11 เวลาที่มีแอปไหนใช้ระบบ Bubble แบบนี้เด้งขึ้นมาครั้งแรก ก็จะมีแถบข้อมูลบอกเอาไว้ว่า Bubble นี้คืออะไร เพิ่มตัวเลือก DISABLE ADB AUTHORIZATION TIMEOUT ใน Android รุ่นก่อนๆ การเปิด adb authorization ใน Developer options จะเปิดแล้วต้องมาปิดเองเมื่อใช้งานเสร็จ แต่ใน Android 11 จะเพิ่มตัวเลือกตั้งเวลาปิด adb authorization อัตโนมัติถ้าหากไม่ได้ใช้งานภายในเวลา 7 วัน เปลี่ยนชื่อเมนูปรับเสียงจาก VOLUME เป็น SOUND การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ (มันเล็กน้อยจริง ๆ นะ) เวลาที่เราปรับเสียงของมือถือ คราวนี้จะใช้คำว่า Sound แทนคำว่า Volume ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ฟีเจอร์ต่าง ๆ ทางด้านบน เป็นฟีเจอร์ที่พร้อมใช้งานแล้ว (แต่อาจจะต้องปรับปรุงอีกเล็กน้อยเพื่อความสมบูรณ์) แต่ก็ยังมีอีกหลายฟีเจอร์ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนาด้วยเช่นกัน ปุ่ม SELECT บนหน้า RECENT APPS ในหน้า Recent จะใส่ปุ่ม Select ให้เราสามารถกดเพื่อไฮไลท์ตัวอักษรของแต่ละแอปในหน้านั้น เพื่อจะเอาไป Paste ในแอปอื่นๆ ได้ ปรับขนาด PICTURE-IN-PICTURE ได้ ฟีเจอร์ picture-in-picture จะโชว์หน้าจอของแอปที่รองรับโหมดนี้ อย่างเช่น YouTube โดยเวลาเราแอปเข้า YouTube แล้วถึงจะกด Home ออกมา ก็ยังมีหน้าต่างเล็ก ๆ ของวิดีโอเล่นอยู่ ซึ่งปกติแล้วจะไม่สามารถปรับขนาดหน้าต่างได้ แต่ใน Android 11 จะปรับขนาดได้แล้ว https://youtu.be/ftTaHSueO9I เปลี่ยนภาพฟีเจอร์ BATTERY SHARE ฟีเจอร์ Battery Share สำหรับมือถือรุ่นที่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์อื่น ๆ แบบไร้สาย คราวนี้จะเปลี่ยนภาพ Animation แบบใหม่ ให้เป็นรูปของ Pixel 4a WINDOWS BLURS ฟีเจอร์ที่ซ่อนอยู่ในเมนู Developer Options ที่จะทำให้หน้าจอของมือถือเป็นภาพเบลอ ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าฟีเจอร์นี้จะเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านไหน ซึ่งนี่คือฟังก์ชันที่ปล่อยออกมา ในช่วงทดสอบของ Android 11 เท่านั้น และอาจจะมีฟังก์ชันอื่น ๆ ออกมาตอนที่ปล่อย Android11 เต็มตัวมากกว่านี้ ที่มา : XDA-Developers หากเพื่อน ๆ ชอบบทความที่ MR.BOY ช่วงบอกต่อ ได้นำเสนอโปรดแชร์บทความนี้และส่งต่อบทความนี้ให้เพื่อน ๆ ท่านอื่นได้รู้เหมือน ๆ กันนะ ครั้งหน้า MR.BOY ช่วงบอกต่อ จะมาบอกเทมเพลตฟรีที่มีให้ดาวน์โหลดอีก หรือ บอกทริคอะไร รอติดตามรับชมได้เลยครับ
MR.BOY • 12 พ.ค. 63
อ่าน
ส่องฟีเจอร์ One UI 4 Android 12 | Samsung Galaxy S20 FE
วันนี้ทางช่องจะพาไปส่องฟีเจอร์ One UI 4 Android 12 | Samsung Galaxy S20 FE มีอะไรใหม่บ้าง ลองรับชมกันครับเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
badboii • 4 ม.ค. 65
ดูเพิ่มเติม